ตอนที่ 201 เรือนพักร่ำรวยเกิดปัญหา
เรือนพักร่ำรวยเกิดเหตุการณ์นองเลือด
ถึงแม้ไม่มีคนตาย แต่ได้รับบาดเจ็บร้อยกว่าคน
เยียนอวิ๋นเกอกำลังไปเดินทางไปยังเรือนพักร่ำรวยอย่างรีบร้อน
ทันทีที่ข้ามผ่านประตูใหญ่ของเรือนพัก นางก็เห็นความระเกะระกะทั่วพื้น
ตลอดทางสามารถเห็นคราบเลือดที่ยังไม่ถูกชำระล้าง
สะเทือนใจยิ่งนัก!
เรือนพักกว้างใหญ่ เรือนพักที่มีคนนับหมื่นเงียบสงัดราวกับเมืองผี
ความคึกคักและสันติที่เคยมี ภาพแห่งความสงบสุขและรุ่งเรืองหายไป
บนลานจัตุรัสไม่มีตลาด ไม่มีผู้คนเดินไปมา
มีร้านค้าบางร้านเปิดประตูอยู่อย่างเงียบเหงา ไม่มีแม้แต่เงาคน
เยียนอวิ๋นเกอเดินลึกเข้าไปในเขตเพิงฟาง
ทางนี้มีผู้อพยพนับหมื่นพักอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนมีครอบครัว
เพิงฟางที่เรียงรายเป็นระเบียบในเดิมทีมีร่องรอยของการฟาดฟันเพิ่มขึ้น
เมื่อเดินต่อไปด้านหน้า เรือนหญ้าฟางนับหลายแถวถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
มีคานที่ถูกเผาเหลือครึ่งเดียว ล้มอยู่ท่ามกลางกองเถ้าถ่านอย่างโดดเดี่ยว เห็นแล้วรู้สึกอ้างว้างอย่างมาก
ภายในเรือนหญ้าฟางที่ยังอยู่ดี มีดวงตาหนึ่งคู่หรือหลายคู่ด้านหลังบานประตู หรือบานหน้าต่างแอบมองออกมา พวกเขามองกลุ่มของเยียนอวิ๋นเกอด้วยความเย็นชา
ภายในดวงตาของพวกเขาล้วนมีแต่ความระวัง กังวล ขุ่นเคือง หวาดกลัว ตื่นตระหนก…
เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายรูปแบบ
เมื่อออกจากเขตเพิงฟาง เยียนอวิ๋นเกอก็เดินทางไปอีกสามเขต
ทางนี้เป็นที่พักชั่วคราว เป็นที่พักของชาวบ้านระแวกใกล้เคียงนับพันที่มาทำงานในเรือนพัก
หวังหยวนเหนียงและพี่เซิ่นพักอยู่ในเขตนี้
สถานการณ์ทางนี้ยิ่งรุนแรง
คราบเลือดเต็มพื้น เรือนพักพังทลายและถูกเผาจนมอดไหม้
มีคนนั่งอยู่ด้านหน้าของเพิงฟางที่ถูกเผาด้วยสีหน้าเหม่อลอย ไม่อาจดึงสติกลับมาได้
แต่ละทางแยกมีองครักษ์ลาดตระเวนมากขึ้น
องครักษ์ทั้งหมดล้วนแต่งกายเต็มยศ ประดับมีดคาดเอว มือถือหอกยาว สายตาระวัง
เมื่อพบสถานการณ์ผิดปกติ พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวทันที
ยอมที่จะสังหารผิด แต่ก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน
ทั้งเรือนพักเหมือนกำลังเผชิญศึกหนัก บนใบหน้าของทุกคนสูญเสียรอยยิ้มที่เคยมี
เด็กที่เคยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในแต่ละวันหายไป
คนชราที่นั่งรับลมภายใต้เงาต้นไม้ในฤดูร้อนก็หายไป
คนหนุ่มสาวที่ชอบความคึกคึก เดินเล่นอยู่ในตลาดก็หายไป
ทุกคนต่างหลบซ่อนตัว รอรับโชคชะตา
หลังจากเดินรอบเรือนพัก สีหน้าราบเรียบของเยียนอวิ๋นเกอก็ดำทะมึนลง
คนที่มาสามคนบอกเพียงเรือนพักมีการปะทะกลุ่ม มีคนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ
แต่ไม่ได้บอกว่าสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใดอย่างละเอียด
ถึงแม้จะบอก แต่การเอ่ยด้วยวาจานั้น อย่างมากก็บรรยายสถานการณ์จริงเพียงหนึ่งในร้อย
มีเพียงเห็นกับตาถึงจะกระจ่างว่าการปะทะนองเลือดในคราวนี้ร้ายแรงเพียงใด
เยียนอวิ๋นเกอพูดกับเยียนสุย “กลับห้องทำงาน!”
บรรดาองครักษ์รายล้อมนาง เดินทางกลับไปยังห้องทำงานของเรือนพัก
ภายในใจของเยียนสุยวิตกกังวล
เมื่อนั่งลงในห้องตำรา สาวรับใช้นำน้ำชาเข้ามา
คนที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนถอยออกไป
เยียนอวิ๋นเกอผลักถ้วยชาไปด้านหน้าของเยียนสุย “ดื่มชาหน่อย ไม่ต้องกังวลเพียงนั้น”
เยียนสุยยิ้มขมขื่นด้วยความกังวล “คุณหนูอยากรู้เรื่องใด ข้าน้อยย่อมจะบอกกล่าวให้หมด”
เยียนอวิ๋นเกอตอบรับ “คนที่เข้าร่วมการปะทะมีทั้งหมดเท่าใด ผู้บาดเจ็บมีเท่าใด”
เยียนสุยรีบยืดตัวตรง เขาพูดด้วยท่าทีจริงจัง “รายงานคุณหนู คนที่เข้าร่วมการปะทะมีทั้งหมดหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดสิบสองคน อาจมีคนที่หลุดรอดไป หากคุณหนูต้องการทราบจำนวนคนที่แม่นยำ ข้าจะให้องครักษ์ตรวจค้นแต่ละเรือนบัดนี้”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ “ไม่ต้องตรวจค้น หนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่าคนนี้ เจ้าจัดการอย่างไร”
“จับกุมเอาไว้ทั้งหมด แยกกันคุมขัง ล้วนขังอยู่ในโกดังที่ว่าง ปล่อยให้หิวก่อนสามวัน ให้เพียงน้ำจำนวนน้อย รอพวกเขาหมดแรงจากการหิวโหยก็จะไม่ก่อปัญหาอีก”
“ขังเอาไว้ทั้งหมด?”
“ขอรับ! ผู้บาดเจ็บมีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบห้าคน แยกขังตามอาการบาดเจ็บ”
เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าได้ยินว่า การปะทะเกิดขึ้นกลางดึก?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เยียนสุยก็ทำหน้าหวาดกลัว “ขอรับ! การปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดี ไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน ตกดึกด้านนอกเกิดเสียงตะโกนดังโหวกเหวก จึงได้รู้ว่าเกิดการปะทะขนาดใหญ่ขึ้น โชคดีที่เรือนพักมีองครักษ์นับพันนาย มิฉะนั้นคงคุมไม่อยู่ อีกทั้งยังจะก่อให้เกิดการปะทะขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น แม้แต่เรือนพักก็จะถูกพวกเขาพังทลาย ก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจกอบกู้ได้”
ขอบคุณฟ้าดินที่เถ้าแก่ตั้งสถานที่ฝึกกองกำลังไว้ในเรือนพักร่ำรวย
มิฉะนั้น หากปล่อยให้ผู้อพยพกลุ่มนั้นพังทลายเรือนพัก คนของเรือนพักต้องตายไปกว่าครึ่ง
สินค้าและเสบียงที่กักตุนไว้ในคลังก็จะถูกปล้นจนหมด
ทั้งเรือนพักจะล่มสลายภายในชั่วพริบตา
เขาพูดต่อ “หากการปะทะนี้เกิดขึ้นตอนกลางวัน เรื่องอาจไม่ร้ายแรงเพียงนี้ บางทียังไม่ทันปะทะก็ถูกองครักษ์ควบคุมเอาไว้แล้ว ผู้อพยพหัวรุนแรงเหล่านั้นเลือกจู่โจมกลางดึกก็เพราะกลัวองครักษ์ของเรือนพัก เกือบปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอถาม “สาเหตุของเรื่องกระจ่างแล้วหรือไม่”
เยียนสุยพยักหน้าระรัว พูดถึงสาเหตุของเรื่องนี้
“ถามกระจ่างแล้ว สาเหตุของเรื่องนี้ก็เพราะแหล่งน้ำ ลำธารแห้งเหือด บ่อน้ำที่อยู่ในพื้นที่สูงไม่มีน้ำ ผู้ลี้ภัยที่พักอยู่บนเนินเขาดื่มน้ำได้ยากลำบาก ดังนั้นจึงมุ่งหน้ามาตักน้ำในเขตสามที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างต่ำ”
“แต่ผู้อพยพมีจำนวนมาก มีบางคนไม่รักษากฎระเบียบ ทำให้ชาวบ้านที่พักอยู่ในเขตสามไม่มีน้ำดื่ม หรือต่อแถวตักน้ำต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม มีบางคนต้องต่อแถวหนึ่งชั่วยามเพื่อตักน้ำ”
“ผู้ที่พักอยู่ในเขตสามมีความไม่พอใจอย่างมาก คนนับพันจึงรวมตัวกันต่อหน้าผู้อพยพที่เข้ามาตักน้ำในเขตสาม ปกติทั้งสองฝ่ายก็มีความขัดแย้งกัน คราวนี้เนื่องจากปัญหาของน้ำจึงก่อให้เกิดความคับแค้นใจอย่างมาก ข้าน้อยพยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย แบ่งเวลาการตักน้ำ หรือแม้แต่จำกัดการใช้น้ำ อีกทั้งพยายามขุดบ่อน้ำมากขึ้นในพื้นที่ต่ำ”
“เพียงแต่ไม่คิดว่าผู้อพยพกลุ่มนี้จะจู่โจมเขตสามยามดึก สังหารชาวบ้านในเขตสามอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในท้องถิ่น สามัคคีอย่างมาก พวกเขาจู่โจมกลับไปที่เขตเพิงฟางของผู้อพยพอย่างรวดเร็ว”
เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้
ชนวนที่ก่อให้เกิดการปะทะครั้งนี้คือน้ำ
สาเหตุที่ลึกลงไปคือการเหยียดหยามพื้นที่และฐานะ
ชาวบ้านท้องถิ่นแม้จะยากจนต้องมาทำงานหาเงินในเรือนพักร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังดูถูกผู้อพยพเหล่านั้น
ผู้อพยพก็เหยียดหยามชาวบ้านท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่แถบนครบาลมีชีวิตย่ำแย่กว่าผู้อพยพอย่างพวกเขา สมควรถูกดูหมิ่น
มีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมายระหว่างสองฝ่ายในแต่ละวัน
แต่ว่าเวลานั้น ทุกคนยังรู้วิธีที่จะยับยั้งตัวเอง รู้วิธีปฏิบัติตามกฎของเรือนพัก ไม่กล้าที่จะขยายความขัดแย้ง
แต่คราวนี้ เนื่องจากการดื่มน้ำ ปัญหาที่สะสมมานานก็ปะทุขึ้น ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์นองเลือดที่มีผู้เข้าร่วมพันกว่าคน อีกทั้งยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกร้อยกว่าคน
เรื่องที่น่ายินดีคือ เวลานั้นเป็นช่วงกลางดึก มองเห็นได้ไม่ชัด ไม่มีคนเสียชีวิต
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจัง “การปะทะครั้งนี้ เจ้าต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าให้ป้องกันผู้อพยพกลุ่มนั้น พวกเขาชอบจับกลุ่ม บางคนชอบความรุนแรง ในวันที่ลมและฝนสงบ คนเหล่านี้อาจเชื่อฟัง แต่เมื่อประสบกับภัยพิบัติ ชีวิตไม่ราบรื่น คนกลุ่มนี้ย่อมจะกระโดดออกมาก่อปัญหาเป็นอันดับแรก”
“เจ้าควรกำจัดคนที่ชอบใช้ความรุนแรงกลุ่มนี้ออกไปตั้งแต่แรก ไม่ให้พวกเขาพักอยู่ในเรือนพัก ตรงกันข้าม ชาวบ้านในท้องถิ่นล้วนทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ รากฐานของพวกเขาอยู่ในนครบาล จิตใจของพวกเขามั่นคงยิ่งกว่า อีกทั้งเต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฎของเรือนพักหาเงินเลี้ยงครอบครัวอย่างสงบมากกว่า”
“ผู้อพยพจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาตักน้ำในเขตสาม เบียดบังโอกาสและเวลาของชาวบ้าน หากผู้อพยพให้ชาวบ้านตักน้ำก่อน พวกเขาค่อยตัก การปะทะนี้ย่อมไม่เกิด จุดยืนของเจ้ามีปัญหาตั้งแต่แรก”
“ส่วนลึกในใจของเจ้า เจ้าเห็นอกเห็นใจผู้อพยพที่ไม่มีสิ่งใดมากกว่า ดังนั้นเมื่อเจ้าไกล่เกลี่ย เจ้าคำนึงถึงแต่ความยุติธรรม แต่ไม่รู้ว่าความยุติธรรมของเจ้านั้น ความจริงแล้วคือการเบียดเบียนผลประโยชน์ของชาวบ้าน การไกล่เกลี่ยของเจ้า ไม่เพียงไม่อาจทำให้ผู้อพยพพอใจ อีกทั้งยังไม่อาจทำให้ชาวบ้านพอใจ การปะทะที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในเดิมที เมื่อถูกเจ้าไกล่เกลี่ย กลับทำให้อารมณ์และความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น”
เมื่อเยียนสุยฟังจบ เหงื่อของเขาก็ไหลพราก “ข้าน้อยสมควรตาย คุณหนูโปรดลงโทษ”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าเย็นชา “เจ้าย่อมต้องถูกลงโทษ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ชาวบ้านกลุ่มนั้นเป็นคนที่เรือนพักต้องการ ผู้อพยพนั้นไม่ได้มีรากเหง้าอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่มีทางอยู่อย่างสงบ เมื่อมีปัญหา พวกเขาย่อมจะสร้างความเดือดร้อน
ข้าก็เคยบอกเจ้า ปีนี้ไม่รับผู้อพยพ รับแต่ชาวบ้านที่สูญเสียที่ดินแถบนครบาล ข้ายังเคยเตือนเจ้า เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น ต้องกำจัดผู้อพยพจำนวนหนึ่งออกไป งานของเจ้า อันดับแรกคือรับรองความปลอดภัยและผลประโยชน์ของเรือนพัก หาใช่ความเห็นใจไม่ แต่เจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวัง”
เยียนสุยก้มหน้าด้วยความละอายใจและรู้สึกผิด…
“คุณหนูโปรดรับสั่ง ข้าน้อยควรทำอย่างไรจึงจะชดเชยความผิดได้”
เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงไม่พอใจ “นับแต่วันนี้ เจ้ารับผิดชอบเพียงการเพาะปลูกของเรือนพัก ด้านบุคคลมอบหมายให้พ่อบ้านใหญ่ที่มาใหม่จี้ผิง”
จี้ผิง ผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยสาขาหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกของห้องตำรา
คราวนี้ เขาได้เลื่อนขั้นอย่างแท้จริง
จากพ่อบ้านรองร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยเลื่อนขั้นเป็นพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพักร่ำรวย ฐานะเสมอกับเยียนสุย
ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านจี้ของร้านผ้าสี่ฤดูในเรือนพักร่ำรวยก็ถูกโยกย้ายเข้าไปในเมืองหลวง
พี่น้องตระกูลจี้ไม่อาจทำงานที่เดียวกันได้
มันคือกฎของเยียนอวิ๋นเกอ
เทียบกับการเชื่อใจคนแล้ว นางเชื่อใจระบบมากกว่า
คนมีจุดอ่อน อย่าคิดจะทดสอบจุดอ่อนของคนเด็ดขาด
———————————————-