ตอนที่ 202 ขับไล่
จี้ผิงทักทายเยียนสุยด้วยความสุภาพ “พ่อบ้านเยียน ต่อจากนี้พวกเราทำงานร่วมกัน ข้าเพิ่งมา มีเรื่องที่ไม่รู้มากมาย หากมีเรื่องที่ข้าทำผิด รบกวนท่านช่วยชี้แนะ!”
ภายในใจของเยียนสุยซับซ้อนอย่างมาก
บอกว่าไม่ผิดหวังย่อมเป็นการโกหก
ที่ผ่านมา เขาเป็นใหญ่เพียงคนเดียวในเรือนพักร่ำรวย เขาสามารถตัดสินใจทุกเรื่องในเรือนพักได้
แต่เวลานี้อำนาจของเขา อำนาจทางด้านกำลังคนที่สำคัญที่สุดถูกแบ่งไป
โกรธหรือ
เขาไม่โกรธ!
หากไม่ได้เกิดการปะทะนองเลือด เขายังคงเป็นพ่อบ้านใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของเรือนพักร่ำรวย
เพราะเขามั่นใจในตัวเองเกินไป เชื่อสายตาของตัวเองเกินไปจนชะล่าใจ ทำให้คนเห็นช่องโหว่ ก่อให้เกิดการปะทะที่ร้ายแรงเพียงนี้
เขาทำตัวเอง!
ไม่อาจโทษผู้ใดได้
เขาถอนหายใจพลันลุกขึ้นมา พูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ให้พ่อบ้านจี้จัดการเรื่องนี้แทนข้า ช่างน่าละอายยิ่งนัก”
จี้ผิงรีบพูด “พ่อบ้านเยียนไม่ต้องเกรงใจ! ต่อจากนี้พวกเราทำงานร่วมกัน หวังว่าเรือนพักร่ำรวยจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในมือของพวกเรา”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
เมื่อทั้งสองคนพบหน้ากันแล้ว เยียนอวิ๋นเกอจึงรับสั่งเยียนสุย “นำรายชื่อและคำให้การทั้งหมดส่งให้จี้ผิง เรื่องต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้ารับผิดชอบเพียงการบุกเบิก และการผลิตก็พอ”
เยียนสุยยิ้มขมขื่น “ข้าน้อยรับคำสั่ง! ข้าน้อยใจอ่อนไปชั่วขณะ เห็นผู้ลี้ภัยไร้ที่ไป จึงคิดหาทางให้พวกเขาอยู่ในเรือนพัก อย่างน้อยก็มีข้าวกิน แต่ไม่คิดว่าคนเหล่านั้นไม่ซาบซึ้งแม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “เมื่อเสียเปรียบในคราวนี้แล้ว ภายหลังเจ้าต้องจดจำบนเรียน จิตใจของมนุษย์นั้นซับซ้อน อย่าได้มีเมตตาไปเรื่อยเปื่อย”
“ขอรับ!” อย่างไรแล้ว ภายในใจของเยียนสุยก็ยังคงผิดหวัง ผิดหวังต่อตนเอง อีกทั้งยังผิดหวังต่อผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี
หลายปีมานี้ เขามีความสนิทกับผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
แต่ไม่คิดว่า เพียงเพราะการใช้น้ำ พวกเขาจะตอบแทนเขาเช่นนี้
ตใจคนไม่เหมือนอดีต เหมือนดั่งยุคสมัยที่ตกต่ำ!
เยียนสุยท้อแท้ใจ
เยียนอวิ๋นเกอให้วันหยุดเขาหลายวัน ให้เขาได้พักผ่อนครุ่นคิด
เรื่องบางเรื่อง เขาต้องคิดได้เอง
ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดมากเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบการตระหนักรู้ด้วยตนเอง
จี้ผิงเพิ่งมาถึง แต่อยากสร้างผลงานเพื่อสร้างอำนาจและบารมีที่มั่นคงอย่างมาก
เขาอายุน้อยย่อมมักจะถูกผู้อื่นดูถูก
ดังนั้นภายในใจของเขาก็วิตกกังวลแล็กน้อย โนเวล-พีดีเอฟ
เยียนอวิ๋นเกอกำชับเขา “เจ้าลงมือทำ ควรโบยก็โบย ควรส่งสำนักหยาเหมินก็ส่งสำนักหยาเหมิน ควรขับไล่ออกไป ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ล้วนขับไล่ออกไป ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เรือนพักร่ำรวยไม่ใช่ไม่ใช่โรงเจ ไม่เก็บคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่เก็บผู้ก่อปัญหา ไม่เก็บครอบครัวของผู้ที่เป็นหายนะ หากมีคนทำผิด ขับไล่ออกไปทั้งครอบครัว”
ผู้ลี้ภัยจับกลุ่ม
หากขับไล่ออกไปเพียงคนเดียว แต่เก็บคนในครอบครัวเอาไว้ย่อมมีแต่ความเสียหาย
หากจะขับไล่ย่อมต้องขับไล่ออกไปทั้งครอบครัว
หากร้ายแรงกว่านั้น ทั้งหมู่บ้าน ทั้งชุมชน หรือแม้แค่คนทั้งแคว้นล้วนขับไล่ออกไปให้หมด
ในเมื่อชอบจับกลุ่มกันนัก ย่อมต้องรับผิดชอบแต่ผลของการจับกลุ่ม
อย่าโทษเยียนอวิ๋นเกอใจร้าย
การบริหารเรือนพักเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนนับหมื่น เกี่ยวข้องกับเงินหลายแสนก้วนในแต่ละปี หากใจไม่แข็งพอ เรือนพักก็บริหารต่อไปไม่ได้
บนแผ่นดินนี้ไม่ขาดแคลนคนน่าสงสาร
เยียนอวิ๋นเกอยินดีที่จะส่งสารชาวบ้านในท้องถิ่นมากกว่าสงสารผู้ลี้ภัยที่ชอบจับกลุ่มก่อปัญหา
คิดว่าจับกลุ่มจะไร้ความเกรงกลัวทำตามอำเภอใจได้หรือ
นางจะทำให้ผู้ลี้ภัยที่ชอบจับกลุ่มรับรู้ถึงความร้ายกาจ
จี้ผิงโน้มตัวรับคำสั่ง
มีเถ้าแก่หนุนหลังเขา เขาตัดสินใจที่จะลงมือทำอย่างวางใจ
ใช้โอกาสนี้สร้างอำนาจและบารมีของตนเองในเรือนพัก
เมื่อได้รายชื่อและคำให้การมาแล้ว จี้ผิงก็นำคนเดินทางไปยังคลังที่กักขังคนเหล่านั้นเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์
หลังจากรู้คนที่เป็นแกนนำแล้ว เขาก็แบ่งแยกคนที่เข้าร่วมออก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาคุมตัวแกนนำไปยังสำนักราชการ มอบให้สำนักราชการลงโทษ
เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปในสำนักหยาเหมินก็ไม่ต้องคิดจะมีชีวิตรอดกลับมา
คนอื่นที่มีส่วนร่วมล้วนคุมตัวมายังลานจัตุรัส
จากนั้นเกณฑ์คนทั้งหมดเดินทางมาดูการลงโทษที่ลานจัตุรัส
โบย!
มีคนห้าสิบที!
มีคนยี่สิบที!
มีคนสิบที แต่ก็มีคนห้าที
ล้วนโบยอย่างหนักที่สุด
คิดว่าการรวมตัวก่อปัญหาไม่ต้องชดใช้หรือ
ปั๊บๆ…
บนลานจัตุรัสมีเสียงโบยดังขึ้น
รุนแรง!
ใจสั่น!
เรือนพักที่เงียบสงัดมาหลายวัน เมื่อมีเสียง ‘ปั๊บ’ แรกดังขึ้นก็ฟื้นขึ้นมาจากการหลับไหล
“โบยพวกเขาให้ตาย!”
“โบยให้แรง!”
“ล้วนสวมควรตาย!”
“คืนเรือนของข้า คืนเสบียงของข้า!”
ผู้คนต่างโบกสะบัดหมัดด้วยฮึกเหิม ราวกับเป็นสิงโตทีเดือดดาล
หากไม่มีบรรดาองครักษ์ที่ก่อตัวเป็นกำแพงมนุษย์ ฝูงชนที่เดือดดาลคงพุ่งเข้าไปทำร้ายกลุ่มคนชั่วเหล่านี้แล้ว
มีคนนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น
อารมณ์ที่สะสมมาหลายวันถูกปลดปล่อยออกมาในเวลานี้
มีคนสีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
มีคนสีหน้าตื่นเต้น ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นโดยไม่กลัวเรื่องที่จะบานปลาย
มีคนยังคำนวณว่าตนเองจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ได้มากน้อยเท่าใด
พันกว่าคนถูกโบย ภาพเหตุการณ์ช่างน่าระทึก
สถานการณ์นี้หาพบได้ยากในชีวิต
หลังจากโบยแล้ว จี้ผิงถือลำโพงเหล็กยืนอยู่บนแท่นสูง ประกาศเสียงดัง “คนเหล่านี้คือผู้ลี้ภัยที่เข้าร่วมการปะทะทั้งหมด รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา พรุ่งนี้พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากเรือนพักร่ำรวยทั้งหมด”
โห่!
ทุกคนต่างตะลึง!
ชาวบ้านท้องถิ่นส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ดี!”
“เถ้าแก่ปรีชา!”
“ควรไล่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไปนานแล้ว! ล้วนเป็นหายนะ”
…
ผู้ลี้ภัยจำนวนมาก “…”
พวกเขามีใบหน้าซีดเผือด ผลที่เลวร้ายที่สุดมาถึงแล้ว
จี้ผิงยังคงกำลังตะโกนเสียงดัง “…เรือนพักร่ำรวยให้ข้าวให้น้ำพวกเจ้า ให้พวกเจ้ามีกิน ช่วงภัยพิบัติก็ไม่ถึงกับต้องทนหิวโหยรอตาย แต่พวกเจ้าตอบแทนเถ้าแก่และเรือนพักอย่างไร
เพื่อน้ำเพียงเล็กน้อย พวกเจ้ากลับจู่โจมเรือนพักกลางดึก เรือนพักที่ทุกคนลำบากสร้างขึ้นมาหลายปีจึงมีขนาดเพียงนี้เกือบถูกเผาจนมอดไหม้ คนอย่างพวกเจ้า หากไม่ใช่เถ้าแก่เมตตา พวกเจ้าล้วนสมควรตาย
พวกเจ้าอย่าคิดแค้นใจที่ขับไล่พวกเจ้าออกจากเรือนพัก เพียงแค่เรื่องที่พวกเจ้าทำ ลากออกไปตัดหัวก็สมเหตุสมผล นับแต่นี้หากผู้ใดกล้าก่อปัญหาในเรือนพัก นี่ก็คือจุดจบ
คนผู้เดียวก่อปัญหา ผิดทั้งครอบครัว หากไม่อยากทำให้ครอบครัวเดือดร้อนก็จงเชื่อฟัง องครักษ์ของเรือนพักไม่ใช่เครื่องประดับ หากไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถลองความเร็วของมีดในมือของเหล่าองครักษ์ ดูว่ามันจะฆ่าคนได้หรือไม่”
ทันทีที่สิ้นเสียง คมดาบหล่นลง ตอไม้ถูกหั่นครึ่ง
หัวหน้าองครักษ์เยียนหนานยืนอยู่บนแท่นสูงข่มขู่ทุกคน
จี้ผิงออกคำสั่งให้จับกุมคนที่ถูกโบยทั้งหมดเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าขับไล่ออกจากเรือนพัก
ครอบครัวของพวกเขาก็ถูกขับไล่
ให้เวลาครอบครัวของพวกขาเก็บสัมภาระเพียงหนึ่งคืน ไม่ต้องออกจากเรือนพักไปมือเปล่า
มันเป็นความเมตตาที่มากที่สุดของเยียนอวิ๋นเกอ
อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยนำสัมภาระออกจากเรือนพักหาอาชีพใหม่
…
เวลาสองวัน ผู้ลี้ภัยนับหมื่นถูกขับไล่ออกจากเรือนพักร่ำรวย
คนทั้งครอบครัวร้องห่มร้องไห้ คนแก่ร้องไห้ เด็กร้องไห้ ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
เยียนสุยยืนอยู่บนเนินเขา มองผู้ลี้ภัยเหล่านี้ถูกเหล่าองครักษ์ขับไล่
ภายในใจของเขาลังเลอย่างมาก
ไม่รู้เมื่อใดที่จี้ผิงมาถึงข้างตัวเขา
“พ่อบ้านเยียนคิดว่าข้าเย็นชาเกินไปหรือไม่”
เยียนสุยส่ายหน้า ไม่ตอบโต้
จี้ผิงพูด “คราวนี้ ไม่เพียงผู้ลี้ภัยที่เข้าร่วมการปะทะและครอบครัวถูกขับไล่ ผู้ลี้ภัยที่ชอบความรุนแรงและเตรียมเคลื่อนไหวเหล่านั้นล้วนถูกขับไล่ออกไป หากเก็บพวกเขาไว้ ไม่เพียงสิ้นเปลืองเสบียง อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาขึ้นง่าย”
สีหน้าของเยียนสุยเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงไม่พูดสิ่งใด
จี้ผิงพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้มีข้อคัดค้านต่อการบริหารของพ่อบ้านเยียน ข้าคิดว่าหากปีนี้ไม่ได้เกิดภัยแล้ง การปะทะก็คงไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบ ทุกคนยังคงอยู่อย่างสงบ”
เยียนสุยหันกลับมามองเขา “คุณหนูให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องคนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดูแลคนไม่ต้องการความเมตตาที่ไม่จำเป็น แต่ต้องการความใจเย็นและเย็นชาที่เพียงพอ ภัยพิบัติหรือภัยจากมนุษย์มีโอกาสเกิดขึ้นทุกเวลา ความสามารถของข้าไม่เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ประเภทนี้อย่างเห็นได้ชัด ขอบใจเจ้าที่ช่วยจัดการให้ข้า”
“พ่อบ้านเยียนไม่ต้องเกรงใจ! ต่อจากนี้พวกเราร่วมมือกัน ทำให้คนส่วนใหญ่ในเรือนพักพอใจ ทำให้เถ้าแก่พอใจ!”
เยียนสุยมองไปยังเชิงเขา พลันถาม “พวกเขาถูกขับไล่ หลังจากไม่มีการคุ้มกันของเรือนพัก พวกเขาจะไปที่ใดได้”
“ไม่รู้!” จี้ผิงสมกับเป็นคนที่เย็นชา เขาไม่สนใจทิศทางการไปของผู้ลี้ภัยที่ถูกขับไล่แม้แต่น้อย
เยียนสุยถามเขา “เจ้าไม่กังวลผู้ลี้ภัยที่ถูกขับไล่จะโจมตีเรือนพักในสักวันหรือ พวกเขารู้สถานการณ์ของเรือนพัก หากพวกเขาลอบโจมตี เรือนพักจะต้านไหวหรือ”
จี้ผิงยิ้มเย้ยหยัน “กลัวแค่พวกเขาไม่ลอบโจมตี หากพวกเขากล้าลอบโจมตีเรือนพัก ข้าจะใช้โอกาสนี้จับกุมพวกเขาเอาไว้ กำจัดให้สิ้นซาก”
เยียนสุยพบว่าความกังวลของตนเองเสียเปล่า
จี้ผิงเตรียมตัวที่จะถูกผู้ลี้ภัยเหล่านั้นลอบโจมตีเอาไว้อแล้ว อีกทั้งยังหวังให้ผู้ลี้ภัยมาโจมตีเรือนพัก
เขาจะได้สะงหารคนอย่างถูกต้อง สร้างบารมีขึ้นมา!
มิน่าคุณหนูส่งเขามารับผิดชอบคนในเรือนพัก
โหดเหี้ยม!
เยียนสุยยอมรับว่าเทียบไม่ได้ เขาจึงไม่แสดงความคิดเห็นอีก จะได้ไม่ถูกคนหัวเราะเยาะ
———————————————-