ตอนที่ 217 ยากเหลือเกิน
เถาฮองเฮาเสด็จมาตำหนักซิงชิ่งอย่างรีบร้อน
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตามีความหวังของบรรดาขุนนาง นางส่งเสียงไม่พอใจ พลันสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าตำหนักบรรทมไป
ขุนนางกลุ่มนี้ทับถมได้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้ใด
คราวนี้กำลังจะถูกซักโทษจึงเริ่มนึกถึงฮองเฮาอย่างนาง
บนโลกนี้จะมีเรื่องดีเช่นนี้หรือ
ภัยแล้งปีนี้ร้ายแรงเช่นนี้ก็เป็นฝีมือของตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของขุนนางเหล่านี้
หากค่าเช่าที่นาลดต่ำลง โรงแลกเงินเก็บดอกเบี้ยน้อยลง ชาวบ้านที่ประสบภัยก็ไม่ย่ำแย่เพียงนี้
ทุกคนต่างรู้เหตุผลดี แต่ไม่มีผู้ใดยอมเผื่อแผ่ความเมตตาแม้แต่น้อย
เปิดปากปิดปากล้วนสามัญชน แต่ไม่มีเรื่องใดที่ทำเพื่อสามัญชนจริงๆ
พวกเขาล้วนเป็นคนโหดเหี้ยมที่กินคนไม่คายกระดูก เฮอะๆ …
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ยอมลุกขึ้น เขานอนสงบอยู่บนเตียง
ซุนปังเหนียนไม่กล้าเกลี้ยกล่อม อีกทั้งเขาก็เกลี้ยกล่อมไม่ไหว
เมื่อเห็นเถาฮองเฮามาถึง เขาก็โล่งใจ
อย่างน้อยไม่ต้องให้เขารับแรงกดดันคนเดียว
เถาฮองเฮานั่งลงบนหัวเตียง กุมมือของฮ่องเต้เบาๆ
ฮ่องเต้ไม่เคลื่อนไหว
นางพูดเสียงเบา “บรรดาขุนนางต่างรออยู่ด้านนอก หากฝ่าบาททรงไม่อยากพบพวกเขา หม่อมฉันจะให้พวกเขากลับไป”
ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็เคลื่อนไหว เขาหันหน้ามองเถาฮองเฮา “เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้า?”
เถาฮองเฮาทำหน้าเศร้า “เวลานี้แล้ว ฝ่าบาทยังทรงสงสัยในเจตนาของหม่อมฉันหรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน เขาบีบคอของเถาฮองเฮาเอาไว้
เถาฮองเฮาทำหน้าตกใจ
ซุนปังเหนียนยิ่งอ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าส่งเสียง เกรงว่าขุนนางด้านนอกจะได้ยิน ยิ่งกลัวว่าจะกลายเป็นคนซวย
ฮ่องเต้หย่งไท่ตะคอกเสียงต่ำ “อย่าคิดจะเห็นข้าอับอาย แผ่นดินของข้า ผู้ใดก็อย่าคิดจะแย่งไป ผู้ใดกล้าทำลาย ข้าจะประหารผู้นั้น”
เถาฮองเฮาจับมือของเขาเอาไว้ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันหายใจไม่ออกเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงเย็น แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยเถาฮองเฮา
เถาฮองเฮาหมอบอยู่บนหัวเตียง กระแอมไออย่างหนัก นางมีความรู้สึกอยากตาย
นางกุมคอของตนเองเอาไว้อย่างทรมาน
ทุกครั้งที่หายใจล้วนระคายคอ เจ็บปวดอย่างมาก
ไม่ต้องมองก็รู้แล้วว่าคอของนางต้องช้ำอย่างแน่นอน
นางเงยหน้ามองฮ่องเต้หย่งไท่ แววตาของนางสงบกว่าที่เคย
“ฝ่าบาททรงอารมณ์ดีแล้วหรือไม่ ต้องเอาชีวิตของหม่อมฉันถวายพระองค์ด้วยหรือไม่”
ฮ่องเต้หย่งไท่โมโห “เจ้ายังกล้าบ่น?”
“เหตุใดหม่อมฉันถึงบ่นไม่ได้”
เถาฮองเฮาถามกลับ
เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่ถูกฮองเฮาถามกลับ เขาก็สับสน
เขามองเถาฮองเฮาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสับสัน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของนางจึงร้ายกายเพียงนี้ ไม่กลัวเขาลงโทษนางหรือ
เถาฮองเฮาจัดเสื้อผ้าให้ปิดบังรอยช้ำบนคอเอาไว้
อากาศร้อนมาก แม้ภายในตำหนักบรรทมวางเต็มไปด้วยกะละมังน้ำแข็งก็ยากจะต้านความร้อน
ซุนปังเหนียนเหงื่อตก เขาโน้มตัวยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง พยายามลดการมีอยู่ของตนเองให้ต่ำลง
เขาเสียใจที่ตนเองไม่มีวิชาพลางตัว
เถาฮองเฮาพูดอย่างใจเย็น “แผ่นดินเกิดภัยแล้ง สามัญชนกำลังจะตาย ทางใต้เข้าสู่การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ผลผลิตกลับไม่ถึงร้อยละสามสิบของปีก่อนอย่าว่าแต่การจ่ายส่วย แม้แต่การกินก็เป็นปัญหา ยุ้งฉางของสำนักราชการก็ว่างเปล่า ราชสำนักไม่มีเสบียงเหลือที่นำออกมาได้ เจ้าสามออกไปบรรเทาภัยพิบัติยังต้องพึ่งเสบียงขององค์หญิงเฉิงหยาง
เวลานี้พระองค์ไม่ได้ทรงดำริว่าจะบรรเทาภัยพิบัติ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไร หากแต่ทรงแสดงพระบารมีในวัง ฟาดฟันคนด้วยดาบ อีกทั้งยังจะบีบคอหม่อมฉันให้ตาย นับตั้งแต่สยบการกบฏของเหล่าท่านอ๋อง พระองค์ทรงมีกำลังใจสูงมาก ลืมไปแล้วว่าตอนขึ้นครองบัลลังก์เป็นครั้งแรกนั้นยากลำบากเพียงใด เวลานี้แม้แต่แรงสะเทือนเพียงเล็กน้อยก็รับไม่ไหวหรือเพคะ”
“เจ้าบังอาจ!” ฮ่องเต้หย่งไท่ต่อว่า
เถาฮองเฮาหัวเราะ “หม่อมฉันบังอาจจริง! เพียงแต่ฝ่าบาททรงลงมือกับหม่อมฉันแล้ว มีบางเรื่องหม่อมฉันต้องทูลออกมาก่อนสิ้นใจ มิฉะนั้นหม่อมฉันเกรงว่าจะไม่มีเวลา ฝ่าบาททรงสนพระทัยสามัญชน สนพระทัยแผ่นดินต้าเว่ย ทรงแค้นขุนนางท้องถิ่นที่ไม่คิดจะบรรเทาภัยพิบัติ หากแต่สมรู้ร่วมคิดกับผู้มั่งมีในท้องถิ่น บีบบังคับสามัญชนให้เป็นทาส
กลุ่มคนที่เป็นอันตรายต่อส่วนรวม มีหลักฐานเพียบพร้อม อย่างที่ว่าใช้กลอุบายพิเศษในช่วงเวลาพิเศษ เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงหยิบดาบขึ้นมา เลียนแบบฮ่องเต้จงจ้ง ประหารขุนนางที่ทุจริตทั้งหมด ให้เลือดไหลเหมือนสายน้ำ หม่อมฉันไม่เชื่อว่ายังมีคนที่กล้าก่อปัญหา บีบบังคับสามัญชนให้เป็นทาสอีก หรือฝ่าบาททรงเกรงกลัว ไม่กล้าให้ราชสำนักเปื้อนเลือด”
“เจ้า…ผู้ใดให้เจ้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า ผู้ใด”
“ไม่มีผู้ใดสั่งการ คำพูดเหล่านี้มาจากใจของหม่อมฉัน ถึงหม่อมฉันเป็นเพียงสตรี แต่ก็รู้ว่าแผ่นดินสำคัญที่สุด เพียงแค่ชีวิตคนไม่สำคัญนัก ฝ่าบาททรงมีจิตใจที่แน่วแน่นี้หรือไม่”
ปัง!
ฮ่องเต้หย่งไท่โยนหมอนทิ้ง เตะตั่งเล็กล้ม
เถาฮองเฮามองดูอย่างเรียบเฉย
ฮ่องเต้หย่งไท่คว้าคอเสื้อของนาง ดึงนางมาไว้ด้านหน้าตัวเอง “เจ้าจะทำอันใด ยั่วยุให้ข้าสังหารหมู่ ลงมือกับราชสำนัก เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่”
เถาฮองเฮายิ้มเย็น “หม่อมฉันบังอาจถาม ฝ่าบาททรงต้องการแผ่นดินหรือราชสำนัก รักษาราชสำนักแต่สูญเสียหัวใจของสามัญชน รักษาใจของสามัญชนย่อมต้องประหารขุนนางชั่วทั่วแผ่นดิน ไม่มีทางอื่นให้เลือก ยกเว้นฝ่าบาทจะทรงเสกเสบียงออกมาได้กลางอากาศ”
ฮ่องเต้หย่งไท่หอบหายใจ ลมหายใจที่ร้อนระอุกระทบลงบนใบหน้าของเถาฮองเฮา
เถาฮองเฮารู้สึกร้อน รู้สึกว่าบนตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
แต่นางไม่กล้าชะล่าใจ ไม่กล้าบ่นว่าเหนื่อย
นางต้องอดทนเอาไว้ อย่าได้เปิดเผยความอ่อนแอออกมาแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็น “ผู้ใดเสนอความคิดให้เจ้า ผู้ใดคิดจะยั่วยุให้เกิดการเข่นฆ่าในราชสำนัก เป้าหมายอยู่ที่ใด ตระกูลเถาใช่หรือไม่ หรือว่าองค์หญิงเฉิงหยาง”
เถาฮองเฮาส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับพวกเขา คำพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำพูดจากใจของหม่อมฉัน”
“เจ้าหลอกข้าไม่ได้ เจ้ามั่นใจว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าใช่หรือไม่ ดังนั้นเจ้าจึงเหิมเกริมต่อหน้าข้า เจ้าบังอาจ! เจ้าบังอาจแทรกแซงราชการ พยายามสั่นคลอนการตัดสินใจของข้า เจ้าหาที่ตาย!”
“ฝ่าบาทจะทรงประหารหม่อมฉันหรือเพคะ”
ฟืดฟาด! ฟืดฟาด!
เสียงหายใจหนักของฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเข้าหูของเถาฮองเฮาอย่างชัดเจน
เถาฮองเฮาจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเรียบเฉย
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มเย็น “เจ้าวางใจ ข้าไม่ประหารเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเจ้าเอง หรือมีคนออกความคิดให้เจ้า เวลานี้ข้าจะตอบเจ้าอย่างเป็นทางการ อย่าคิดได้แทรกแซงราชสำนัก ไม่ว่าภัยธรรมชาติก็ดี หรือภัยจากมนุษย์ก็ดี ข้าย่อมมีแผนการ”
เถาฮองเฮาเผยยิ้มอย่างงดงาม
นางพูด “หม่อมฉันยินดีกับฝ่าบาท! ในเมื่อฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว หม่อมฉันก็ขอทูลลา!”
นางโน้มตัวและก้มหัวเล็กน้อย รอฮ่องเต้ปล่อยคอเสื้อของนางออก
ฮ่องเต้หย่งไท่ผลักด้วยความแรงในเวลาเดียวกับปล่อยคอเสื้อของนาง เถาฮองเฮาหงายไปด้านหลัง เกือบล้มลงกับพื้น
เมื่อนางประคองตัวเอาไว้ได้ ก็ได้ยินเสียงตวาดของฮ่องเต้ดังขึ้น “ไปให้พ้น! ระยะนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
เถาฮองเฮาลุกขึ้นพลันถวายบังคมด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางหันหลังเดินจากไปโดยไม่พูดสิ่งใด
ซุนปังเหนียนร้อนใจ ฮองเฮาไปแล้ว เขาควรทำอย่างไร
แต่สถานการณ์ในเวลานี้ เขาก็ไม่กล้าเรียกเถาฮองเฮาเอาไว้ ทำได้เพียงมองเถาฮองเฮาจากไป
…
เถาฮองเฮากลับไปยังตำหนักเว่ยยางอย่างไม่สบอารมณ์
นางเขวี้ยงข้าวของทิ้งครึ่งห้อง
นางไม่อาจรักษาความสงบเอาไว้ได้ นางโกรธยิ่งกว่าเวลาใด
เมื่อตอนที่อยู่ในตำหนักซิงชิ่ง นางใช้สติที่มากกว่าคนทั่วไปจึงข่มไฟโกรธในใจเอาไว้ได้
เวลานี้นางกลับมาถึงตำหนักเว่ยยาง นางจึงไม่ต้องอดทนอีกต่อไป
หลังจากเขวี้ยงข้าวของทิ้งแล้ว อารมณ์โกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจของนางก็สงบลง
นางโบกมือให้นางในเก็บสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
นางรับสั่งเหมาเส้าเจี้ยน “ไปเชิญองค์ชายสองมา ข้ามีเรื่องคุยกับเขา”
เหมาเส้าเจี้ยนโน้มตัวรับคำสั่ง ส่งคนไปเชิญองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินอย่างรวดเร็ว
…
เมื่อขุนนางฝ่ายในมาถึงจวนองค์ชาย เซียวเฉิงเหวินกำลังตกปลา
บางทีอาจได้รับอิทธิพลมาจากเยียนอวิ๋นเกอ ระยะนี้เซียวเฉิงเหวินก็ชื่นชอบการตกปลาเช่นกัน
การตกปลาเป็นสิ่งที่ดี มันสามารถฝึกความอดทน ทำให้อารมณ์ที่ขึ้นลงสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
ขุนนางฝ่ายในมาเชิญเขาเข้าไปในวัง
เขาพูดอย่างไม่รีบร้อน “รอข้าเสร็จแล้วจะเข้าไปที่วัง”
มุมปากของขุนนางฝ่ายในกระตุก การตกปลาสำคัญกว่าการเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือ
ขุนนางฝ่ายเตือนเขา “องค์ชาย ฮองเอาออกมาจากตำหนักซิงชิ่งก็ทรงโกรธมาก ทรงอาละวาดอย่างหนัก พระองค์เข้าวังให้เร็วจะดีเสียกว่า อย่าให้ฮองเฮาทรงรอนานเกินไป”
เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้ว “เสด็จแม่ทรงโกรธคงไม่อาจสงบลงได้ชั่วขณะ หากข้าเข้าวังในเวลานี้ก็ไม่อาจหารือเรื่องใดได้ สู้ให้เสด็จแม่สงบลงก่อน ข้าค่อยเข้าวังในภายหลังดีกว่า”
ขุนนางฝ่ายในตื่นตระหนก “องค์ชายทรงเลิกล้อเล่นเสียที พระองค์เสด็จเข้าวังช้าไม่สำคัญ แต่หัวของกระหม่อมคงต้องย้ายบ้านในไม่ช้า”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “มีบิดาบุญธรรมปกป้องเจ้า เจ้าจะกลัวอันใด”
“ถึงแม้จะมีท่านพ่อปกป้องกระหม่อม แต่กระหม่อมก็กลัว! หากทำตามรับสั่งของฮองเฮาไม่ได้ กระหม่อมก็ไร้ความสามารถ หากไร้ความสามารถย่อมต้องตาย!”
ขุนนางฝ่ายในพร่ำบ่นจนเซียวเฉิงเหวินปวดหู
ปลาตกไม่ได้แล้ว
เซียวเฉิงเหวินมองไม้ตกปลาที่ไร้การเคลื่อนไหวด้วยความเบื่อหน่าย
เอาเถิด เอาเถิด เข้าวังสักครั้งเถิด
เขาให้ขุนนางฝ่ายในรอสักครู่ เขาจะกลับไปเปลี่ยนชุดในห้อง รวมทั้งทำให้สีหน้าดูซีดเผือดอ่อนแอลง
เฟ่ยกงกงปรนนิบัติอยู่เคียงข้างพูดขึ้นเสียงเบา “ตั้งแต่คุณหนูใหญ่กำเนิด ร่างกายขององค์ชายก็ดีขึ้นอย่างมากแล้ว หากฮองเฮาทรงรู้ว่าองค์ชายแข็งแรงขึ้นย่อมต้องดีใจ เหตุใดองค์ชายยังทรงปิดบังเอาไว้”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มให้กับกระจกทองสัมฤทธิ์ “เสด็จแม่อาจไม่ดีใจที่เห็นข้าแข็งแรงขึ้น เสด็จพ่อก็คงคิดเช่นเดียวกัน”
มือของเฟ่ยกงกงชะงักไป จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “องค์ชายทรงยากลำบากยิ่งนัก!”
เซียวเฉิงเหวินไม่สนใจ “ยากลำบากหรือไม่ก็ผ่านมานานเพียงนี้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
เฟ่ยกงกงยิ่งทุกข์ใจมากขึ้น
เซียวเฉิงเหวินกลับกังวลเรื่องอื่นขึ้นมาแทน “เยียนอวิ๋นถงกำลังจะแต่งงาน ทางฮูหยินเตรียมของขวัญไว้แล้วหรือไม่”
“องค์ชายทรงวางพระทัย ของขวัญเตรียมไว้นานแล้ว เพื่อของขวัญชิ้นนี้ ฮูหยินนำเงินสินสอดทองหมั้นออกมาโดยเฉพาะ”
เซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงพูดทันที “นางนำเงินออกมาเท่าใดให้บัญชีคืนให้นางเท่านั้น ของขวัญส่งในนามของจวนองค์ชาย จะให้นางใช้สินสอดของตนเองได้อย่างไร ในจวนไม่ได้ยากจนเพียงนั้น”
เฟ่ยกงกงน้อมรับคำสั่ง
เซียวเฉิงเหวินเปลี่ยนเรื่อง “ปีนี้ผลผลิตไม่ดี ข้าคงอาจจะยากจนจริงๆ ทางเรือนพักร่ำรวยสามารถส่งเสบียงในส่วนของปีนี้มาให้ข้าทั้งหมดหรือไม่”
เฟ่ยกงกงรีบทูลตอบ “กระหม่อมจะส่งคนไปถาม หากไม่อาจส่งเสบียงเต็มจำนวนได้ อย่างไรก็ต้องมีหลักฐาน”
“ส่งคนที่ทำงานได้ไปถาม พูดจาสุภาพ อย่าทำให้นางขัดใจ เวลานี้ในมือของผู้ใดมีเสบียง คนผู้นั้นย่อมมีอำนาจ”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”