ตอนที่ 229 ยืนกรานไม่ยอม
นายท่านใหญ่ตระกูลเถายากที่จะปิดบังความตื่นเต้น เขาเดินทางออกจากวังหลวงอย่างรีบร้อน
เตรียมตัวไปสร้าง ‘โอกาส’ ที่ฮ่องเต้ทรงต้องการ
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินที่จับตาดูการเคลื่อนไหวภายในวังหลวงเสมอได้ข่าวอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อคิดจะใช้ตระกูลเถาอีกครั้ง”
เขาหัวเราะออกมาอย่างดูถูก
“เสด็จพ่อยังไม่หมดหนทาง ไม่ใช่ไม่มีวิธีรับมือกับการบีบเค้นของขุนนางในราชสำนัก แต่เสด็จพ่อกลับทรงใช้วิธีที่แย่ที่สุดในการจัดการการปะทะนี้ ช่าง…”
หากเขาไม่ได้เป็นบุตร เขาคงอยากจะชี้จมูกของเสด็จพ่อและต่อว่า “โง่เขลา!”
เมื่อประสบปัญหารู้แต่เพียงหาทางลัดและใช้กลอุบายสกปรก
หารู้ไม่ว่าการปะทะในราชสำนักควรทำอย่างตรงไปตรงมา ใช้กลอุบายที่ถูกต้องอย่างเปิดเผย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านได้
จักรพรรดิผู้สง่างาม ผู้ปกครองของแผ่นดินกลับใช้แผนการต่ำทราม มีเพียงจะถูกคนวิจารณ์ อีกทั้งยังต้องถูกโจมตีอย่างมากในตำราประวัติศาสตร์
หากต้องการยึดครองแผ่นดินทั้งหมด ไม่ว่ากลอุบายแบบใดล้วนใช้ได้
การปกครองแผ่นดินจะใช้กลอุบายชั้นต่ำได้อย่างไร
จักรพรรดิกลายเป็นคนชั่วช้าต่ำทราม มิน่าถึงได้ถูกตระกูลขุนนางเหยียดหยามกดขี่
เขาส่ายหน้าระรัว ขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายไร้ความสามารถ
เฟ่ยกงกงถามเสียงเบา “องค์ชายจะทรงเข้าวังบรรเทาความทุกข์ร้อนของฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า “คำพูดของข้าไม่มีน้ำหนักขนาดนั้น เสด็จพ่อทรงเย่อหยิ่ง พระองค์ไม่ทรงยอมฟังความคิดเห็นของข้า ตอนนี้พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความโกรธ วิธีเดียวที่จะสงบความโกรธของพระองค์ได้คือการฆ่า หากข้าไม่ยอมให้พระองค์ฆ่า มีแต่จะทำให้พระองค์ขุ่นเคือง แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องในราชสำนักก็ไม่อาจแก้ไขด้วยการฆ่าคนอย่างเดียว ในสถานการณ์เวลานี้ การฆ่าคนมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เอื้อประโยชน์ต่อการบรรเทาภัยพิบัติ เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจด้วยความระอา
หากตระกูลขุนนางอ่อนแอ การฆ่าคนย่อมสามารถจัดการปัญหาได้ สามารถข่มขวัญขุนนางโลภ เอื้อประโยชน์ให้การบรรเทาภัยพิบัติราบรื่นได้
แต่ตระกูลขุนนางแข็งแกร่ง การฆ่าคนมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ทำให้ตระกูลขุนนางตอบโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง
ตระกูลขุนนางที่เคยชินกับความหยิ่งผยองแล้ว ไม่มีทางยอมรับการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมของฮ่องเต้
พวกเขาจะต่อต้าน อีกทั้งยังจะต่อต้านอย่างรุนแรง
ช่างเป็นการเดินหมากที่ผิด!
เซียวเฉิงเหวินกำลังหงุดหงิดอย่างมาก
สถานการณ์ที่เลวร้ายมากอยู่แล้ว หากฤดูหนาวนี้ข้ามผ่านมันไปไม่ได้ย่อมจะเกิดเรื่อง สุดท้ายเสด็จพ่อกลับเดินหมากผิดอีก
เสด็จแม่ก็ทรงเหลวไหล!
คิดถึงแต่ตระกูลเถา คิดแต่เรื่องอำนาจ เพิกเฉยต่อสถานการณ์โดยรวมอย่างสิ้นเชิง
เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างหงุดหงิด อยากจะโยนมันทิ้งเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
แต่เมื่อเขายกมือขึ้นมาแล้วก็ห้ามตัวเองเอาไว้
เขาทำตามใจตัวเองไม่ได้
การเขวี้ยงสิ่งของไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ดังนั้นเขาจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอีกครั้ง พร้อมทั้งดูว่าตำแหน่งตรงหรือไม่
เฟ่ยกงกงถาม “องค์ชายหมายความว่าจะดูเพียงอย่างเดียว ไม่แทรกแซง?”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้ว
“หากต้องการแทรกแซง การเริ่มต้นจากตระกูลเถาจะสะดวกที่สุด อย่างไรก็ตามอารมณ์ของเสด็จพ่อไม่คงที่ หากตระกูลเถาล้มเหลว พระองค์ย่อมต้องโกรธ ในเวลานั้นก็จะเกิดปัญหาใหม่ขึ้น ปัญหาเก่ายังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก…”
เขาก็ลังเลเหมือนกัน
สถานการณ์เช่นนี้ เขามีวิธีการแก้ไขมากมาย
แต่เขาไม่อาจไม่สนใจปฏิกิริยาของเสด็จพ่อ ไม่อาจไม่สนใจปฏิกิริยาของราชสำนัก
หากในปีที่สงบสุข เขาสามารถยื่นมือแทรกแซงควบคุมสถานการณ์ได้
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าภัยพิบัติ การกระทำใดล้วนต้องระมัดระวัง
มิฉะนั้นจะมีผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามปรารถนา
ไม่ใช่ไม่มีหนทาง เพียงแต่มีความกังวลมากมาย ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย
เมื่อจิตใจกระสับกระส่าย เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเสบียงที่เยียนอวิ๋นเกอติดเขาอยู่ยังไม่ได้ให้
“ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เยียนอวิ๋นเกอยังไม่ส่งเสบียงมา พวกเจ้าเจรจากันอย่างไร”
เฟ่ยกงกงมีสีหน้าเศร้าหมอง “คุณหนูสี่ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย นางยืนกรานว่าจะให้แต่เสบียงเก่าเท่านั้น ไม่ยอมหลุดปากแม้แต่น้อย พระองค์ต้องการเสบียงใหม่ นางให้เพียงเสบียงเก่า ดังนั้นเรื่องนี้จึงยังหารือไม่ได้ ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้”
เซียวเฉิงเหวินโบกมือ “ข้าไม่มีเวลาตามตื๊อนางอีกต่อไป คราวนี้ข้ายอมแพ้ บอกนางว่าข้าสามารถยอมรับเสบียงเก่าได้ อย่างน้อยร้อยละแปดสิบ เจ้าไปเจรจากับนาง ขีดจำกัดคือร้อยละแปดสิบ แต่ว่าเริ่มแรกให้บอกว่าต้องการสองพันหาบ”
เฟ่ยกงกงน้อมรับคำสั่ง
…
“ร้อยละแปดสิบ?”
ฝันไปเถิด!
ท่าทีของเยียนอวิ๋นเกอชัดเจนอย่างมาก “เสบียงเก่า อย่างมากร้อยละหกสิบ”
จะเอาหรือไม่ก็ตามใจ
นางมีเสบียง นางเป็นพี่ใหญ่
“หากองค์ชายของท่านยอมรับเงื่อนไขของข้าไม่ได้ พวกเราสามารถเปลี่ยนวิธี ปีนี้ไม่จ่าย รอปีหน้าสภาพอากาศดี ข้าค่อยจ่ายเสบียงที่ติดอยู่ทั้งหมด”
เฟ่ยกงกงขมวดคิ้ว “คุณหนูสี่มีผู้เชี่ยวชาญชี้แนะอยู่หรือ”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน
เฟ่ยกงกงยิ้มอย่างมีนัย “หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญชี้แนะ คุณหนูสี่จะรู้ได้อย่างไรว่าปีใดจะมีสภาพอากาศดี หากปีหน้ายังคงแห้งแล้ง…”
“เมื่อใดที่อากาศดี เมื่อนั้นจ่ายเสบียง” เยียนอวิ๋นเกอเด็ดเดี่ยว “หากปีหน้ายังแห้งแล้ง ขอโทษด้วย ปีหน้าก็ไม่มีเสบียงให้ หากต้องการเสบียง ข้าพูดกับท่านเช่นนี้ หากปีหน้าแห้งแล้งจริง เสบียงเก่าคงไม่ถึงร้อยละหกสิบ มีเพียงร้อยละสามสิบ”
เฟ่ยกงกงขมวดคิ้ว นางขึ้นราคากันซึ่งหน้า ไร้เยื่อใยแม้แต่น้อย
เยียนอวิ๋นเกอบ่นว่า “ไม่ปิดบังเฟ่ยกงกง หากท่านได้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของเรือนพักร่ำรวยด้วยตาของตนเอง ท่านก็จะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงต้องจู้จี้จุกจิก เรือนพักร่ำรวยอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างสูง เก็บน้ำลำบาก เวลานี้เพียงแค่น้ำดื่มสำหรับคนก็ไม่เพียงพอนับประสาอันใดกับการรดน้ำพืชผล
เรือนพักร่ำรวยในเวลานี้อยู่ในสภาพตกต่ำและไม่มีชีวิตชีวา ยุ้งฉางก็ว่างเปล่า ไม่มีเสบียงใหม่แม้แต่น้อย มีเพียงเสบียงเก่าเล็กน้อยพอกินพอใช้ ข้าหวังจากใจว่าองค์ชายสองจะไม่เอาเสบียงของปีนี้ หากปีหน้าสวรรค์มีตา สภาพอากาศดีค่อยเอาเสบียงไป
เพราะหากนำเสบียงเก่าให้องค์ชายสอง ทางเรือนพักจะต้องอดอยาก เมื่อถึงเวลานั้น ข้าทำได้เพียงไปซื้อเสบียงในราคาสูง แต่แล้วเวลานี้ข้าสิ้นเนื้อประดาตัว เงินที่ซื้อเสบียงอาจต้องขอยืมจากพี่สองหรือฮูหยินของท่าน”
มุมปากของเฟ่ยกงกงกระตุก
ไม่เคยพบผู้ใดไร้ยางอายเพียงนี้มาก่อน!
ทั้งที่มีเสบียง แต่กลับบอกว่าไม่มี
พูดจาเหลวไหล
ยุคสมัยตกต่ำ จิตใจคนยากที่จะคาดการณ์!
“อย่าโกหกกันเลย! ตามที่ข้ารู้ เมื่อต้นปีคุณหนูสี่ซื้อเสบียงเก่ากว่าครึ่งในตลาด โกดังเสบียงของสำนักเซ่าฝู่และสำนักการคลังก็ถูกท่านกวาดไปจนหมด เสบียงมากมายเพียงนั้น อย่าว่าแต่เลี้ยงคนนับหมื่น แม้แต่คนนับแสนก็เพียงพอที่จะกินสองสามปี”
เยียนอวิ๋นเกออ้าปากถอนหายใจ “ไม่มีเรื่องใดสามารถปิดบังองค์ชายสองและเฟ่ยกงกงได้เสียจริง เมื่อต้นปีข้าซื้อเสบียงเก่ามาจริง แต่เสบียงเพียงโกดังเดียวไม่ถึงเสบียงเก่าครึ่งหนึ่งของตลาดอย่างแน่นอน คนกินม้าเคี้ยว หนึ่งปีผ่านไป เหลือเสบียงในโกดังเพียงเล็กน้อย หากเฟ่ยกงกงไม่เชื่อ สามารถส่งคนเดินทางไปตรวจดูในเรือนพักร่ำรวย ข้าไม่โกหกอย่างแน่นอน”
เฟ่ยกงกงไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
ล้วนเป็นคำพูดที่หลอกคน
ตามที่เขารู้ เยียนอวิ๋นเกอมักจะร้องบอกว่ายากจน
ทั้งที่เสบียงกองเต็มโกดัง เงินมากจนเชือกหลุด นางก็ยังจะบอกว่ายากจน
ราวกับบนโลกนางยากจนที่สุด
ไร้เหตุผลสิ้นดี
“คุณหนูสี่อย่าได้บอกว่ายากจนต่อหน้าข้าเลย ข้าไม่กล้าบอกว่ารู้เรื่องของท่านละเอียดเพียงใด แต่ก็พอจะรู้ร้อยละเจ็ดแปดสิบ เอาอย่างนี้ เสบียงเก่าร้อยละเก้าสิบ สามารถนำเข้าโกดังได้ทุกเวลา”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหัวระรัว “เสบียงเก่าร้อยละหกสิบ! นี่คือขีดจำกัดของข้า คนยากจนย่อมต้องงก ข้าไม่อาจจัดหาเสบียงได้จริงๆ เฟ่ยกงกงโปรดอภัย”
เฟ่ยกงกงคิ้วกระตุก
แม้แต่คำว่าคนยากจนย่อมต้องงกก็ออกมาแล้ว คราวหน้าจะบอกว่าต้องขายเศษเหล็กแล้วหรือไม่
เฟ่ยกงกงยกถลึงตาขึ้นพลันพูด “เสบียงเก่าร้อยละแปดสิบห้า นี่คือขีดจำกัดขององค์ชาย”
เยียนอวิ๋นเกอยังคงส่ายหน้า นางยังยืนกรานคำเดิม “เสบียงเก่าร้อยละหกสิบ ไม่ปิดบังเฟ่ยกงกง ข้าไม่ชอบการต่อรองราคา มีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น เปิดปากก็เป็นราคาจริง ไม่หลอกลวงอย่างแน่นอน อีกทั้งข้าก็ไม่ชอบใช้กลอุบายเรียกราคาสูง ต่อราคาต่ำ เสบียงร้อยละหกสิบ หากยอมรับได้ ข้าจะให้คนไปเอาเสบียงส่งไปยังแปลงนาขององค์ชายสองบัดนี้ หากยอมรับไม่ได้ ข้าก็หมดหนทาง”
นางแสดงท่าทีอย่างชัดเจน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
เสบียงเก่าร้อยละหกสิบ จะเอาก็เอา ไม่เอาก็แล้วแต่
ไม่ต้องคิดอยากจะเอาเสบียงจากมือของนางไปมากขึ้นแม้แต่หาบเดียว
นางไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
เฟ่ยกงกงโกรธมาก เยียนอวิ๋นเกอเจ้าเล่ห์ ช่างไร้หัวใจ
“ร้อยละแปดสิบ ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอยังคงส่ายหน้า
เฟ่ยกงกงโกรธจัด “คุณหนูสี่ ข้ามีความจำเป็นต้องเตือนท่าน เรือนพักร่ำรวยจัดตั้งขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือขององค์ชาย”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “ดังนั้นข้าจึงไม่เก็บเงินทุกปี ข้าเต็มใจที่จะมอบเสบียงสองพันหาบให้องค์ชายสองเป็นการตอบแทน แม้แต่ค่าขนส่งก็ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ข้าอดทนมาหลายปีโดยไม่มีคำบ่น ปีนี้เกิดภัยธรรมชาติ เสบียงลดการผลิต ข้ายังคงยืนกรานที่จะจ่ายเสบียง
เพียงแต่ต้องขอให้ทางองค์ชายสองเห็นใจ ให้ความสะดวกแก่ทั้งสองฝ่าย ต่อจากนี้ยังร่วมมือกันต่อไปได้ หากบีบบังคับกันจนเกินไป ความร่วมมือระหว่างพวกเรา ข้ามีความจำเป็นต้องเจรจาเงื่อนไขใหม่”
เฟ่ยกงกงหรี่ตาเล็กน้อย “คุณหนูสี่กำลังข่มขู่ข้าหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีนัย “หากเฟ่ยกงกงคิดว่าคำพูดนี้เป็นการข่มขู่ก็เป็นการข่มขู่ เพียงแต่ข้าคิดว่ามันคือความจริงใจของข้าเสียมากกว่า เพื่อความร่วมมือต่อไป ข้าพูดตามตรง ขอเฟ่ยกงกงโปรดทูลต่อองค์ชายสองตามจริง ข้าอยากจะร่วมมือกับเขาต่อไปอย่างมาก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ควรนำความจริงใจที่เพียงพอออกมา”
“เสบียงเก่าร้อยละแปดสิบยังจริงใจไม่เพียงพอหรือ”
“เฟ่ยกงกงรู้หรือไม่ว่าหนี้ระหว่างข้ากับสำนักเซ่าฝู่ในปีนี้ชำระอย่างไร ไม่ปิดบังท่าน เสบียงเก่าร้อยละห้าสิบชดใช้หนี้เต็มจำนวน นี่คือความจริงใจ ข้าไม่ได้ตั้งเงื่อนไขให้องค์ชายเหมือนกับสำนักเซ่าฝู่ อีกทั้งข้ายังให้มากกว่า เสบียงเก่าร้อยละหกสิบ นี่คือความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”
เฟ่ยกงกงขมวดคิ้ว
เยียนอวิ๋นเกอไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว มันทำให้เขาลำบากใจมาก
เขาเกลียดการเจรจากับคนแบบนี้ที่สุด ไม่มีพื้นที่เหลือให้ต่อรองแม้แต่น้อย
หลังจากเปิดเงื่อนไขแล้ว กัดให้ตายก็ไม่ปล่อย
น่าโมโหยิ่งนัก!
เมื่อเจรจาต่อไปไม่ได้ เฟ่ยกงกงก็ลุกขึ้นขอตัว จากนั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป
เยียนอวิ๋นเกอตะโกนอยู่ด้านหลัง “เฟ่ยกงกงเดินทางดีๆ ข้าส่งท่านเท่านี้”
ฮึ!
ผู้ใดอยากให้เจ้าส่งกัน
เกรงว่าจะอายุสั้นลงสามปี
ความสามารถอื่นของเยียนอวิ๋นเกออาจไม่ได้ร้ายกาจนัก
แต่ความสามารถในการยั่วโมโห นางคือที่หนึ่ง
ราวกับก้อนหินที่อยู่ในห้องส้วม ทั้งแข็งทั้งเหม็น
คุณหนูที่มีท่าทีแข็งกร้าวเพียงนี้ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ไม่กลัวออกเรือนไปไม่ได้หรือ