ตอนที่ 206 ครอบครัวเดียวกัน
“ยังไม่แต่งงาน ท่านพี่ก็ให้ข้าแทนคุณหนูหลิวว่าพี่สะใภ้ เห็นได้ชัดว่าท่านพี่ไม่เพียงพอใจต่องานแต่งครั้งนี้ ยิ่งพอใจต่อคุณหนูหลิวท่านั้น”
เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกหึง ความรู้สึกนั้นแทบจะเอ่อล้นออกมา
พี่ชายของตนเองถูกหญิงสาวแปลกหน้าแย่งไป ภายในใจของนางย่อมรู้สึกไม่สบายใจนัก
โดยเฉพาะนางไม่เคยพบคุณหนูตระกูลหลิวมาก่อน อีกฝ่ายจะอ้วนหรือผอม จะสูงหรือเตี้ยยังไม่รู้
แต่แล้ว ไม่ต้องมีคำพูด เพียงแค่มองจากสายตา น้ำเสียงและท่าทางของพี่ชายก็รับรู้ได้ว่าเขาชื่นชอบคุณหนูหลิว
เยียนอวิ๋นถงหัวเราะ “รอน้องสี่ได้พบกับคุณหนูหลิว เจ้าก็จะชอบนาง นางเป็นหญิงสาวที่ดีมาก”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “ฟังจากน้ำเสียงของท่านพี่ ท่านสนิทกับคุณหนูหลิวอย่างมาก อีกทั้งยังรู้กำหนดการเดินทางของนาง พวกท่านมาเมืองหลวงด้วยกันหรือ”
“ข้ารู้ว่าไม่อาจปิดบังน้องสี่ได้ ข้ามาเมืองหลวงพร้อมนาง พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดทาง”
เยียนอวิ๋นถงยอมรับอย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดบัง
“อ่อ!”
เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกน้อยใจ
ผ่านไปสักพัก นางจึงถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อเดินทางมาเมืองหลวงพร้อมกัน เหตุใดจึงไม่เห็นคุณหนูหลิว เหตุใดท่านพี่จึงไม่เข้าเมืองมาพร้อมนาง”
เยียนอวิ๋นถงเขินอายเล็กน้อย “นางบอกว่าเข้าเมืองด้วยกันไม่เหมาะสม นางจึงพักอยู่ที่อี้จ้านอีกวัน ข้าเข้าเมืองมาก่อน”
เยียนอวิ๋นเกอพูดทันที “ข้าต้องพบคุณหนูหลิวท่านนี้เสียหน่อยแล้ว นางต้องงดงามเพียงใดจึงทำให้ท่านพี่ชื่นชอบนางเพียงนี้”
“นางดีมากจริงๆ! น้องสี่ต้องชอบนางอย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นถงดีใจราวกับคนเสียสติ
…
พี่น้องสองคนพูดคุยอย่างสนุกสนานตลอดทาง จนกระทั่งกลับไปถึงจวนท่านหญิงจู้หยาง
เซียวฮูหยินตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้พบกับบุตรชายเพียงคนเดียวที่แยกจากกันไปหลายปี
นางจับมือของเยียนอวิ๋นถงเอาไว้แล้วร้องไห้ ไม่สนใจการปรามของบ่าวรับใช้และบุตรสาว
เมื่อนางร้องไห้ บรรดาสาวรับใช้ต่างหลั่งน้ำตาตาม
แม้แต่เยียนอวิ๋นเกอที่ร้องไห้ยากก็ขอบตาแดงก่ำ
เซียวฮูหยินมีอารมณ์มากไป เมื่อร้องไห้ก็ห้ามไม่อยู่อีก
ไม่ว่าผู้ใดเกลี้ยกล่อมก็ไร้ประโยชน์
จนกระทั่งบ่าวรับใช้มารายงานบอกว่าคุณหนูใหญ่รู้ว่านายน้อยรองเดินทางมาถึงเมืองหลวง จึงเดินทางมาเยือน เซียวฮูหยินจึงได้หยุดร้องไห้ รับสั่งให้บ่าวรับใช้นำน้ำร้อนมาล้างหน้า
เยียนอวิ๋นเฟยเดินเข้ามาในห้องโถงภายใต้การรายล้อมของบ่าวรับใช้จำนวนมาก
ก่อนอื่นก็เห็นเยียนอวิ๋นถงที่รูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ใจกลางห้องโถง รองลงมาก็คือเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาที่ร้องไห้จนตาบวม
นางเดินหน้าขึ้นหลายก้าวมาถึงด้านหน้าของเยียนอวิ๋นถง “เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็ทำให้ท่านแม่ร้องไห้ เจ้าช่างประสบความสำเร็จ”
เสียงตำหนิที่ไม่หนักไม่เบาทำให้เยียนอวิ๋นถงฉงน
“พี่ใหญ่! ไม่ ไม่ใช่ ข้า…”
เขาต้องการอธิบาย แต่ไม่รู้ควรอธิบายจากที่ใด ทำได้เพียงมองไปยังเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
เซียวฮูหยินถือผ้าเช็ดหน้าซับหากตาเบาๆ จากนั้นกวักมือเรียกให้เยียนอวิ๋นเฟยนั่งลง
“เจ้าเข้าใจอวิ๋นถงผิดแล้ว ไม่ใช่ความผิดของเขา วันนี้ข้าดีใจเกินไป ไม่อาจควบคุมได้ไปชั่วขณะ”
เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยความเป็นห่วง “อย่างน้อยท่านแม่ก็ต้องระวังสุขภาพ ร้องไห้เช่นนี้ ร่างกายของท่านจะรับไหวได้อย่างไร”
เซียวฮูหยินยิ้ม “เจ้าวางใจ ร่างกายข้าไม่เป็นอันใด”
เยียนอวิ๋นเฟยไม่อาจวางใจได้ นางรับสั่งให้คนนำเทียบชื่อของนางเดินทางไปเชิญหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง
เซียวฮูหยินตำหนิ “ไม่ต้องเชิญหมอหลวง ทำให้คนนินทาเสียเปล่า”
“ข้ายังไม่กลัวผู้อื่นนินทา เหตุใดท่านแม่ต้องกังวล” เยียนอวิ๋นเฟยจัดการเสร็จสรรพ เซียวฮูหยินก็หมดหนทาง
จากนั้นเยียนอวิ๋นเฟยก็หันไปเพ่งเล็งเยียนอวิ๋นเกอ
“เหตุใดวันนี้น้องสี่จึงดูเหม่อลอย เหตุใดจึงไม่รู้จักเกลี้ยกล่อมท่านแม่ ท่านแม่ร้องไห้จนตาบวมแล้ว เจ้าไม่สงสารหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพูดตามความจริง “เกลี้ยกล่อมไม่อยู่! เมื่อท่านแม่เห็นพี่สอง น้ำตาก็ไหลลงมาราวกับน้ำหลาก”
ทันทีที่นางเอ่ยปาก ทุกคนต่างหัวเราะ
เยียนอวิ๋นเฟยรู้สึกขบขันจนไม่อาจทำหน้าบึ้งต่อ “พูดอันใดกัน เจ้าปั้นเรื่องใส่ท่านแม่เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้าสมควรถูกตี! ข้าสมควรถูกลงโทษ! พี่ใหญ่ลงโทษให้ข้าไปทำปลาให้พวกท่านดีหรือไม่” เยียนอวิ๋นเกอพูดต่อ
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “ข้าว่าอวิ๋นเกออยากกินปลาเองเสียมากกว่า”
เยียนอวิ๋นเฟยคล้อยตาม “ข้าเห็นด้วยกับท่านแม่ วันนี้ลงโทษให้น้องสี่นั่งคุยกับพวกเรา ไม่อนุญาตให้เข้าครัวไปทำปลา วันอื่นเมื่อน้องสองมาถึง ค่อยทำก็ไม่สาย”
เซียวฮูหยินพยักหน้าระรัว “มีเหตุผล”
เยียนอวิ๋นเกอรีบคัดค้าน “วันนี้ทำปลา วันอื่นเมื่อพี่สองพาหลานสาวมา ข้าค่อยทำอีกครั้ง กินสองครั้งไม่ดีหรือ พี่รอง ท่านยินดีที่จะลองชิมฝีมือของข้าหรือไม่”
เยียนอวิ๋นถงพยักหน้า ยินดีอย่างมาก
เมื่อนึกถึงฝีมือการทำปลาของน้องสี่ เขาก็น้ำลายไหล “ระหว่างทางมาเมืองหลวง ข้าคิดถึงปลาที่น้องสี่ทำอยู่เสมอ แม้แต่ในฝันก็ยังอยากกิน”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าได้ใจ
ฝีมือของตนเองได้รับการยอมรับจากทุกคนในตระกูล
เซียวฮูหยินหัวเราะร่า “ดูท่าทางได้ใจของนาง หากไม่ยอมให้นางเข้าครัววันนี้ กลางคืนอวิ๋นถงคงต้องฝันถึงอีกครั้ง”
เยียนอวิ๋นเฟยเม้มปากยิ้ม “เมื่อพูดเช่นนี้ ข้าคงเป็นคนใจร้ายไม่ได้ น้องสี่ เจ้าไปตกปลาเถิด อย่าลืมเตรียมไว้มากขึ้นหลายตัว”
“ข้าไปช่วยน้องสี่”
เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เยียนอวิ๋นถงก็กระตือรือร้นอย่างมาก
สีหน้าของเยียนอวิ๋นเฟยดำทะมึนลง “เจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ได้พูดคุยกับท่านแม่ เรื่องงานแต่งก็ยังไม่ได้บอกกล่าวให้ชัดเจน เจ้าจะไปที่ใด”
เยียนอวิ๋นถงหัวเราะแห้ง พลันนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
นางกลัวน้องสี่อวิ๋นเกอ แต่ก็กลัวพี่ใหญ่อวิ๋นเฟย
ในบรรดาพี่น้อง มีเขาที่ขี้ขลาดที่สุด
เขายิ้มขอโทษเยียนอวิ๋นเกอ วันนี้ไม่อาจตกปลา เข้าครัวด้วยกันได้ น่าเสียดายเสียจริง
เยียนอวิ๋นเกอกลับพูด “ข้าก็อยากฟังเรื่องแต่งงานของพี่สอง”
เซียวฮูหยินหยอกล้อนาง “อวิ๋นเกอของพวกเราโตแล้ว เริ่มสนใจเรื่องงานแต่งแล้ว หรือว่าเจ้าอยากแต่งงาน”
“ท่านแม่!” เยียนอวิ๋นเกอไม่ยอม
อยากแต่งงานอันใดกัน นางเพียงแค่อยากรู้เรื่องของผู้อื่นมากเท่านั้น นางอยากรู้ว่าพี่สองกับคุณหนูหลิวรู้จักกันได้อย่างไร
นางนั่งลงทันที
เรื่องตกปลาย่อมมีบ่าวรับใช้จัดการแทน
ตกปลาจะสำคัญกว่าการฟังเรื่องของผู้อื่นได้อย่างไร
เซียวฮูหยินรถามเยียนอวิ๋นถง “ในตระกูลเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามาแต่งงานที่เมืองหลวง ท่านพ่อเจ้าว่าอย่างไร”
เยียนอวิ๋นถงตอบตามความจริง “ท่านพ่อกำชับให้ข้าเชื่อฟังความเห็นของท่านแม่ หากพบเจอเรื่องที่จัดการยาก สามารถขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ไม่ขาดแคลนเส้นสาย อีกทั้งยังกำชับให้ข้ารีบกลับไปหลังจากแต่งงาน อย่าได้หลงใหลในความรุ่งเรืองของเมืองหลวง”
เซียวฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ถือว่ายังพูดจามีเหตุผล”
สำหรับเยียนโส่วจ้าน เซียวฮูหยินคิดอย่างไรก็พูดเช่นนั้น
เยียนอวิ๋นถงกระอักกระอ่วน “ท่านพ่อให้ข้าถามไถ่ท่านแม่ ไม่รู้ท่านแม่จะกลับแคว้นซ่างกู่เมื่อใดไ
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย “ท่านพ่อเจ้าอยากให้ข้ากลับไปหรือ”
เยียนอวิ๋นถงพูดตามความจริง “ข้าก็ไม่อาจบอกได้ว่าท่านพ่อจริงใจหรือหลอกลวง หลังจากท่านแม่จากมา เฉินฮูหยินก็รับมือเรื่องภายในจวน ข้าอยู่ในค่ายทหารตลอดปี นานทีจะกลับจวนครั้งหนึ่ง”
ความหมายก็คือ สำหรับความคิดที่แท้จริงของบิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้าน เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เซียวฮูหยินตอบรับ “เจ้ามาแต่งงานที่เมืองหลวง อีกทั้งยังแต่งกับคุณหนูของตระกูลหลิวในเหลียงโจว เฉินฮูหยินได้พูดสิ่งใดหรือไม่”
เยียนอวิ๋นถงตอบ “ข้าไม่ได้พบนาง เพียงแค่ได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่า เฉินฮุหยินอาละวาดไปสองครั้ง ต่อมาถูกท่านพ่อเกลี้ยกล่อมเอาไว้ ไม่รู้ท่านพ่อพูดเรื่องใดกับนาง ไม่นานนางก็ดีใจขึ้นมา อีกทั้งยังพร่ำบ่นกับบ่าวรับใช้ บอกว่างานแต่งของข้าก็ไม่ได้ดีนัก ยังมีงานแต่งที่ดีกว่า”
เซียวฮูหยินกระจ่าง “อ่อ! หากพูดเช่นนี้ ท่านพ่อของเข้าคงได้คู่ครองให้เยียนอวิ๋นฉวนแล้ว หากทำให้เฉินฮูหยินดีใจขึ้นมาได้ย่อมต้องเป็นงานแต่งที่สามารถข่มตระกูลหลิวได้ หากมองไปทั่วแคว้นซ่างกู่ ทั้งโยวโจว ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลใดสามารถข่มคุณหนูตระกูลหลิวได้ นอกเสียจากคู่หมายที่ท่านพ่อของเจ้าดูให้เยียนอวิ๋นฉวนไม่ได้อยู่ในโยวโจว เขากำลังคิดจะปรองดองกับตระกูลขุนนางใดหรือ เพียงแต่ตระกูลขุนนางจะยอมรับเยียนอวิ๋นฉวนหรือ”
ไม่ว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะได้รับควาโปรดปรานเพียงใด แต่เขาก็เป็นเพียงบุตรที่กำเนิดจากอนุภรรยา
ตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ล้วนให้ความสำคัญกับเอกรอง
อีกทั้งมารดาผู้ให้กำเนิดของเยียนอวิ๋นฉวนมีชาติตระกูลต่ำต้อย
ท่ามกลางท่านลุงที่มากมาย มีเพียงเฉินมั่วที่ประสบความสำเร็จ
เพียงแต่เฉินมั่วก็ต้องทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเยียนโส่วจ้านเช่นเดียวกัน
เยียนอวิ๋นเฟยพูดแทรก “เพียงแค่มีผลประโยชน์ที่เพียงพอ ตระกูลขุนนางก็สามารถละทิ้งอคติที่มีแต่เอกและรอง หมั้นหมายบุตรสาวให้เยียนอวิ๋นฉวน เพียงแต่ตระกูลที่สามารถข่มคุณหนูตระกูลหลิวได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา ตระกูลขุนนางที่ไม่ธรรมดาแต่ยอมปรองดองกับท่านพ่อ หมั้นหมายบุตรสาวให้เยียนอวิ๋นฉวน หรือว่าจะมีเรื่องที่พวกเราไม่รู้”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “ข้ากลับสงสัย ตระกูลใดที่ถูกท่านพ่อเจ้าจับความผิดได้จนต้องถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ”
จำเป็นต้องบอกว่าผู้ที่รู้จักเยียนโส่วจ้านที่สุดก็ยังคงเป็นเซียวฮูหยิน
นางรู้จักกลอุบายของเยียนโส่วจ้านอย่างดี
ชาติตระกูลของผู้ที่สามารถข่มคุณหนูตระกูลหลิวได้ย่อมต้องเป็นตระกูลขุนนาง
การที่สามารถปรองดองกับตระกูลขุนนาง หมั้นหมายบุตรสาวที่กำเนิดจากภรรยาเอกในตระกูลชั้นสูงแทนเยียนอวิ๋นฉวนได้ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเยียนโส่วจ้านจะกำความผิดของอีกฝ่ายเอาไว้ บังคับให้อีกฝ่ายสมยอม
เยียนอวิ๋นเฟยขมวดคิ้ว “กำความผิดของอีกฝ่ายเอาไว้ บังคับให้อีกฝ่ายยอมแต่งบุตรสาวก็ได้หรือ ท่านพ่อไม่กลัวที่จะสร้างศัตรูเพิ่มหรือ”
เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “เพียงแค่ในมือของบิดาเจ้ามีเบี้ยที่เพียงพอ เขาก็สามารถทำสิ่งใดก็ได้ ไม่เพียงสามารถปรองดอง ยกระดับฐานะของเยียนอวิ๋นฉวน แต่เขายังสามารถหาผลประโยชน์ได้ไม่น้อย แน่นอน อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงแม้โยวโจวจะเป็นดินแดนยากเข็ญ แต่ก็มีข้อดีที่พื้นที่อื่นไม่มี อาทิการร่วมมือกับท่านโหวผิงอู่ สืออุนนั้นก็ราบรื่นอย่างมาก”
เยียนอวิ๋นเฟยเข้าใจในทันที
ว่าไปแล้วยังคงต้องดูว่างานแต่งนี้มีผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด
เพียงแค่มีผลประโยชน์ที่มากพอ การให้บุตรสาวแต่งงานกับเยียนอวิ๋นฉวนก็เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์
เยียนอวิ๋นถงพูดขึ้น “ไม่ต้องสนใจว่าพี่ใหญ่จะแต่งกับคุณหนูตระกูลใด คุณหนูหลิวไม่มีทางยอมยืนอยู่เฉยๆ ให้ผู้อื่นข่มอย่างแน่นอน ข้าเชื่อใจนาง!”
โอย!
ยังไม่แต่งงานก็มั่นใจเพียงนี้
เซียวฮูหยินยิ้มตาหยีมองบุตรชาย “เจ้ารู้จักกับคุณหนูหลิวนานเพียงใดแล้ว”
ใบหน้าของเยียนอวิ๋นถงแดงก่ำ “ไม่นานนัก”
“ไม่นานนักคือนานเพียงใด”
“แค่ไม่กี่ปี”
“กี่ปี”
“เกือบห้าหกปี”
เยียนอวิ๋นถงก้มหน้าตอบตามความจริง
เมื่อทุกคนได้ยินจึงต่างตกตะลึง
เยียนอวิ๋นเกอพูดเสียงดัง “ห้าหกปีก่อน พี่สองก็รู้จักกับคุณหนูหลิวแล้ว เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินท่านพูด”
เยียนอวิ๋นถงตอบ “หากข้าเอ่ยถึงหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน เจ้าย่อมต้องซักถาม เรื่องแบบนี้จะพูดได้อย่างไร”
แฮะ!
รักษาความลับเก่งเสียจริง
———————————————-