ตอนที่ 223 เข้าวังเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ท่ามกลางป่าไม้ในพื้นที่ห่างไกลแถวนครบาลเกิดการรวมตัวของโจรป่าจำนวนมากขึ้น
หากขบวนที่มีกำลังพลนับพันอย่างเยียนอวิ๋นถงออกจากเมืองหลวง มีอาวุธชุดเกราะครบคัน โจรป่าย่อมไม่กล้าดักปล้น หากแต่ยังต้องหลบหลีกออกไป
โจรป่ายึดครองเส้นทางคมนาคมสำคัญเพื่อดักปล้นขบวนพ่อค้าที่เดินทางผ่าน
ขบวนพ่อค้าหลายสิบคน หลายคนเป็นเป้าหมายการปล้นหลักของพวกเขา
ระยะเวลาหนึ่งมีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยเดินทางไปร้องทุกข์ที่สำนักหยาเหมิน
สำนักราชการกำลังวุ่นวายกับการบรรเทาภัยพิบัติ ไม่อาจหากำลังคนออกมาจับโจรป่าได้
อีกอย่าง เวลานี้โจรป่าเพียงแค่ปล้นทรัพย์สิน ไม่อันตรายถึงชีวิต มันจึงเป็นสาเหตุที่สำนักราชการไม่มีการเคลื่อนไหวเสียที
จนกระทั่ง เยียนอวิ๋นเกอกลับถึงเมืองหลวง นางบังเอิญพบกับการปล้นของกลุ่มโจรที่ไร้แวว
ขบวนรถของนางขนาดไม่ใหญ่นัก แม้แต่สาวรับใช้ก็มีเพียงร้อยกว่าคน
บางทีอาจเป็นโจรป่าที่หลั่งไหลเข้ามาจากต่างถิ่นก็กล้าพาคนลงมาปล้น ถึงแม้พื้นที่ยังไม่คุ้นชินและคนที่พบเจอก็น้อย
หากโจรป่าที่คุ้นเคยกับพื้นที่ย่อมต้องรู้ว่าขบวนรถของเถ้าแก่เรือนพักร่ำรวยไม่อาจแตะต้องได้
โจรป่ากลุ่มนี้จึงพุ่งตรงลงมาจากเขา เดิมทีอยากจะดักปล้นขบวนรถอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่คิดว่ากลับถูกจู่โจมกลับ
ขบวนรถที่ดูเหมือนธรรมดาจะซ่อนเร้นไปด้วยผู้มีความสามารถ องครักษ์หนึ่งคนสามารถปะทะกับศัตรูสิบคน
แม้แต่สตรีในรถม้าก็สามารถใช้ดาบคมเล่มหนึ่งในการสังหารคนราวกับผักปลา
เวลาเพียงหนึ่งดอกธูป เรื่องราวพลิกผัน
โจรป่าหนีตาย
ทางเยียนอวิ๋นเกอมีกำลังคนน้อย ไม่อาจกระจายกำลังไล่ล่า
ทำได้เพียงจับได้ทีละคน
คนที่นอนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะตายหรือเป็นล้วนนำไปด้วย พวกเขานำโจรป่าส่งไปยังสำนักราชการ ให้สำนักราชการจัดการ
สำนักราชการ “…”
ระยะนี้วุ่นวายกับการบรรเทาภัยพิบัติ แต่ละวันยุ่งจนเท้าไม่ติดดิน
สุดท้ายทุกคนไม่คำนึงในการช่วยสำนักราชการลดภาระ มีแต่เพิ่มภาระ
โจรป่าที่สมควรตายกลุ่มนี้
อยู่ในเรือนไม่ดีหรือ
จำเป็นต้องออกมาเป็นโจร
เรื่องส่วนที่เหลือย่อมมีคนจัดการ
เยียนอวิ๋นเกอไม่แม้แต่จะออกหน้า นางเดินทางกลับเมืองหลวงโดยตรง
เมื่อเซียวฮูหยินรู้ว่านางประสบกับการปล้นของโจรป่าระหว่างทางจึงตกใจ
นางประหลาดใจอย่างมาก “แถบนครบาลมีโจรป่า?”
“คนยังไม่น้อย มองผ่านๆ มีอย่างน้อยสองสามร้อยคน อีกทั้งยังเป็นเพียงคนกลุ่มเดียว บอกว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังคนที่แข็งแกร่งที่สุดเต็มไปด้วยชายหนุ่มที่แข็งแกร่ง”โนเวลพีดีเอฟ
“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่! รีบเข้ามาให้ข้าดู”
เซียวฮูหยินกังวลอย่างมาก
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าผ่อนคลาย “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอันใด พวกคนที่อ่อนหัด ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวของข้าได้”
เมื่อเซียวฮูหยินมั่นใจว่านางไม่เป็นอันใดจึงโล่งใจ
แต่ยังคงกังวลใจ
แถบนครบาลมีโจรปรากฏขึ้นแล้ว พื้นที่อื่นย่อมไม่ต้องคิด สถานการณ์ต้องเลวร้ายถึงขั้นไหน
เรื่องสำคัญคือราชสำนักและสำนักราชการท้องถิ่นมีปฏิกิริยาช้ามาก
ไม่สามารถปราบโจรได้ในทันที
สถานการณ์ปกติ มีเพียงเกิดคดีที่ร้ายแรง หรือไปท้าทายบุคคลต้องห้าม การระวังในพื้นที่จึงจะมีการเคลื่อนไหว เกณฑ์กำลังคนขึ้นเขาปราบโจร
แต่แล้วการปราบโจรเป็นปัญหายากในทุกยุคสมัย
โจรยากที่จะกำจัด อาจเป็นเพราะสำนักราชการไร้ความสามารถ สิ่งสำคัญคือโจรป่าคุ้นเคยกับพื้นที่ เมื่อเจ้าหน้าที่มา พวกเขาก็รีบหลบซ่อนตัวเข้าไปในป่าลึก
เมื่อรอจนเจ้าหน้าที่ล่าถอยกลับไป โจรป่าก็รวมตัวกันดักปล้นอีกครั้ง
ระหว่างนี้ ยังมีคนช่วยส่งข่าว ปกป้องโจรป่า
การปราบโจรเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองแรงอีกทั้งยังไม่ได้ความดีความชอบ
หากปราบโจรสำเร็จ มันก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ ไม่ได้รับรางวัลใด
หากปราบโจรล้มเลว แสดงว่าไร้ความสามารถ เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่!
นอกจากโจรป่ายกธงก่อกบฏ คุณสมบัติของมันก็เปลี่ยนไปทันที
การปราบโจรกลายเป็นการปราบกบฏ
ถึงแม้การปราบโจรต้องสังหารคนเป็นร้อยก็ไม่ได้ความดีความชอบมากนัก
แต่หากเป็นการปราบกบฏ ถึงแม้จะสังหารแค่สิบคนก็เป็นความดีความชอบใหญ่หนึ่งเรื่อง
โจรป่าแถบนครบาลจะกลายเป็นผู้ก่อกบฏหรือไม่ ไม่มีผู้ใดรู้ในเวลานี้
สถานการณ์เลวร้ายลงเป็นเรื่องที่แน่นอน
เซียวฮูหยินกังวลความปลอดภัยของเยียนอวิ๋นเกอ “เจ้าไปเรือนพักร่ำรวยอีกไม่ได้แล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อยเรือนพักทิ้งไป หรือปล่อยให้ร้างสองปี แผ่นดินเกิดภัยแล้ว เวลานี้ไม่สงบ แม้เจ้าจะมีกำลังมากก็ไม่อาจสู้จำนวนคนที่มากได้ คราวนี้เจ้ามีชีวิตรอดปลอดภัย ไม่เท่ากับคราวหน้าเจ้าจะมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ ฟังข้า เวลาที่ควรละทิ้งอย่าเสียดาย”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ข้าเตรียมการทางเรือนพักร่ำรวยไว้แล้ว ระวังคนด้านในติดต่อกับโจรป่าด้านนอกเพื่อร่วมมือกันดักปล้น โจรป่าไม่มาก็แล้วไป หากบังอาจเข้ามาในเรือนพัก ข้าย่อมทำให้พวกเขากลับออกไปไม่ได้ นับตั้งแต่เวลานี้จนถึงปีใหม่ ข้าจะอยู่กับท่านแม่ในเมืองหลวง พี่ใหญ่ใกล้คลอดแล้ว ข้ายังรอทำพิธีสรงสามให้หลายชายตัวน้อยอยู่”
เมื่อได้ยินบุตรสาวบอกว่าก่อนปีใหม่ไม่เตรียมตัวที่จะไปเรือนพักร่ำรวย เซียวฮูหยินก็โล่งใจ
บุตรสาวคนโต เยียนอวิ๋นเฟยคลอดบุตรเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทใกล้เข้ามาแล้ว
วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ผ่านมา เนื่องจากพระชนมพรรษาไม่ใช่จำนวนเต็มจึงไม่ได้จัดใหญ่
แต่ปีนี้พระชนมพรรษาเป็นจำนวนเต็ม นับตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำนักเซ่าฝู่กับสำนักพิธีกรรมก็เริ่มเตรียมการแล้ว
เดิมทีวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาตรงกับหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิพอดี เป็นช่วงเวลาที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความปีติยินดี
แต่ปีนี้สถานการณ์กลับย่ำแย่
เพิ่งผ่านพ้นการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิไป ตั้งแต่ราชสำนักยันพื้นบ้าน ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกลัดกลุ้ม
เสบียงลดผลผลิตอย่างรุนแรง วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้จะผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ทุกคนต่างมีความกังวลใจ แต่ละคนล้วนอกสั่นขวัญแขวน
กลัวเพียงฮ่องเต้จะใช้โอกาสนี้อาละวาด
ดังนั้นของขวัญที่เตรียมสำหรับวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ
ต้องทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัย ทรงเกษมสำราญ!
เพียงแค่ฮ่องเต้ทรงเกษมสำราญ ทุกเรื่องย่อมเจรจาได้
…
งานวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาจัดต่อเนื่องสามวัน
วันแรก ภรรยาของขุนนางราชสำนัก
วันที่สอง เชื้อสายราชวงศ์
วันที่สาม งานเลี้ยงราชวงศ์
เซียวฮูหยินเป็นทั้งภรรยาของขุนนางราชสำนักและเชื้อสายราชวงศ์
เพื่อดูแลบุตรสาวคนโตเยียนอวิ๋นเฟย นางจึงเลือกเข้าวังเพื่อถวายพระพร
เยียนอวิ๋นเฟยท้องแปดเดือนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ภาระร่างกายหนักอึ้ง
โชคดีที่มีเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาดูแลอยู่ด้านข้าง นางจึงถวายพระพรได้สำเร็จราบรื่น
ของขวัญ ท่านโหวผิงอู่ สืออุนสั่งให้คนเตรียมไว้
นางเป็นตัวแทนของท่านโหวผิงอู่ สืออุนถวายของขวัญเฉลิมฉลอง
ฮ่องเต้หย่งไท่เผยยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก อีกทั้งยังถามถึงสถานการณ์ของสืออุน
เยียนอวิ๋นเฟยตอบคำถามอย่างไม่เกรงกลัว
ฮ่องเต้หย่งไท่เอ่ย “สืออุนจงรักต่อจักรพรรดิและห่วงใยบ้านเมือง เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักอย่างแท้จริง ข้าให้ความสำคัญกับเขามาก เสียดายที่ไม่อาจพบหน้าเขา ช่างเป็นเรื่องเศร้าโศกเสียจริง”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนท่านโหว ความเชื่อพระทัยของฝ่าบาทเป็นพระมหากรุณาธิคุณ”
“ฮ่าๆๆ …”
ฮ่องเต้หย่งไท่เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา “ไม่ต้องมากพิธี! บิดาของเจ้าท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน ข้าก็คุ้นเคยอย่างดี หากว่ากันตามความสัมพันธ์ เขายังเป็นน้องเขยของข้า ตอนนั้นข้าเคยพบกับท่านพ่อเจ้าครั้งหนึ่ง เขาเป็นแม่ทัพแต่กำเนิด”
เยียนอวิ๋นเฟยรีบพูด “ทางชายแดนมีภารกิจมาก ท่านพ่อไม่อาจมาถวายพระพรฝ่าบาทในเมืองหลวงได้ ขอฝ่าบาททรงโปรดอภัยเพคะ”
“ไม่เป็นอันใด! แม่ทัพชายแดนไม่ได้มาเมืองหลวงแม้แต่คราวเดียวในปีนี้ ข้าล้วนเข้าใจ”
เมื่อประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัด
ทุกคนต่างกลั้นหายใจเอาไว้ ไม่กล้าส่งเสียงดัง
เยียนอวิ๋นเฟยเหงื่อตก
นางอึดอัด
ภาระร่างกายหนักอึ้ง เวลานี้แรงกดดันถาโถมเข้ามา นางแทบจะประคองตัวไว้ไม่อยู่
โชคดีที่เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดายืนออกมาทันเวลา
“นับแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ไม่สงบนัก กองทัพชายแดนทางเหนือเตรียมการทำสงคราม ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่วันเดียว ปีนี้ทางเหนือเกิดภัยแล้ง ที่ราบแห้งแล้งเช่นเดียวกัน เมื่อผ่านพ้นการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปก็ต้องระวังเผ่าที่ราบลงใต้มาบุกโจมตี เวลานี้ แม่ทัพที่มีความรับผิดชอบต่างไม่กล้าออกห่างจากเขตเฝ้าระวังแม้แต่ก้าวเดียว เขาคนเดียวจากมาไม่สำคัญ กลัวแต่เพียงสามัญชนชายแดนเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายกันระนาว ท่านโหวกว่างหนิงไม่สามารถเดินทางมาเฉลิมฉลองให้ฝ่าบาทย่อมให้อภัยได้ ขอฝ่าบาททรงโปรดอภัยเพคะ!”
เซียวฮูหยินโน้มตัวถวายบังคม ทั้งแก้ตัวแทนเยียนโส่วนจ้าน แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นการตักเตือนฮ่องเต้อย่าได้เหลวไหล
ไม่ดูว่าเวลานี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ชายแดนวิกฤต แม่ทัพที่เฝ้าระวังผู้ใดจะกล้าจากมาโดยพลการเพื่อถวายพระพร
ตกลงว่าการถวายพระพรสำคัญ หรือว่าการป้องกันชายแดนสำคัญ
เพียงแค่ไม่ใช่จักรพรรดิที่เหลวไหลก็ควรจะแยกแยะหนักเบาได้ชัดเจน
จงใจกลั่นแกล้งสตรีมีครรภ์ในงานถวายพระพรช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มอย่างมีนัย “จู้หยางยังนิสัยเหมือนเดิม มีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น ทำให้ข้านึกถึงอดีต ตอนที่พวกเราศึกษาอยู่ในห้องตำรา เวลานั้น เจ้ามักจะสั่งสอนน้องๆ มีความเป็นพี่ใหญ่อย่างมาก”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ผ่านไปนานเพียงนั้น ไม่คิดว่าฝ่าบาทยังทรงจำได้ หม่อมฉันลืมไปนานแล้วเพคะ”
“ประสบการณ์ที่ยากจะลืม ข้าจะลืมได้อย่างไร เจ้ามาเฉลิมฉลองให้ข้าได้ ข้าดีใจอย่างมาก เรื่องที่ผ่านไปแล้ว สมควรลืมก็ลืม แต่ว่าเรื่องที่ไม่สมควรลืมก็ควรจดจำไว้ในใจเสมอ”
เซียวฮูหยินเงยหน้ามองฮ่องเต้หย่งไท่ที่อยู่บนบัลลังก์ด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเตือน แต่ว่าหม่อมฉันแยกไม่ออกว่าเรื่องใดควรลืม เรื่องใดควรจดจำ สู้ลืมไปเสียให้หมดดีกว่า สามารถกลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างสงบได้ หม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ!”
“อย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มอย่างมีนัย “ข้าได้ยินว่าบุตรสาวคนเล็กสุดของเจ้ายังไม่มีคู่ครอง ต้องให้ข้าพระราชทานงานแต่งให้บุตรสาวของเจ้าหรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! บุตรสาวของหม่อมฉันดื้อรั้น อีกทั้งยังอายุน้อย หม่อมฉันยังอยากอยู่กับนางอีกหลายปี ค่อยหาคู่หมั้นหมายในภายหลังย่อมได้”
“เรื่องนี้ของคุณหนูล่าช้าไม่ได้ ยังคงสมควรหมั้นหมายให้เร็ว”
“ฝ่าบาททรงเตือนได้อย่างถูกต้องเพคะ เพียงแต่บุตรสาวคนเล็กยังไม่ถึงวัยปักปิ่น หม่อมฉันอยากรอให้นางผ่านพิธีปักปิ่นก่อนค่อยหารือเรื่องหมั้นหมายเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่พยักหน้า “สมกับเป็นมารดาผู้มีเมตตา แต่ว่าข้าบอกไว้ก่อน เมื่อบุตรสาวของเจ้าหมั้นหมาย ข้าย่อมพระราชทานงานอภิเษกให้นาง”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” เซียวฮูหยินกระอักกระอ่วนใจ แต่ใบหน้าของนางยังคงต้องเผยสีหน้าดีใจ
นางหงุดหงิดเล็กน้อย
ฮ่องเต้หย่งไท่ต้องการใช้โอกาสอาละวาด แต่ก็พยายามควบคุมความบุ่มบ่ามเอาไว้
สถานการณ์แบบนี้น่ากลัวมาก
เวลานี้ควบคุมมากเพียงใด ภายหลังอาละวาดขึ้นมาจะยิ่งบ้าคลั่ง
เซียวฮูหยินกังวลใจอย่างมาก
ตอนที่กินเลี้ยง ตะเกียบของนางไม่ขยับแม้แต่น้อย
เยียนอวิ๋นเฟยก็ไม่สบายใจ
ภายในวังหลวงมีกฎระเบียบมาก ไม่ว่าจะการลุก การนั่ง การยืนหรือการนั่งล้วนมีพิธี
นางนั่งพื้นพร้อมท้องที่ใหญ่ช่างลำบากยิ่งนัก
เมื่อรอจนงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ชุดของนางทั้งด้านในและด้านนอกทั้งหมดสามชั้นล้วนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
นางอดทนไว้เสมอจนกระทั่งรถม้าเคลื่อนที่ออกจากวัง นางจึงเปล่งเสียง
“ท่านแม่ ข้าน่าจะใกล้คลอดแล้ว”
เซียวฮูหยินตกใจ
“เหตุใดเจ้าจึงอดทนจนถึงเวลานี้ เร็วๆๆ รีบกลับจวน ผู้ใดก็ได้ หยิบเทียบชื่อของข้าไปเชิญไต้ฟู รีบเดินทางไปจวนตระกูลสือ…”
*********艾琳小說***********