ตอนที่ 227 ฮ่องเต้ถูกกดขี่
องครักษ์จินอู่เคลื่อนไหวจับกุมคนทั้งเมือง
พวกเขาจับบัณฑิต จับขุนนาง จับบุตรหลานของตระกูลขุนนาง…
ไม่เพียงจับคนในเมืองหลวง แต่ทั่วทุกพื้นที่บนแผ่นดินล้วนมีเงาขององครักษ์จินอู่
คนทั่วแผ่นดินต่างตกใจ!
องครักษ์จินอู่จับคน กองทัพเหนือปักหลักในเมืองหลวง แม้ภายในใจของทุกคนจะขุ่นเคืองอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้ามีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
“มันเป็นการกระทำที่ทำลายตัวเอง!”
มีคนตะโกนเสียงดังด้วยความเจ็บปวด พูดพร่ำพรรณนาด้วยความฮึกเหิมอยู่บนราชสำนัก เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้อย่าได้จับคนโดยไร้เหตุผล
คนที่จับมาก่อนหน้านี้ยิ่งสมควรปล่อยออกมา
“ปล่อยคน? เพราะเหตุใด”
นี่คือคำตอบของฮ่องเต้
ตอนที่เขียนบทกวีต่อว่าเขาก็ควรคิดถึงวันนี้
ในเมื่อควบคุมปากของตนเองไว้ไม่ได้ การที่จะมีจุดจบในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร
แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าต่อว่าอย่างเปิดเผย ยังมีกฎบ้านกฎเมืองอยู่หรือไม่
ฮ่องเต้หย่งไท่คิดจะใช้วิธีการจับคนทำให้คนทั่วแผ่นดินรู้ว่าจักรพรรดิคือฟ้า จักรพรรดิคือเทพ จะมีคำดูหมิ่นแม้แต่น้อยไม่ได้
การเขียนบทกวีดูหมิ่นเหยียดหยามเผยแพร่ยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมหันต์ ต้องประหารเก้าชั่วโคตร
ฮ่องเต้หย่งไท่กระทำการตามใจ ไม่รับฟังความเห็นของผู้ใดทั้งสิ้น
บรรดาขุนนางต่างขุ่นเคือง
มีขุนนางบางคนชี้หน้าต่อว่าฮ่องเต้ในการประชุมท้องพระโรง
สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึน
ดูท่าทางคนที่จับมายังไม่มากพอ คนที่ประหารยังน้อยเกินไป ขุนนางจึงกล้าต่อว่าเขาต่อหน้าอย่างไร้ความเกรงกลัว
“ผู้ใดก็ได้! ถอดชุดราชการของเขาออก ยึดหมวกราชการของเขา จับเขาลงไปสอบสวนอย่างเข้มงวด”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาทจะลงลงโทษต้าฟูได้อย่างไร ไม่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอฝ่าบาทโปรดเรียกคืนรับสั่ง!”
บรรดาขุนนางต่างเดินขึ้นหน้าด้วยความร้อนใจ เข้าร่วมขบวนการเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้
ใบหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึน แต่ยังคงไม่หวั่นไหว
เพียงอิทธิพลของขุนนางเหล่านี้ยังไม่พอให้เขาข่มความโกรธของตนเองเอาไว้
เขาจะทำตามอำเภอใจ
จนกระทั่งซือถู[1] ของไท่เว่ยและท่านแม่ทัพยืนออกมา โน้มตัวลงเล็กน้อย พลางพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท คนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ล้วนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง ทุกคนต่างมีอารมณ์ฮึกเหิม ฝ่าบาทจะทรงกระทำการโดยพลการจริงหรือ”
ฮ่องเต้เงียบ
ซือถูพูดต่อ “แผ่นดินเกิดภัยแล้ง ประชาชนยากลำบาก กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงออกพระราชโองการปลดกระหม่อม ใช้กระหม่อมเป็นเครื่องมือคืนความยุติธรรมให้คนทั้งแผ่นดิน คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ฝ่าบาททรงปล่อยพวกเขาไปเถิด”
ฮ่องเต้หรี่ตาลง หวั่นไหวเล็กน้อย
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงลงโทษ!” ซือถูทูลร้องขออีกครั้ง
ท่าทีของเขาจริงใจอย่างมาก
เขาต้องการใช้ตนเองเป็นการไถ่โทษ บรรเทาความขัดแย้งระหว่างฮ่องเต้และขุนนาง คืนความยุติธรรมให้คนทั้งแผ่นดิน
ฮ่องเต้ไม่เชื่อใจ
หลังจากผ่านเรื่องมากมายนี้ ฮ่องเต้จึงไม่เชื่อใจขุนนางทั้งหมด
ในสายตาของเขา ทุกคนล้วนมีเจตนาไม่ดีซ่อนเร้น ล้วนกำลังบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว่ย
รังแกกันเกินไป!
เขากัดฟัน คิดจะปลดตำแหน่งของซือถูจิ้นบัดนี้ แต่ไม่คิดว่าขุนนางคนอื่นจะยืนออกมา
“กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงลงโทษ!”
ทำอันใดกัน
ฮ่องเต้ตื่นตกใจ
คิดจะก่อกบฏหรือ
ฮ่องเต้โกรธจัดจนตวาดเสียงดัง “พวกเจ้าบังอาจ!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เมื่อซุนปังเหนียนเห็นที จึงรีบเอ่ย “จบการประชุม!”
จากนั้นจึงวิ่งไล่ตามฮ่องเต้ไปเพื่อปลอบประโลมอารมณ์ของฮ่องเต้
บรรดาขุนนางน้อมส่งฮ่องเต้จากไป การประชุมในวันนี้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด
บรรดาขุนนางต่างดีใจ!
นัดหมายกันดื่มสุราเฉลิมฉลองในคืนนี้ พร้อมทั้งหารือการเคลื่อนไหวต่อไป
…
ใต้เท้าซือถูไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนบรรดาขุนนาง
เขาแลกเปลี่ยนสายตากับอวี้สื่อต้าฟูหลิวจิ้น ทั้งสองคนกระซิบกัน
“ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยแล้ว! กำลังสูญเสียการควบคุม!”
ใต้เท้าหลิวจิ้นรีบถาม “ใต้เท้าซือถูต้องการให้ข้าทำอย่างไร”
ซือถูพูด “ควรมีคนออกหน้าเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท อย่าให้พระองค์ทรงกระทำการเหลวไหล”
หลิวจิ้นขมวดคิ้ว “ใต้เท้าหมายความว่าให้ฮองเฮาทรงออกหน้า เกรงว่าจะไร้ประโยชน์ วันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน อิทธิพลของฮองเฮาต่อฝ่าบาทเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางฟัง”
ซือถูขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทไม่ทรงฟังก็ต้องหาทางทำให้พระองค์จำเป็นต้องฟัง”
หลิวจิ้นถามอย่างกังวล “ใต้เท้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซือถูยิ้มเย็น “รอดูก่อนเถิด! บางทีฝ่าบาทอาจทรงคิดได้เอง”
…
ฮ่องเต้หย่งไท่อารมณ์เสียอย่างมาก
เขากลับไปยังตำหนักซือเจิ้งด้วยความโกรธ
ต่อมาเขาก็เขวี้ยงสิ่งของทั่วทั้งตำหนัก
หยิบดาบฟันลงบนโต๊ะตำราเสียงดัง
ข้าหลวงต่างหวาดกลัวอย่างมาก
เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเหมือนครั้งก่อนอีก
ซุนปังเหนียนก็รู้ว่าข้าหลวงหวาดกลัว เขาโบกมือให้เหล่าข้าหลวงถอยออกไป
บรรดาข้าหลวงต่างโล่งใจ วิ่งออกไปราวกับหนีตาย
ซุนปังเหนียนเองก็ยืนอยู่ห่างไกล เกรงว่าตนเองจะถูกทำร้าย
เขาร้อนใจอย่างมาก “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! หมอหลวงกำชับไว้ ฝ่าบาทอย่าได้เกิดอารมณ์โกรธจึงจะมีพระชนมพรรษายืนยาว ฝ่าบาทต้องทรงระวังพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาของฮ่องเต้หย่งไท่แดงก่ำราวกับสัตว์ประหลาดกินคน
“เจ้าให้ข้าระงับความโกรธ? เจ้าไม่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ ข้าถูกบรรดาขุนนางรวมตัวกันกดขี่ ข้าจะระงับความโกรธอย่างไร! เจ้าบอกมาว่าข้าจะระงับความโกรธอย่างไร เจ้าพูด!”
ซุนปังเหนียนเหงื่อตก เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ฝ่าบาททรงระวังพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางเหล่านั้นย่อมมีวิธีสั่งสอนพวกเขา แต่ฝ่าบาทอย่าได้ทรงใช้พระวรกายในการระบายความโกรธพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้ากกก…”
ฮ่องเต้หย่งไท่คำรามด้วยความโกรธเหมือนสัตว์ที่ถูกขัง
“ข้าเป็นฮ่องเต้มาสิบสี่ปี ถึงเวลานี้ยังต้องถูกพวกเขากดขี่ ไม่อาจผูกขาดราชสำนักได้ ฮ่องเต้อย่างข้าต้องต่ำต้อยเพียงใด ตอนที่เสด็จปู่ทรงครองบัลลังก์ พระองค์เป็นอิสระเพียงใด อยากประหารขุนนางตระกูลใดก็ประหาร อยากปลดผู้ใดก็ปลด มาถึงข้า ข้ากลับต้องถูกควบคุมทุกทาง รังแกกันเกินไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้วเสียจริง!”
เขาระบายความไม่พอใจในใจ ดาบในมือไม่ห่างจากตัวแม้แต่น้อย
เสื้อของซุนปังเหนียนเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา เขาไม่มีสิ่งใดจะพูด
เขาพูดไม่ออก!
ภายในใจของเขามีคำพูดมากมาย แต่ไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว
ฝ่าบาททรงเทียบกับฮ่องเต้จงจ้งได้หรือ
ไร้เดียงสาเกินไป!
อำนาจในมือของฮ่องเต้จ้งจงได้มาจากการทำสงคราม
ตระกูลขุนนางที่แข็งแกร่งก็เป็นแค่นกกระทาตัวน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จงจ้ง
ฮ่องเต้จงจ้งอยากประหารตระกูลขุนนางก็ประหาร อยากโค่นล้มตระกูลใดก็โค่นล้ม
เวลานั้นตระกูลขุนนางก็เป็นเพียงเจ้าของที่ดินที่ต้องหดหัว ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง มีโอกาสถูกโค่นล้มได้ทุกเวลา
ฮ่องเต้จงจ้งไม่สนพระทัยคำคัดค้าน เปิดการสอบคัดเลือกขุนนาง สร้างประวัติศาสตร์
หลายร้อยปีต่อมายังคงถูกคนเอ่ยถึงความดีความชอบอันใหญ่หลวงนี้
แต่เมื่อฮ่องเต้จงจ้งสวรรคต ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
ฮ่องเต้องค์ก่อนหรือฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงต้องอาศัยการสนับสนุนของตระกูลขุนนางจึงสามารถครอบครองราชบัลลังก์ได้
เพื่อเป็นการตอบแทน ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงจึงประนีประนอมต่อตระกูลขุนนางอย่างมาก ตระกูลขุนนางจึงใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูอำนาจของตัวเอง
เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ก็ยังคงอาศัยการสนับสนุนของตระกูลขุนนาง
เวลานี้อำนาจของตระกูลขุนนางเกินกว่าจินตนาการ ยากเกินที่จะสั่นคลอน
อีกทั้งเมื่อหลายปีก่อน ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ทรงอดทนอย่างมากกับตระกูลขุนนาง
ทำให้ตระกูลขุนนางยิ่งหยิ่งผยอง จึงเกิดเหตุการณ์บีบเค้นในวันนี้
เหมือนดั่งที่ว่าได้รับผลของการกระทำ
มีสถานการณ์ในวันนี้ ตระกูลขุนนางมีอำนาจในวันนี้ ล้วนเป็นเพราะการกระทำของฮ่องเต้องค์ก่อนและฮ่องเต้หย่งไท่
ตอนนั้น ฮ่องเต้จงจ้งกดขี่ตระกูลขุนนางจนหายใจไม่ออก
ยี่สิบปีผ่านไป ตระกูลขุนนางไม่เพียงฟื้นฟูอำนาจ อีกทั้งยังเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ฮ่องเต้หย่งไท่ซักถามว่าเหตุใดตระกูลขุนนางจึงเหิมเกริมเพียงนี้ บังอาจบีบเค้นฮ่องเต้อย่างเขา เขาก็ควรคิดถึงสาเหตุนี้เสียบ้าง
หากไม่มีการสนับสนุนของฮ่องเต้ทั้งสอง ตระกูลขุนนางจะมีอำนาจในวันนี้ได้อย่างไร
เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติผลกรรมที่ตนเองทำไว้ ฮ่องเต้หย่งไท่อึดอัดจนอยากตาย
เมื่อเขาใช้แรงจนหมด เขาจึงยอมโยนดาบลง
ซุนปังเหนียนรีบพุ่งตัวเข้าไปเก็บดาบขึ้นมาซ่อนเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ฮ่องเต้ถือดาบอีกครั้ง
น่ากลัวเหลือเกิน!
ฮ่องเต้หย่งไท่นั่งอยู่บนบันไดด้วยสีหน้าซีดเซียว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
เมื่อความโกรธสลายไป เหลือไว้เพียงความหมดหนทางและหัวใจที่ตายด้าน
ซุนปังเหนียนคุกเข่าลงกับพื้น ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮ่องเต้หย่งไท่ “ฝ่าบาทเสวยชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ข้าไร้ความสามารถมากใช่หรือไม่”
“ขุนนางเหล่านั้นไร้จักรพรรดิอยู่ในสายตา บังอาจเหิมเกริมต่างหาก”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็น “ข้าควรทำตามพวกเขา ออกพระราชโองการลงโทษ”
ซุนปังเหนียนตกใจ “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้หย่งไท่หันหน้ากลับมา “เจ้าก็คิดว่าข้าไร้ความสามารถหรือ”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมแค่กังวลว่าราชสำนักจะเกิดความเสียหาย แผนการบรรเทาภัยพิบัติจะพังทลาย”
“ยังบรรเทาภัยพิบัติใดอีก เจ้าไปดูในโกดังหลวง ด้านในมีเสบียงเท่าใด เจ้าไปดูโกดังเสบียงในสำนักราชการท้องถิ่นว่ามีเสบียงเท่าใด ข้าเป็นคนบาปของต้าเว่ย!”
ซุนปังเหนียนหลั่งน้ำตา “ฝ่าบาททรงยากลำบากเหลือเกิน! กระหม่อมแค้นที่ตนเองไร้กำลัง ไม่อาจบรรเทาความกังวลแทนฝ่าบาทได้”
“อย่าร้องเลย! ข้ายังไม่ร้อง เจ้าร้องอันใด อัปมงคล!”
คำว่าอัปมงคลทำให้ซุนปังเหนียนรีบเช็ดน้ำตา ไม่กล้าร้องไห้อีก เพื่อไม่ให้ทำลายโชคชะตาของฝ่าบาท
ฮ่องเต้หย่งไท่เงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจ
เขากัดฟันกรอด “ข้ามีกองทัพเหนือกองทัพใต้อยู่ในมือ อย่างมากก็ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้าไม่เชื่อว่าขุนนางเหล่านี้จะไม่ยอมจำนน”
เมื่อประโยคนี้ออกมา ซุนปังเหนียนก็ตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด
เขาไม่กล้าเกลี้ยกล่อม
เพราะฮ่องเต้กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ
“ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้ว จะให้เตรียมพระกระยาหารหรือไม่”
เขาถามอย่างระมัดระวัง พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของฮ่องเต้
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่หิว!”
ซุนปังเหนียนลองถามอีกครั้ง “ต้องเชิญฮองเฮามาพูดคุยกับฝ่าบาทหรือไม่”
“ไม่ต้อง!”
ฮ่องเต้หย่งไท่มีแต่ความคิดในการจู่โจมกลับอยู่ในหัว
เขาไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปได้
เขาต้องจู่โจมกลับ ทำให้ขุนนางราชสำนักตั้งตัวไม่ทัน
ควรทำอย่างไรจึงจะสยบใจคน ยึดเหนี่ยวอำนาจ แต่ก็ไม่ทำให้เกิดการจลาจล
เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์
ซุนปังเหนียนกังวลอย่างมาก
ให้คนไปเชิญหมอหลวง อีกทั้งยังให้คนไปเชิญเถาฮองเฮามา
หมอหลวงไม่อาจเข้าใกล้ฮ่องเต้ได้
ในที่สุดเถาฮองเฮาก็มาถึงตำหนักซือเจิ้ง
ซุนปังเหนียนเหมือนเห็นตัวช่วย “ฮองเฮา พระองค์ทรงเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทเถิด! กระหม่อมทำทุกวิถีทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เถาฮองเฮาสังเกตสถานการณ์ของฮ่องเต้หย่งไท่ เขาเหม่อลอย ไม่รับรู้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
เขากำลังใจลอย?
ใจลอยมากเพียงนี้เชียวหรือ
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท?”
เรียกสองครั้ง ฮ่องเต้ก็ไม่ขยับเขยื้อน
เถาฮองเฮาขมวดคิ้ว
นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไปเขย่าไหล่ของฮ่องเต้หย่งไท่ “ฝ่าบาท!”
ยังคงไม่ตอบสนอง
ดังนั้นเถาฮองเฮาจึงยกมือ…
[1] ซือถู หมายถึง ตำแหน่งที่ดูแลประชาชนคดีแพ่ง
*********艾琳小說***********