ตอนที่ 220 จิตอาฆาต
วันนี้มีลม!
อากาศเย็นสดชื่นอย่างหาได้ยาก
ฤกษ์งามยามดี จวนท่านหญิงจู้หยางตกแต่งด้วยโคมสีแดง
แขกเหรื่อมาเยือน
บ่าวรับใช้ภายในจวนเดินไปเดินมากันขวักไขว่วุ่นวาย เหล่าพ่อบ้านจับตาดูพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบ ทุกสิ่งเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน
เยียนอวิ๋นฉวนสวมชุดใหม่ วันนี้เขาจะเดินทางไปสู่ขอพร้อมกับเยียนอวิ๋นถง
เขากระตือรือร้นอย่างมาก
อีกทั้งยังกระตือรือร้นกว่าเยียนอวิ๋นถงที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืนเสียอีก
ความอิจฉา ความไม่พอใจใดๆ ไม่มีในวันนี้
เขาเป็นคนที่รู้จักปรับตัว ภายในระยะอันสั้นก็ปรับตัวให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
เวลาไม่เช้าแล้ว ถึงเวลาต้องออกจากจวนไปสู่ขอ
เยียนอวิ๋นเกอยุ่งอยู่กับการดูแลแขกสตรี
แขกที่เดินทางมาจวนท่านหญิงวันนี้ล้วนเป็นคนรู้จัก
เมื่อพบเจอกับเยียนอวิ๋นเกอ จึงใช้โอกาสวันมงคลนี้หยอกล้อนาง
“เพียงชั่วพริบตา คุณหนูสี่ก็เติบโตเป็นสาวแล้ว ได้มีการหมั้นหมายแล้วหรือไม่”
“ขอบพระคุณฮูหยินทั้งหลายที่ห่วงใย เชิญดื่มชา!”
ทั้งที่วันนี้เป็นวันมงคลของพี่สอง แต่ทุกคนต่างกังวลเรื่องหมั้นหมายของนาง
ราวกับนางเป็นตัวละครเอกในงานเลี้ยงนี้
หลังจากทักทายมารอบหนึ่งแล้วถูกซักถามเรื่องหมั้นหมาย เยียนอวิ๋นเกอรับมือไม่ไหวจึงทำได้เพียงล่าถอย
พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย
เยียนอวิ๋นเกอแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง “พวกท่านล้วนอยากให้ข้าออกเรือนไปในเร็ววัน”
พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยบีบแก้วของนาง “นิสัยของเจ้า หากพวกข้าไม่กังวลแทนเจ้า เจ้าก็จะยืดเยื้อต่อไป ปีหน้าเจ้ากำลังจะถึงวัยปักปิ่น เมื่อถึงเวลานั้นคนที่กังวลเรื่องหมั้นหมายของเจ้าจะยิ่งมากขึ้น หากไม่อยากถูกคนถาม ในใจของเจ้าย่อมต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้เร็ว หากมีเหมาะสม ข้าจะออกหน้าเป็นแม่สื่อแทนเจ้า”
เยียนอวิ๋นเกอกลุ้ม!
นางไม่อยากออกเรือนจริงๆ!
นางไม่ฟัง นางไม่ฟัง!
บ่าวรับใช้มาเตือนว่าขบวนสู่ขอกลับมาแล้ว กำลังจะถึงโถงหลัก
เยียนอวิ๋นเกอรีบเดินทางไปดูพิธีที่โถงหลัก
พี่สองยิ้มได้โง่เสียจริง!
เหมือนคนบ้า
เขาดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ!
ผู้ทำพิธีส่งเสียงร้องโห่!
พิธีแต่งงานดำเนินขึ้น!
เยียนอวิ๋นเกอเห็นเซียวอี้ท่ามกลางฝูงชนที่มาดูพิธี
เหตุใดเขาจึงอยู่ในงานเลี้ยง
ผู้ใดให้เทียบเชิญ
นางจำไม่ได้ว่าเคยให้เทียบเชิญเซียวอี้
เซียวอี้มองตามสายตาของนางกลับมา อีกทั้งยังยิ้มให้นาง
พิธีเสร็จสิ้น!
ส่งเจ้าสาวเข้าเรือนหอ
ทุกคนต่างเดินทางไปดูความคึกคักที่เรือนหอ
เจ้าสาวงดงามอย่างมาก
ทันทีที่เปิดผ้าโพกหัวออกนั้น เยียนอวิ๋นถงมองตนตาค้าง ทำให้คนส่งเสียงหัวเราะออกมา
เจ้าสาวอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คน นางแอบเตะเยียนอวิ๋นถงไปหนึ่งที
ไม่คิดว่าการกระทำนี้จะมีคนเห็น ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เจ้าสาวใบหูแดงก่ำ
ในที่สุดเยียนอวิ๋นถงก็ดึงสติออกมาได้ เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างโง่เขลา แต่มองออกว่ามันเป็นความดีใจที่ออกมาจากภายในของเขา
สี่เหนียง[1] เอ่ยเตือนอยู่ด้านข้าง ให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดื่มสุราเหอจิ้น
เยียนอวิ๋นเกอกำลังดูอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู
“วันหลังเมื่อเจ้าเป็นเจ้าสาวย่อมต้องงดงามกว่านาง!”
ถุ้ย!
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอหันหน้ากลับไป อีกฝ่ายคือเซียวอี้
ไม่รู้คนผู้นี้วิ่งมาถึงข้างกายนางเมื่อใด อีกทั้งยังกล้าพูดจาเหลวไหล
เซียวอี้ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
เยียนอวิ๋นเกอมองหน้าของเขา เห็นแก่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา คราวนี้นางไม่ถือสา
“อย่าได้มีครั้งต่อไป! หากกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าไม่เกรงเจ้าแน่”
นางตักเตือนเสียงเบา
เซียวอี้ถามนาง “เจ้าคิดจะไม่เกรงใจข้าอย่างไร จะนึ่ง หรือผัด”
“จากนั้นฝังไว้ในเรือนด้านหลังจวนเจ้าหรือ”
“ฝันไปเถิด! ข้าจะโยนไปเลี้ยงหมาป่าในหุบเขา”
“เลี้ยงหมาป่าน่าเสียดาย ข้ายังอายุน้อยแข็งแรง คิดว่าเนื้อยังคงสดใหม่…”
ถุ้ยๆ!
เยียนอวิ๋นเกอถลึงตามองเขา ไม่ให้เขาพูดต่อ
เซียวอี้ก้มหน้ายิ้ม พลันเอ่ยเสริมเสียงเบา “เนื้อของข้าสดใหม่ รสชาติดีมาก!”
ไร้ยางอาย!
เยียนอวิ๋นเกอถามเสียงเบา “เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจำไม่ได้ว่าเคยส่งเทียบเชิญให้เจ้า”
เซียวอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ลืมฐานะของข้าแล้วหรือ ท่านโหวผิงอู่เป็นท่านลุงข้า”
เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว
“ข้ายังเป็นแม่ทัพกองทัพใต้ สมควรได้เทียบเชิญ”
ใช่หรือ?
“งานเลี้ยงวันนี้เชิญแต่ญาติ เจ้าเป็นญาติฝ่ายใดกัน”
เยียนอวิ๋นเกอถามจากใจ
เซียวอี้ยิ้ม “อย่างไรข้าก็มีเทียบเชิญ ไม่ใช่มาโดยไม่ได้รับเชิญ เจ้ารังเกียจก็เปล่าประโยชน์”
สมเหตุสมผลเสียจริง!
เยียนอวิ๋นเกอแอบกลอกตา
เซียวอี้หัวเราะ เขาชอบมองเยียนอวิ๋นเกอกลอกตา
…
หลังจาก่อกวนเรือนหอเสร็จ เยียนอวิ๋นถงก็ถูกคนลากออกไปดื่มสุรา
วันนี้ต้องมอมเจ้าบ่าวให้เมา
เยียนอวิ๋นเกออยู่ในเรือนหอเป็นเพื่อนเจ้าสาว ให้นางไม่ต้องตื่นเต้น
เมื่อไม่มีคนรายล้อมอยู่ข้างกาย หลิวเป่าจูก็ไร้ซึ่งความเขินอายเหมือนก่อนหน้านี้
นางพูดด้วยความจริงใจ “ขอบใจน้องสี่ที่อยู่เป็นเพื่อนข้า ก่อนหน้านี้คนมาก ทำให้น้องสี่เห็นความอับอายแล้ว”
“พี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้ พวกเขาก่อกวนมาก พี่สะใภ้ลำบากใจหรือไม่”
“ยังดี! ก่อนออกเรือน สี่เหนียงเตือนข้าไว้แล้ว อย่างน้อยก็เตรียมใจไว้”
“พี่ชายข้าโง่เขลา ต่อจากนี้พี่สะใภ้ต้องลำบากมากหน่อย”
“ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ น้องสี่ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งสองสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันขึ้นมา
…
เซียวอี้พบองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินในฝั่งของแขกชาย
เขาเลิกคิ้วยิ้ม “ช่างหาได้ยาก! พระองค์ทรงยอมเสด็จออกจากจวนองค์ชาย เข้าร่วมงานแต่งของเยียนอวิ๋นถง”
เซียวเฉิงเหวินกระแอไอนับครั้ง สีหน้าของเขาซีดเผือด
เซียวอี้ไม่สนใจ
คนป่วยที่สามารถสร้างเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าร่างกายไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่ทุกคนคิด
สร้างเรื่องไม่เพียงเปลืองสมอง ยังเปลืองกำลัง
เขาสามารถอดทนมานานเพียงนี้ยังไม่ล้มลง ไม่ว่าดูอย่างไรร่างกายก็อ่อนแอกว่าคนปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เซียวเฉิงเหวินกวาดตามองเขา “ข้าก็ไม่คิดว่าจะพบเจอเจ้าเช่นเดียวกัน”
“ดูท่าทางพวกเราต่างประหลาดใจที่เห็นอีกฝ่าย ช่างบังเอิญเสียจริง” เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย
เซียวเฉิงเหวินยกแก้วชาขึ้นเป่าเล็กน้อย ก่อนจะลิ้มลองรสชาติ
ใบชาก่อนฤดูฝน
ปีนี้ภัยแล้งยังสามารถนำใบชาชั้นดีออกมาต้อนรับแขก จวนท่านหญิงมีใจแล้ว
เขาพูดเสียงเบา “เจ้าไม่ควรหาเรื่องตระกูลเยียน”
เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “องค์ชายสองใช้ฐานะใดขอร้องข้า”
เซียวเฉิงเหวินวางแก้วชาลง “ตามที่ข้ารู้ เจ้าเคยคิดจะตัดหัวของเยียนโส่วจ้าน”
เซียวอี้หรี่ตาลง ความอาฆาตปรากฎขึ้น
เซียวเฉิงเหวินราวกับไม่สังเกต เขายังคงพูดต่อ “เจ้าเข้าใกล้ตระกูลเยียนบ่อยครั้ง ข้าคิดว่าเจ้าคงจะถูกใจความสามารถของเยียนอวิ๋นเกอ สตรีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ หากเหลือไว้ให้ผู้อื่นคงไม่อาจสู้เจ้าแต่งงานกับนาง สามีภรรยาร่วมใจกัน หากเยียนอวิ๋นเกอสามารถกลายเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือเจ้าได้ก็ราวกับเสือที่ติดปีก เจ้าคิดเช่นนี้ ใช่หรือไม่”
เซียวอี้ไม่ตอบ
เซียวเฉิงเหวินก็ไม่สนใจ “ความคิดของเจ้า ผู้อื่นไม่รู้ แต่ข้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เซียวอี้ เจ้ามีต้นทุนใดไปแย่งชิง เจ้าคิดจะอาศัยสตรีหรือ”
ปัง!
แก้วชาในมือของเซียวอี้กระทบลงบนโต๊ะเสียงดัง
แต่แก้วชากลับไม่แตก
ตาของเซียวเฉิงเหวินไม่ขยับแม้แต่น้อย “เจ้าเป็นเพียงมือสังหาร เป็นเพียงนักรบ เป็นทหารหน้าม้าที่ถูกคนขับเคลื่อน เจ้าอยากแย่งชิงพื้นที่หนึ่งเพื่อสร้างรากฐานของตนเองคงจะไม่สมจริง กองทัพใต้มีข้าอยู่ เจ้าอย่าคิดจะแตะต้องแม้แต่ทหารคนเดียว พื้นที่ข้าก็ไม่มีทางให้โอกาสใดแก่เจ้า
แผ่นดินต้าเว่ยไม่อนุญาตให้มีคนอย่างเจ้าอยู่ หากพบหนึ่งคนก็ประหารทิ้งหนึ่งคน หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดูว่ามีดในมือข้าเร็วพอที่จะประหารเจ้าหรือไม่!”
เซียวอี้ได้ยินจึงหัวเราะออกมา “พระองค์ก็ทรงข่มขู่ได้เพียงคนที่ไม่มีรากฐานแบบข้า แต่สำหรับแม่ทัพและตระกูลขุนนางที่มีกองกำลังมีพื้นที่แล้ว พระองค์ก็ทรงเหมือนกับเสด็จพ่อของพระองค์ พวกท่านไม่อาจทำอันใดพวกเขาได้ ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากพระองค์ทรงปรีชาสามารถ พระองค์ทรงประหารข้าได้ทันที ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามีดในมือของพระองค์จะเร็วเพียงใด”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ดีมาก! ข้าย่อมไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวัง หวังว่าเจ้าจะรับมือข้าได้ อย่าให้ข้าดูถูกเจ้า”
“พระองค์ทรงปล่อยไม้ตายในมือออกมา หากข้าขี้ขลาด ไม่ต้องรอพระองค์ประหาร ข้าจะปลิดชีพตนเอง!”
เซียวอี้ก็เป็นคนโหดเหมือนกัน
การพนันด้วยชีวิตเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่เสมอ
เขาไม่เคยกลัวการพนันด้วยชีวิต
ชีวิตของเขามีไว้ก็เพื่อนำมาพนัน
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเย็น “บอกท่านโหวผิงอู่ สืออุนแทนข้า มืออย่ายื่นยาวเกินไป หากไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ข้าไม่เสียดายที่จะตัดกรงเล็บของเขาทิ้งเสีย”
สีหน้าของเซียวอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เซียวเฉิงเหวินลุกขึ้น เตรียมตัวจากไป
เซียวอี้กัดฟันยิ้มเย็น “พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในเขตเมืองหลวงยังมีเรื่องใดที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ฮ่องเต้ทรงรู้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงมีการเคลื่อนไหวลับๆ อยู่เสมอ พระองค์แอบเลี้ยงดูเส้นสายมากมายเช่นนี้ เงินพอใช้หรือ ดูท่าทาง มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องตรวจสอบบัญชีของจวนองค์ชาย”
มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเซียวเฉิงเหวินปูดโปนด้วยเส้นเลือด
เขาโกรธอย่างมาก!
บังอาจตรวจบัญชีของเขา หาที่ตาย
เขาหันกลับมามองเซียวอี้ด้วยสายตาเย็นชา “จวนท่านอ๋องจงผิง มีห้าร้อยเจ็ดคนทั้งจวน หากเจ้าไม่สนใจชีวิตของพวกเขา เจ้าก็ไปตรวจดู”
เซียวอี้หัวเราะขึ้นมา
ไม่คิดว่าการลองเชิงคราวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ขีดจำกัดของเซียวเฉิงเหวิน
จวนองค์ชายสองมีเส้นทางหาเงินที่ทุกคนไม่รู้จริงๆ
เขามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ห้าร้อยเจ็ดคนของจวนท่านอ๋องจงผิง หากตายแม้แต่คนเดียว ข้าล้วนคิดอยู่บนตัวพระองค์”
เซียวเฉิงเหวินเลิดคิ้วยิ้ม “ข้าจะรอดู”
เซียวอี้ตะโกนบอกเขา “แผ่นดินต้าเว่ยไม่ใช่ของราชวงศ์พวกท่านเพียงตระกูลเดียว ตระกูลของพวกท่านได้มาครอบครองอย่างไม่ถูกต้อง”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ชนะเป็นกษัตริย์ พ่ายแพ้เป็นโจร ผู้ใดนั่งอยู่บนบัลลังก์ ผู้นั้นก็ถูกต้อง ผู้ที่บังอาจทำลายแผ่นดินต้าเว่ยล้วนสมควรตาย! ถึงแม้เจ้าจะแซ่เซียว เจ้าก็สมควรตาย!”
“พระองค์ทรงสิ้นเปลืองแรงปกป้องแผ่นดินต้าเว่ย แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้พระองค์สืบทอดพระราชบัลลังก์”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเหยียดหยาม “สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่เคยต้องร้องขอจากผู้อื่น หากข้าต้องการ ข้าเพียงยื่นมือหยิบมาเท่านั้น”
กล้าพูดเสียจริง
เซียวอี้หัวเราะร่า “ข้าจะรอดู ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าพระองค์จะยื่นมือหยิบตำแหน่งนั้นไปได้อย่างใด”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเสียดสี “เกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงเวลานั้น”
เวลานี้ทั้งสองฝ่ายล้วนเกิดจิตอาฆาต
ล้วนอยากทำให้อีกฝ่ายตาย
แต่ทั้งสองฝ่ายควบคุมตนเองได้มากกว่าผู้ใด
คนตรงหน้าไม่อาจดูถูกได้ หากไม่มีความมั่นใจ จะลงมืออย่างง่ายดายไม่ได้เด็ดขาด
[1]สี่เหนียง คือ สตรีที่ดูแลงานมงคลในสมัยโบราณ