ตอนที่ 216 ฮ่องเต้ทรงคลั่ง
เซียวฮูหยินที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงไม่รับรู้ถึงจิตใจที่กระตือรือร้นของเยียนโส่วจ้าน
นางกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งของเยียนอวิ๋นถง
บุตรชายเพียงคนเดียวของนางแต่งงาน นางย่อมอยากจะจัดให้ยิ่งใหญ่
เพียงแต่ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น มีพื้นที่มากมายไร้ผลผลิต ส่งผลให้เกิดผู้ลี้ภัยจำนวนมากขึ้นแล้ว
หากจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้ เกรงว่าจะนำมาซึ่งการร้องเรียนของอวี้สื่อ นำมาซึ่งความสนใจของทุกคน นำมาซึ่งความไม่พอใจของคนในวัง
จากนิสัยใจแคบและตระหนี่ของฮ่องเต้ หากรู้ว่านางจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่ เขาจะต้องจดจำเอาไว้อย่างแน่นอน
เมื่อมีโอกาสเหมาะสมก็จะคิดบัญชีย้อนหลัง
“เฮ้อ…”
นางมีเงิน แต่ไม่สามารถจัดงานแต่งให้บุตรชายอย่างยิ่งใหญ่ได้ ภายในใจก็รู้สึกเสียดาย
เยียนอวิ๋นถงไม่สนใจ “ท่านแม่ไม่ต้องถอนหายใจ ญาติของพวกเราทั้งสองตระกูลล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวง เดิมทีงานแต่งก็ไม่อาจจัดใหญ่ได้ ไม่อาจเชิญแขกมามากได้ เชิญแขกมาเพียงสิบยี่สิบโต๊ะก็เพียงพอแล้ว!”
เซียวฮูหยินไม่พอใจ “เจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า งานแต่งของเจ้ามีแขกเพียงสิบยี่สิบโต๊ะ เจ้าคิดว่าข้ายากจนหรือ งานแต่งของเจ้าอย่างน้อยก็ต้องมีแขกนับร้อยโต๊ะ”
เยียนอวิ๋นถงขมวดคิ้ว “แต่คนของตระกูลเยียนและตระกูลหลิวล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแขกร้อยโต๊ะ!”
เซียวฮูหยินส่งเสียงไม่พอใจ “อาศัยข้ากับพระราชบุตรเขยหลิว อย่าว่าแต่ร้อยโต๊ะ สองร้อยโต๊ะก็เชิญมาได้”
เพียงแต่ไม่อาจแจกจ่ายเทียบเชิญ
ครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา ลังเลไปลังเลมา สุดท้ายเหลือเพียงสามสิบห้าโต๊ะ
เยียนอวิ๋นถงรู้สึกว่ามากเกินไป
เซียวฮูหยินถลึงตาข่มเสียงคัดค้านของเขา
เยียนอวิ๋นถงแอบพร่ำบ่นกับน้องสี่ลับหลัง “ท่านแม่ขี้โมโหเสียจริง! ข้าเพียงแค่บอกว่าสามสิบห้าโต๊ะมากไป ท่านแม่ก็รำคาญข้า บอกให้ข้าอย่าไปวนเวียนอยู่ตรงหน้านาง”
“ท่านสมควร!”
เยียนอวิ๋นเกอไม่เห็นใจแม้แต่น้อย
“ท่านแม่กำลังจัดงานแต่งให้ท่าน ท่านไม่ซาบซึ้งแล้วยังจะเลือกมากอีก”
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ซาบซึ้ง” เยียนอวิ๋นถงร้อนใจ “ข้าแค่กลัวท่านแม่จะเหน็ดเหนื่อย เห็นนางมักจะถอนหายใจ จึงได้เสนอให้ลดจำนวนโต๊ะลง”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว สายตาที่มองพี่ชายเหมือนกำลังมองคนโง่
“พี่สอง ท่านไม่รู้จักท่านแม่เอาเสียเลย หากจะพูดให้ถูกคือท่านไม่รู้จักสตรี ท่านแม่ถอนหายใจ ท่านก็บอกให้ลดจำนวนโต๊ะลง ไม่ด่าท่านจะด่าผู้ใด เหตุใดท่านแม่จึงถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะไม่อาจแจกจ่างเทียบเชิญ ไม่อาจจัดงานใหญ่ได้หรือ ท่านยังบอกให้ลดจำนวนโต๊ะลงอีก ท่านกำลังต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด การรับมือกับคนที่ชอบต่อต้านอย่างท่านก็คือการข่มขี่”
เยียนอวิ๋นถงรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก “ข้าแค่กลัวท่านแม่จะเหน็ดเหนื่อย”
“จัดงานแต่งให้บุตรชาย ท่านแม่ไม่มีทางรู้สึกเหนื่อย โง่!”
ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็ด่าออกมา สะใจ!
เยียนอวิ๋นถงโกรธจนบ้าคลั่ง “ข้าโง่อย่างไร ข้าโง่ที่ใด ข้าหวังดีชัดๆ”โนเวลพีดีเอฟ
“หวังดีประสงค์ร้าย”
คำพูดของเยียนอวิ๋นเกอกระเทือนจิตใจอย่างมาก
เยียนอวิ๋นถงเหนื่อยใจ
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “ท่านดูข้า ข้าเพียงแค่คล้อยตามท่านแม่ ถึงแม้จะมีความเห็นที่แตกต่าง ข้าก็จะเลือกพูดออกมาในเวลาที่เหมาะสม ส่วนท่านไม่สนใจสิ่งใด มีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น ท่านไม่โง่ ผู้ใดจะโง่กัน”
“ใช่ๆ ข้าโง่”
เยียนอวิ๋นถงระอาอย่างมาก เขายอมแพ้ในทันที
หากพูดด้วยเหตุผล เขาไม่มีวันชนะน้องสี่
มันเป็นบทเรียนลึกซึ้งที่ใช้เลือดและน้ำตาแลกมา เขาจดจำได้ขึ้นใจ
เขาถามอีกครั้ง “ข้าควรทำอย่างไร”
“เที่ยวเล่น ดื่มสุรา ทำความคุ้นเคยกับเมืองหลวง คบค้าสมาคม หากต้องตาผู้ใดก็มอบเทียบเชิญ”
เยียนอวิ๋นเกอพูดเล่น แต่เยียนอวิ๋นถงคิดจริง
เขาวิ่งไปหาเซิ่นซูเหวินที่สำนักไท่เสวีย ให้เซิ่นซูเหวินนำเขาเที่ยวเล่นไปรอบเมืองหลวง
ภัยแล้ง!
เมืองหลวงที่กว้างใหญ่ก็มีสภาพเหี่ยวเฉา ราวกับขาดแคลนชีวิตชีวา
ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนนล้วนเร่งรีบ สีหน้าขมขื่น
ราคาเสบียงสูงขึ้น ค่าแรงกลับตกแล้วตกอีก
คนที่หางานทำมีจำนวนมากเกินไป ค่าแรงจึงถูกกดลง
รายรับลดน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ในฐานะสามัญชนของเมืองหลวง พวกเขาต่างมีชีวิตที่ยากลำบากเช่นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้กินอิ่มแม้แต่มื้อเดียวมาเป็นเวลานานแล้ว
สีหน้าของทุกคนต่างย่ำแย่
ข้าวยังกินไม่อิ่มก็อย่าคิดว่าจะได้กินเนื้อ
ในท้องไม่มีไขมัน ชีวิตยากลำบาก!
ในปีแห่งภัยพิบัติ ราคาเนื้อพุ่งทะยานตามสถานการณ์
เนื่องจากไม่มีเสบียงเลี้ยงสัตว์ปีก หมูหรือแพะ
แหล่งเนื้อจึงลดลง ราคาเนื้อย่อมสูงขึ้น
เมื่อเดินอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาหลายวัน เยียนอวิ๋นถงก็หมดความสนใจทันที
แต่ละคนไร้ชีวิตชีวา สีหน้าอมทุกข์ เขาไม่อาจทนดูต่อไปได้ อีกทั้งไม่มีสิ่งใดน่าดู
คนมักชื่นชอบความมีชีวิตชีวา ชอบเห็นความรุ่งเรืองของตลาด แม้จะไม่มีส่วนร่วม แต่ก็รู้สึกชอบ
เมื่อเห็นแต่ความไร้ชีวิตชีวา อารมณ์ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
มันคือนิสัย
เซิ่นซูเหวินถอนหายใจ “ชีวิตสามัญชนยากลำบากเพียงใด แต่ราชสำนักกลับไม่มีมารตรการบรรเทาที่มีประสิทธิภาพ”
เขาในฐานะนักเรียนของสำนักไท่เสวีย แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นเมืองหลวงตกอยู่ในสภาพนี้
ในฐานะนักเรียนแห่งสำนักไท่เสวียที่จพรับราชการในอนาคต เขาก็เกิดความรับผิดชอบขึ้นในใจ
เยียนอวิ๋นถงพูด “พี่ซูเหวินลองร่วมมือกับสหายส่งหนังสือไปยังราชสำนัก ขอให้ราชสำนักเปิดคลังหลวงบรรเทาภัยพิบัติ”
เซิ่นซูเหวินขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าคลังหลวงไร้เสบียง อีกทั้ยงยังต้องกักตุนเสบียงไว้ในฤดูหนาว”
เยียนอวิ๋นถงได้ยินจึงหัวเราะ “คลังหลวงจะไม่มีเสบียงได้อย่างไร ท่านรู้ว่าที่นาหลวงมีเท่าใดหรือไม่ เสบียงในแต่ละปีของสำนักเส้าฝู่มีมากน้อยเพียงใด บอกว่าไม่มีเสบียง เหตุใดจึงไม่เห็นสมาชิกราชวงศ์ต้องหิวโหย เสบียงมี แต่เอาออกมาได้ได้ เพราะต้องรับรองว่าราชวงศ์จะมีเสบียงที่เพียงพอก่อน”
เซิ่นซูเหวินขมวดคิ้ว
เขาไม่ใช่บัณฑิตที่ทำงานเพียงเพราะความเลือดร้อนเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นตระกูลเจริญรุ่งเรืองจนล่มสลายกับตา แต่เขาก็เคยประสบกับความยากลำบาก เคยเห็นจวนใหญ่ของตระกูลกลายเป็นจวนของผู้อื่น
เคยสัมผัสกับการเหยียดหยามและดูถูกของผู้อื่น
รู้ว่าหากคนต้องงานมีชีวิตอย่างสง่าเป็นเรื่องยากเพียงใด
ดังนั้นเขาจึงหวงแหนทุกสิ่งที่มีอยู่ในเวลานี้
ก่อนลงมือทำสิ่งใด เขาต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อตระกูล
เพราะเขาไม่มีทางหนี
เขาไม่มีทรัพย์สมบัติที่มั่งคั่งให้เผาผลาญ
เขาพูดเสียงเบา “องค์หญิงเฉิงหยางออกเสบียงช่วยองค์ชายสามบรรเทาภัยพิบัติ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เสบียงนี้จะเหลือส่วนหนึ่งไว้ในเมืองหลวง กดราคาเสบียงของเมืองหลวง เพียงแค่ราคาเสบียงลดลง สามัญชนก็สามารถพักหายใจได้”
เยียนอวิ๋นถงเลิกคิ้ว “ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือ ให้องค์หญิงเฉิงหยางออกเสบียงกดราคาเสบียงในเมืองหลวง ความดีความชอบเป็นของผู้ใด ความเสียหายเป็นของผู้ใด มีประโยชน์ต่อนางอย่างไร ผู้ใดมาชดเชยความเสียหายให้นาง”
พูดจบ เขาก็ตบไหล่ของเซิ่นซูเหวิน “อย่าคิดเรื่องให้ง่ายเกินไป ราคาเสบียงขึ้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องราคาอย่างเดียว ภายในยังเกี่ยวข้องกับด้านต่าง ๆ ผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก เพียงแค่ฝนไม่ตกลงมา ราคาเสบียงก็จะขึ้นตลอด ด้านหลังมีมือจำนวนนับไม่ถ้วนประคองราคาเสบียงเอาไว้ ไม่ให้มันตกลงมา”
เซิ่นซูเหวินยิ้มขมขื่น เรื่องนี้เขารู้ดี
ราคาเสบียงขึ้นย่อมเป็นผลประโยชน์ต่อตระกูลขุนนางที่อยู่เบื้องหลัง
ผู้คนต่างบอกว่าขาดแคลนเสบียง
แต่หารู้ไม่ว่าเสบียงในโกดังของตระกูลขุนนางมีมากเสียจนกินไม่หมดในอีกหลายสิบปี
ขาดแคลนเสบียงหรือ
ความจริงแล้วไม่ขาดแคลนเสบียง
เพียงแต่เสบียงอยู่ในมือของคนจำนวนน้อย พวกเขาไม่ยอมเอาออกมากดราคาเสบียง
ราชสำนักไร้ความสามารถ ไม่มีเสบียงที่เพียงพอในการถ่วงราคา
บางทีมีคนจงใจปิดบังฮ่องเต้ ไม่ยอมให้ฮ่องเต้ถ่วงราคาเสบียง
คลังหลวงมีเสบียงหรือไม่ ฮ่องเต้ทรงรู้หรือ
…
วังหลวง
ฮ่องเต้หย่งไท่ผอมลงอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น
ซุนปังเหนียนรู้สึกสงสารและกังวลอย่างมาก เขาต้องคอยเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้หย่งไท่ระวังสุขภาพอยู่ทุกวัน
ฮ่องเต้หย่งไท่ขมวดคิ้วมุ่น ระยะนี้เขากังวลใจอยู่ทุกวัน ทำให้เขาดูแก่ชราลงเจ็ดแปดปี
ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน สามัญชนหดหู่ยิ่งทำให้เขากังวลกว่าการสยบสงครามเหล่าท่านอ๋อง
เขากินไม่ได้นอนไม่หละบ
กลัวภัยแล้งขยายกว้างขึ้น ร้ายแรงขึ้น ส่งผลให้แผ่นดินเกิดความโกลาหล
สีหน้าของเขายิ่งดำทะมึนลงเมื่อมองรายงายภัยแล้งจากแต่ละพื้นที่ที่องครักษ์จินอู่และองครักษ์ซิ่วอีถวายขึ้นมา
“ทำลายแผ่นดินต้าเว้ยของข้า สมควรตาย!”
“ขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้ล้วนสมควรตาย!”
“ประหารๆ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจัด เขาพูดคำว่าประหารหลายครั้งติดต่อกัน
ภายในตำหนักใหญ่ ข้าหลวงทุกคนในวังต่างกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย เพราะกลัวจะกลายเป็นวิญญาณใต้ดาบ
เพร้ง!
ฮ่องเต้หย่งไท่เขวี้ยงแก้วชาทิ้ง!
แก้วชาแตกละเอียด น้ำชากระจัดกระจาย
โครม!
เสียงหนึ่งดังก้อง
ฮ่องเต้หย่งไท่กวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้น
ยังไม่หายโกรธ
เขาหยิบดาบคมที่แขวนอยู่บนกำแพงลงมา พลันตะโกนด้วยความโกรธเคือง:
“อ้าก…”
คมดาบกวาดแกว่างไปกลางอากาศ
ข้าหลวงต่างร้องด้วยความตกใจ หลบหลีกกันชุลมุน เกรงว่าจะกลายเป็นคนที่ต้องสังเวยดาบ
ซุนปังเหนียนอยากรั้ง แต่ก็รั้งไม่อยู่
เขาทำได้เพียงยืนอยู่ห่างๆ ตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! เร็วๆ รีบไปเชิญขุนนางใหญ่ทุกท่านในราชสำนักมา”
บรรดาข้าหลวงวิ่งหนีหลบหลีกได้ แต่ซุนปังเหนียนหนีไม่ได้ เขาต้องเฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้
เขาร้อนใจอย่างมาก
แต่ฮ่องเต้หย่งไท่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็หยุดไม่อยู่
“อ้ากกก…”
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจัด เขาฟาดดาบไปยังทุกสิ่งที่ขวางอยู่ด้านหน้า เสา โต๊ะ เก้าอี้ รวมทั้งคน
มีนางในที่วิ่งหนีช้าถูกฟันลงบนแขน เลือดไหลเป็นทางยาว
มีขันทีประตูเหลืองสะดุดล้มลงพื้น ถูกดาบฟันเข้าที่ลำคอ เลือดกระเซ็นออกมา ทันใดนั้นก็หมดลมหายใจ
ตำหนักที่หรูหราโอ่อ่ากลายเป็นสถานที่เกิดเหตุนองเลือด
แม้แต่ซุนปังเหนียนก็เกือบถูกฟัน
น่าอนาถอย่างยิ่ง!
บรรดาขุนนางที่รีบเดินทางมาก็ตกใจกับภาพเหตุการณ์นองเลือดในตำหนักใหญ่
“เร็วๆ องครักษ์เข้ามา รีบรั้งฝ่าบาทเอาไว้ อย่าให้ฝ่าบาททรงทำร้ายตนเอง”
มีขุนนางใหญ่ออกคำสั่ง องครักษ์จึงกล้าลงมือรั้งฮ่องเต้หย่งไท่
จนกระทั่งองครักษ์ที่รูปร่างสูงใหญ่ใจกล้า ฟาดฝ่ามือลงบนลำคอของฮ่องเต้จนฮ่องเต้สลบไป เหตุการณ์โศกนาฏกรรมนี้จึงจบสิ้นลง
ฮ่องเต้หย่งไท่ถูกข้าหลวงพาไปพักผ่อนยังตำหนักบรรทม
ภายในตำหนักซือจึ้ง เลือดไหลนองเต็มพื้น ซากศพ แขนขาที่ขาด…
น่ากลัวยิ่งนัก!
บรรดาขุนนางราชสำนักเฝ้าอยู่ในตำหนักด้านข้างของตำหนักบรรทม รอฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา
ทุกคนต่างมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
พวกเขารู้ถึงสาเหตุความโกรธของฮ่องเต้แล้ว
สิ่งที่พวกเขากลุ้มคือ เมื่อฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา พวกเขาควรเผชิญหน้ากับการซักถามของฮ่องเต้อย่างไร