ตอนที่ 204 นายน้อยเซียวหาโอกาสมาเยือน
หวังหยวนเหนียงกำลังตรวจดูรายการสิ่งของอยู่ในเรือน
มีเสบียง มีผ้าผืน มีผักดอง…
สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำของนางกับพี่เซิ่นในครึ่งปีนี้
สิ่งเหล่านี้วางอยู่ด้วยกันทำให้นางรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก
พี่เซิ่นเดินเข้ามาจากด้านนอก ผิวพรรณที่ขาวผ่องดำขึ้นหลังจากตากแดดมาทั้งฤดูร้อน
เขายกเหยือกชาขึ้นรินน้ำแก้วหนึ่ง
น้ำมีค่าอย่างมาก!
นางดื่มอย่างระมัดระวังและตั้งใจอย่างมาก
ราวกับต้องการลิ้มลองรสชาติของน้ำทุกหยด
หวังหยวนเหนียงพลางทำงาน พลางถามเขา “พ่อบ้านเรียกท่านไปโรงงาน มีการจัดเวรทำงานใหม่ในโรงงานหรือ เถ้าแก่ตัวสินใจจะเพิ่มปริมาณการผลิตแล้วหรือ”
วาจาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ถึงแม้ส่วนลึกภายในใจของนางจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต หรือมีงานทำมากขึ้น
แต่ภายในใจก็ยังคงมีความคาดหวัง
คาดหวังว่าจะได้ยินข่าวดี
พี่เซิ่นดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว อีกครึ่งแก้วที่เหลือถือไว้ในมือ เขานั่งลงเก้าอี้ตัวเล็ก
“พ่อบ้านเรียกข้าไปประกาศข่าวหนึ่ง ไม่ใช่ข่าวดี”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ไม่หนักไม่เบา
มือของหวังหยวนเหนียงชะงัก นางหันหน้ากลับมาถามเขาด้วยความจริงจัง “ข่าวใด ท่านพูด ข้าฟังอยู่”
พี่เซิ่นถอนหายใจ “พ่อบ้านบอกว่าเวลานี้เรือนพักลำบากมาก ต้องเลี้ยงคนมากมาย เถ้าแก่กดดันอย่างมาก นับแต่วันนี้ งานทุกอย่างในเรือนพัก ไม่ว่าจะเป็นงานในนา หรือว่างานในโรงงาน ค่าแรงของทุกคนล้วนลดลงครึ่งหนึ่ง หากไม่ยอมรับก็ทำได้เพียงออกจากเรือนพักไปหางานใหม่”
“ฮะ!”
หวังหยวนเหนียงส่งเสียงตกตะลึง สายตาฉายแววสับสน
“ค่าแรงลดลงครึ่งหนึ่ง?”
ข่าวนี้สะเทือนใจนางอย่างมาก
ค่าตอบแทนลดลงครึ่งหนึ่ง หมายความว่านางจะต้องยกเลิกแผนทั้งหมด
ชีวิตที่พอมีพอกินในเดิมทีกลายเป็นขัดสนในชั่วพริบตา
พี่เซิ่นพูดขึ้นอีก “พ่อบ้านถามข้าว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ บอกให้เวลาพวกเราสองคนไตร่ตรองหนึ่งคืน พรุ่งนี้เข้าไม่ว่าจะไปหรือจะอยู่ ล้วนต้องกลับไปทำงานในโรงงาน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หวังหยวนเหนียงมีสีหน้าขมขื่น “ข้าจะมีความคิดอย่างไรได้อีก เถ้าแก่มีกิจการใหญ่เพียงนั้นยังมีชีวิตลำบาก พวกเราสามัญชนยิ่งลำบากมากกว่า หากออกจาเรือนพัก พวกเราจะไปหางานทำจากที่ใด จะเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร อย่าว่าแต่ค่าตอบแทนลดลงครึ่งหนึ่ง แม้ค่าตอบแทนจะเหลือร้อยละสามสิบก็ยังมีคนแย่งกันทำงาน อยู่ต่อเถิด! นอกจากอยู่ในเรือนพักแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดได้อีก” โนเวล-พีดีเอฟ
พี่เซิ่นพยักหน้า “ฟังเจ้า! พรุ่งนี้เช้าข้าจะกลับไปทำงานที่โรงงาน พวกเราจะอยู่ต่อ ค่าตอบแทนลดครึ่งก็ลดครึ่ง อย่างน้อยก็มีกินมีดื่ม หากประหยัดก็ยังสามารถกักตุนเสบียงส่งกลับไปให้คนในครอบครัวได้”
หวังหยวนเหนียงถอนหายใจ นางเก็บผ้าผืนและเสบียงอย่างเงียบๆ
นางพูดเสียงเบา “สภาพอากาศแห้งแล้งเป็นเวลานานแล้ว ในบ้านคงไม่มีผลประกอบการ ข้าคิดว่าจะใช้เวลาที่งานน้อยช่วงนี้ ส่งเสบียงสิบจินกลับบ้านไป ท่านคิดว่าอย่างไร”
พี่เซิ่นเสียดายเล็กน้อย
เวลานี้น้ำมีค่า เสบียงก็มีค่าเช่นเดียวกัน
แต่ว่าเขายังคงพยักหน้า “สิบจินพอกินหรือ ต้องเพิ่มอีกห้าจินหรือไม่”
หวังหยวนเหนียงส่ายหน้า “พวกเราต้องกตัญญูต่อทางพ่อแม่ของท่านด้วย ท่านส่งเสบียงกลับไปด้วยตนเองดีหรือไม่”
พี่เซิ่นส่ายหน้า “ข้ารอเจ้ากลับมาจากบ้าน พวกเราค่อยส่งเสบียงกลับไปพร้อมกัน มิฉะนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องตำหนิเจ้าอีกอย่างแน่นอน เจ้าส่งเสบียงกลับไป พวกเขาย่อมดีใจ”
หวังหยวนเหนียงยิ้มหวาน
พี่เซิ่นถามอย่างระมัดระวัง “ให้เสบียงไปแล้ว พวกเราจะพอกินหรือ”
หวังหยวนเหนียงพยักหน้าระรัว “พอกิน ข้าคำนวณเวลาแล้ว เสบียงที่เหลือพอพวกเรากินครึ่งเดือน หากไม่ได้จริงๆ ยังมีผ้าอีกหลายผืนสามารถนำไปแลกเสบียง”
พี่เซิ่นส่ายหน้าระรัว “เก็บผ้าผืนเอาไว้ก่อน ข้าได้ยินเด็กในร้านผ้าสี่ฤดูบอกว่า ผ้าผืนจะขึ้นราคาอีกในครึ่งปีหลัง ปีนี้ทุกแห่งล้วนเกิดภัยแล้ง ต้นหม่อน ต้นป่านล้วนลดผลผลิต หรือไร้ผลผลิต ปีนี้นุ่นที่มาจากทางตะวันตกไม่เพียงราคาสูง อีกทั้งยังมีจำนวนน้อย เมื่อถึงสิ้นปี ผ้าผืนบนตลาดย่อมต้องขาดแคลน ไม่แน่ว่าอาจจะขาดแคลนยิ่งกว่าเสบียง พวกเราเก็บผ้าผืนไว้ถึงสิ้นปี ย่อมสามารถแลกเสบียงได้มากขึ้น”
หวังหยวนเหนียงหัวเราะ สามีของตนเองนับวันยิ่งมีความคิด นับวันยิ่งใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ นางพึงพอใจอย่างมาก
นางหัวเราะพลันพูด “ล้วนฟังท่าน ยังไม่แตะผ้าผืน ตอนกลับบ้าน ข้าคิดจะนำผักดองไปด้วย…”
“ล้วนฟังเจ้า!”
พี่เซิ่นเด็ดเดี่ยวอย่างมาก เขาไม่ถือสาแม้แต่น้อย
หวังหยวนเหนียงพึงพอใจ นางพยายามทำให้เท่าเทียมกัน ไม่ลำเอียงทั้งสองฝ่าย
ให้เสบียงบ้านตนเองสินจิน ให้บ้านสามีก็สิบจิน
หากทำเช่นนี้ คนในบ้านสามียังมีเรื่องตำหนิ นางก็หมดหนทาง
อย่างมากต่อจากนี้ก็กลับบ้านสามีให้น้อยลง ไม่สนใจคนเหล่านั้น
ทั้งสองคนมีครอบครัวของตนเอง มีรายรับครึ่งหนึ่งมาจากนาง
นางมีสิทธิจัดการรายรับของตนเอง
เพียงแต่ระยะหลายเดือนมานี้ งานนับวันยิ่งน้อยลง ชีวิตก็นับวันยิ่งลำบากขึ้น
หลายวันก่อน ผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาตักน้ำในเขตสาม ทำให้นางกังวลอย่างมาก
เกรงว่าผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะมีลักเล็กขโมยน้อย
ต่อมาเกิดการปะทะนองเลือด ผู้ลี้ภัยนับหมื่นคนถูกขับไล่ออกไป ในที่สุดนางก็ได้นอนหลับอย่างสบาย
เวลานี้ชีวิตลำบาก แต่อย่างน้อยก็มีกินมีดื่ม มีบ้านเรือนให้อาศัย ทุกวันล้วนมีงานทำ
ชีวิตเช่นนี้มีความสุขมากกว่าเมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับภัยแล้งอยู่ด้านนอก
…
วันรุ่งขึ้น พี่เซิ่นและหวังหยวนเหนียงสองสามีภรรยาเดินทางไปโรงงานด้วยกัน
คนที่คุ้นเคยต่างเดินทางมา
ทุกคนต่างเลือกที่จะอยู่ต่ออย่างไม่ได้นัดหมาย
ทางผู้ลี้ภัยก็มีสถานการณ์แบบเดียวกัน ไม่มีผู้ใดเลือกจากไปในเวลานี้
หากออกจาเรือนพักไปก็มีแต่ตาย
โรงงานลงนามสัญญากับทุกคนใหม่อีกฉบับ
ผู้ที่ไม่รู้หนังสือก็ประทับลายนิ้วมือ
เมื่อประทับลายนิ้วมือเสร็จก็ไปทำงานได้
วันนี้ทำงานเพียงครึ่งวัน หนึ่งชั่วยามครึ่ง
เวลานี้ แต่ละวันมีงานทำเพียงเท่านี้
หากอยากทำมากกว่านี้ โรงงานก็ไม่อนุญาต
วัตถุดิบไม่เพียงพอ สิ่งของในโกดังกองดุจภูเขา ไม่มีการหมุนเวียนย่อมไม่มีเงินเข้าบัญชี
สามารถประคองให้ทุกคนมีงานทำครึ่งวัน มีเงินเดือนก็ถือว่าสุดความสามารถแล้ว
เมื่อถึงสิ้นปี สถานการณ์คงยากลำบากกว่านี้
…
หละงจากเยียนอวิ๋นเกอจัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวง
นางให้คนส่งข่าวบอกเซียวอี้ นางต้องการขุดเหมือง
ปีนี้ขาดทุนสาหัส
ไม่เพียงไม่มีผลประกอบการ ไม่แน่ว่ากำไรที่ได้มาหลายปีก่อนก็ต้องหมดไป
ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของนางก็มีเลือดซึม!
เวลานี้มีกิจการใดได้กำไร
นอกจากเงินกู้ดอกเบี้ยสูงแล้วก็คือการขุดเหมือง
โรงแลกเงินสี่ฤดูถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว คนที่มากู้ยืมเงินมีจำนวนมาก กิจการดูคึกคักอย่างมาก ตามหลักแล้วคงจะได้เงินมากมาย
แต่…
ทุกสิ่งล้วนกลัวเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
การเก็บหนี้กลายเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและยุ่งยาก
โรงแลกเงินมีบัญชีไม่ดีจำนวนมาก ล้วนเป็นบัญชีที่เกินกำหนดจ่าย
นางสามารถใช้ความรุนแรงเร่งเก็บเงิน แต่คนที่ยืมก็ต้องมีกิจการที่มีมูลค่า
ผู้ยืมเงินบางคน เจ้าไปเร่งเก็บหนี้ เขาก็ผลักภรรยาหรือบุตรสาวบุตรชายในครอบครัวออกมา อ้างว่าใช้คนจ่ายหนี้
ถุย!
มีคนนับหมื่นในเรือนพักรอกินข้าว มากจนอยากจะขับไล่คนนับหมื่นออกไปอีก
โรงแลกเงินรับคนแทนการชดใช้หนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว
คนที่รับเข้ามาชดใช้แทนหนี้จะทำสิ่งใดได้
หรือต้องเลียนแบบตระกูลขุนนาง ทำให้คนเหล่านี้ให้เป็นทาสนาหรือ
เยียนอวิ๋นเกอเป็นคนที่มีบรรทัดฐาน
ดังนั้นผู้ใดที่นำคนมาชดใช้หนี้ล้วนไสหัวไป
ทั้งขับไล่และยึดที่นาด้วยกำลัง
หากไม่มีที่นาก็ยึดบ้านเรือน
ไม่มีบ้านเรือนก็รื้อเรือน ยึดเสื้อผ้า หรือแม้แต่หม้อเหล็กเพียงหนึ่งเดียวก็ยึดไป
ยอมที่จะเอาเศษเหล็กมาแทนการจ่ายหนี้ก็ไม่เอาคน
วิธีของโรงอลกเงินสี่ฤดูดึงดูดความสนใจของกิจการเดียวกัน
ลับหลังล้วนต่อว่าว่าโรงแลกเงินสี่ฤดูโง่เขลา
ใช้คนชดใช้หนี้เป็นเรื่องที่ดี
ถึงแม้เวลานี้การซื้อค้าคนมีราคาถูก แต่หากมีหนทางก็ไม่ถึงกับขาดทุน เวลาส่วนใหญ่ยังได้กำไร
แต่โรงแลกเงินสี่ฤดูกลับไม่ยอมใช้คนชดใช้หนี้ ยอมที่จะปลดชุดของคนยืมเงินก็ไม่ต้องการตัวคน
จิ๊ๆ ช่างประหลาดเสียจริง
กิจการเดียวกันล้วนกำลังเยาะเย้นโรงแลกเงินสี่ฤดู
จั่งกุ้ยและบัญชีของโรงแลกเงินก็หมดหนทาง
กฎที่เถ้าแก่กำหนดเอาไว้ สิ่งอื่นล้วนรับได้ แต่ไม่เอาคน
นางยอมจ่ายเงินจ้างคนก็ไม่ต้องการสตรีหรือเด็กที่นำมาชดใช้แทนหนี้
นางไม่ใช่คนค้ามนุษย์
นางไม่อาจห้ามผู้เป็นค้ามนุษย์ แต่ตัวนางเองย่อมไม่มีทางเกี่ยวข้องกับการค้านี้
โรงแลกเงินมีบัญชีไม่มีมากมาย อย่าคาดหวังว่าจะได้กำไร
มีเพียงขุดเหมืองที่จะทำให้นางร่ำรวยได้
เซียวอี้มีแหล่งเหมือง เขารู้ว่าที่ใดมีเหมือง
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิดไปมา หากต้องการเติมช่องโหว่ของปีนี้ นางต้องลงทุนไปขุดเหมือง
หากวันใดมีผู้ยืมเงินไม่ยอมจ่ายหนี้ นางก็จะลากบุรุษในครอบครัวนั้นไปทำงานในเหมือนครึ่งปีหรือหนึ่งปีเป็นการชดใช้หนี้
ดีกว่าการใช้สตรีหรือเด็กมาจ่ายหนี้แทนอย่างมาก
แต่ว่านางไม่มั่นใจว่าเซียวอี้จะช่วยนาง
นางกังวลเล็กน้อย
หากในมือของเซียวอี้ไม่มีแหล่งเหมือง นางก็ต้องหาเงินจากทางอื่น
หลังกลับไปถึงเมืองหลวง รออยู่ห้าถึงหกวันก็ยังไม่มีข่าว นางจึงคิดว่าทางเซียวอี้นั้นหมดหวังแล้ว
ในขณะที่กำลังหาหนทางอื่น เพื่อหาเงินแล้ว คราวนี้แม้นางจะต้องทำให้ตระกูลขุนนางขุ่นเคืองก็ไม่เสียดาย
แต่ไม่คิดว่าเซียวอี้จะนัดนางเพื่อหารือเรื่องขุดเหมือง
เยียนอวิ๋นเกอดีใจอย่างมาก นางไปตามนัด
ทั้งสองนัดพบกันที่โรงสุราเล็กแห่งหนึ่ง
โรงสุรากิจการธรรมดา มีเจ็ดถึงแปดโต๊ะ เวลานี้เป็นเวลาทานอาหาร แต่คนนั่งไม่ถึงครึ่ง
เมื่อเดินผ่านโถงใหญ่ไป นางก็มาถึงเรือนด้านหลัง
มีลานขนาดเล็ก ภายใต้เงาไม้มีโต๊ะและเก้าอี้จัดวางอยู่
อาหารก็จัดวางไว้บนโต๊ะ
เซียวอี้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ เขาสวมชุดยาวหันข้าง ผมดำช่อหนึ่งปลิวขึ้นเมื่อลมพัดผ่าน
ใบหน้าของเขาเผยออกมาเพียงครึ่งเดียว ดวงตากระจ่างใส ขนตาเรียงแพ เมื่อเขาหลุบตาลงก่อให้เกิดภาพที่งดงามยิ่งนัก
สำหรับเยียนอวิ๋นเกอแล้ว ข้อดีหนึ่งที่มาเมืองหลวงก็คือสามารถพบเจอชายหนุ่มรูปงามหลากหลายเป็นประจำ
มันถือเป็นข้อดีอย่างมาก
ชายหนุ่มที่งดงาม ยิ่งมากยิ่งดี
นางไม่เลือก!
นางมองเซียวอี้ด้วยสายตาชื่นชม
เซียวอี้หันกลับมามองนาง “เจ้ากำลังหลงใหลในความงามของข้าอีกแล้ว เจ้าช่างโลภเสียจริง”
พู่!
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะออกมา
นางนั่งอยู่ตรงข้ามเขา พลันพินิจอย่างละเอียด “เจ้าฝึกทหารอยู่ในค่ายทุกวัน เหตุใดจึงไม่ดำ”
เซียวอี้ก็พินิจนางเช่นเดียวกัน “แต่เหมือนว่าเจ้าจะดำลงแล้ว!”
ถุย!
เยียนอวิ๋นเกอโกรธ!