บทที่ 12 กัด
บทที่ 12 กัด
ในความมืดมิด ทั้งสองเข้าใกล้กันมากขึ้น
อยู่ใกล้มากเสียจนได้กลิ่นหอมจาง ๆ บนตัวของเสิ่นอี้โจว
ใบหน้าของชายคนนี้หล่อเหลาและสง่างาม ยิ่งให้ความรู้สึกอันสูงส่งและเย็นชาท่ามกลางแสงจันทร์
เสียงร้องของแมลงนอกหน้าต่างยังไม่หยุด และบรรยากาศที่คลุมเครือในบ้านก็ทวีความรุนแรงขึ้น
น่าเสียดายที่จะไม่คว้าโอกาสที่เหมาะสมแบบนี้ไว้
เซี่ยชิงหยวนเอนตัวไปข้างหน้า เธอหลับตาแล้วค่อย ๆ โน้มตัวไปทางเสิ่นอี้โจว
แต่เมื่อเทียบกับความนุ่มนวลที่คิดเอาไว้ มันกลับเย็นและหยาบเล็กน้อยเมื่อสัมผัสริมฝีปากของเขา
เซี่ยชิงหยวนปรือตาขึ้น
เสิ่นอี้โจวกำลังมองเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และนิ้วเรียวของเขาแตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย
หญิงสาวทั้งรู้สึกอับอายและหงุดหงิด เธอกัดนิ้วของเขาโดยไม่ทันได้คิด
หลังจากถูกกัด เธอก็รู้สึกได้ว่าการหายใจของอีกฝ่ายถี่เร็วขึ้น และดวงตาซึ่งเย็นชามาตลอดของเขากลับแต่งแต้มด้วยสีเข้ม
เขาคำรามและกำลังจะดึงนิ้วออก
แต่เซี่ยชิงหยวนจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไง เธอจับนิ้วของเขาด้วยมืออีกข้างและเมื่อเขาดึงออก เธอก็ใช้ปลายลิ้นเลียอย่างตั้งใจ
สัมผัสที่หยาบเล็กน้อยทำให้เขาประหลาดใจ
เขาจึงสะบัดนิ้วออกและลุกพรวดขึ้น
คนที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าเธอคือเสิ่นอี้โจว ตอนนี้เขากระโดดลงจากเตียงไปแล้ว
เขาหอบเล็กน้อยและไม่มองมาที่เธอ
เมื่อรู้ตัวว่าอาจทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป หญิงสาวก็ละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย และหัวใจของเธอก็เต้นแรง
เธอพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ฉันจะนอนแล้ว”
เธอรีบพลิกตัวนอน หลับตาและไม่กล้าขยับตัว
เมื่อนึกถึงเรื่องของตู้อวิ๋นเซิง เธอก็ละอายเกินกว่าจะลุกจากเตียงขึ้นไปหาสามีคนดีของเธอ
เซี่ยชิงหยวนปลอบโยนตัวเอง ‘คืนพรุ่งนี้ เสิ่นอี้โจวจะเข้าใจทุกอย่างเอง’
เสิ่นอี้โจวตกตะลึงกับปฏิกิริยาดังกล่าว จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบบริเวณหว่างคิ้วด้วยใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เธอดูจะเข้าใกล้เขา แต่พอมาดูอีกทีก็ดูราวกับเธอจะห่างเขาไปอีกแล้ว
คืนนี้ยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าจะมีคนเป็นโรคนอนไม่หลับหรือเปล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวต้องไปที่ทุ่งนาหลังกินอาหารเช้า
ตอนนี้คือเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำไร่ทำนาอันแสนวุ่นวาย ดังนั้นเสิ่นอี้โจวจึงถือโอกาสนี้ที่ได้รับวันหยุดพักผ่อนมาสองสามวันกลับมาช่วยที่บ้าน
ตามที่สัญญาว่าด้วยความรับผิดชอบในครอบครัวระบุเอาไว้ ครอบครัวของเสิ่นอี้โจวจึงได้แบ่งที่นาเป็นสัดเป็นส่วน แต่เนื่องจากครอบครัวเสิ่นมีแรงงานผู้ใหญ่ไม่เพียงพอ พวกเขาจึงไม่อาจเก็บเกี่ยวได้หมด ทำให้ต้องแบ่งเช่าพื้นที่ราวหนึ่งในสามกับคนอื่น
ทว่าหลังจากการเอาเปรียบของผานเยว่กุ้ย พื้นที่หนึ่งในสามนั้นจึงถูกครอบครัวของเธอแบ่งไปเพาะปลูกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผานเยว่กุ้ยกล่าวว่า “แทนที่จะให้คนอื่นเช่าที่ดินนี้ เอามาแบ่งปันให้ครอบครัวตัวเองดีกว่า เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เราจะแบ่งให้พวกเธอ”
คำพูดนั้นแลดูสวยงาม แต่ในความเป็นจริงพอถึงเวลา ก็ไม่มีแม้แต่หนึ่งเมล็ดข้าวปรากฏให้เห็น
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป เซี่ยชิงหยวนก็หยิบหมวกฟางและตามไป “เดี๋ยวก่อน ฉันจะไปด้วย”
หลังจากพูดจบ เสิ่นอี้โจวกับคนอื่น ๆ ก็ตกใจราวกับพวกเขาโดนผีหลอก
หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าทำไมพวกเขาถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้
ตอนที่เธออยู่กับครอบครัวของตัวเอง ร่างกายของเธอค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นนอกจากไปโรงเรียนแล้ว เธอก็แค่ช่วยครอบครัวทำงานบ้านบ้าง ไม่ค่อยได้ทำงานในไร่นา
ต่อมาเธอแต่งงานและได้ไปไร่หนึ่งครั้ง หลังจากเป็นลมแดดรอบหนึ่ง เธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปช่วยในนาอีกเลย
หลังจากประหลาดใจ เสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “ได้”
ทั้งสี่คนจึงออกไปด้วยกัน ซึ่งมันเป็นครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงได้ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านที่อยู่ระหว่างทางได้อย่างมาก
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างออกไปและเข้าถนนสายเล็กที่แยกเข้าไปในทุ่งได้หลายสิบเมตร ก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา
ชายคนนั้นสวมกางเกงสีเข้ม เสื้อเชิ้ตสีขาว และแว่นตากรอบโลหะ
เซี่ยชิงหยวนเพ่งมอง นั่นไม่ใช่ตู้อวิ๋นเซิงเหรอ?
ใบหน้าของเธอมึนงงทันที
เธออุตส่าห์จะแสดงความจริงใจให้เสิ่นอี้โจวได้เห็น โดยการไปช่วยอีกฝ่ายในทุ่งนา แต่พอออกมากลับมาเจอตู้อวิ๋นเซิงซะได้
เป็นการเริ่มต้นวันที่แย่จริง ๆ
เสิ่นอี้โจวจะเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุที่เธอตามไปทุ่งนาด้วยเป็นเพราะหวังจะได้เจอตู้อวิ๋นเซิงหรือเปล่านะ
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ท่าทีของชายหนุ่มเป็นยังไง แต่เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ กายของเสิ่นอี้โจวมืดหม่นลง
หญิงสาวพยายามไม่เงยหน้าขึ้นเพื่อมองเสิ่นอี้โจว และบังคับตัวเองให้มองตรงไปข้างหน้าแทน
เธอต้องสงบสติอารมณ์เมื่อเผชิญกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้า เพื่อที่เสิ่นอี้โจวจะได้ไม่สงสัยในตัวเธอ
ไม่คาดคิดว่าเสิ่นอี้หลินที่เดินอยู่ข้าง ๆ จะดึงมือของเสิ่นอี้โจวก่อนจะพูดเสียงดังพอให้เธอกับตู้อวิ๋นเซิงที่กำลังเดินเข้ามาได้ยิน
“พี่ชาย ตู้อวิ๋นเซิงมาโน่นแล้ว”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ตู้อวิ๋นเซิงดูเหมือนจะเพิ่งเห็นพวกเขา ชายหนุ่มหยุดชะงักครู่หนึ่งและทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “อี้โจว ชิงหยวน พวกคุณกำลังตามคุณป้าไปที่ทุ่งเหรอ?”
ตู้อวิ๋นเซิงซึ่งทั้งสูงและผอม ใบหน้าหล่อเหลาและผิวขาวกว่าคนในท้องถิ่น และด้วยแว่นตานั้น ยิ่งทำให้การพูดของเขาดูมีมารยาทและดูมีการศึกษา
เมื่อคิดถึงวิธีที่ชายคนนี้เผยธาตุแท้ หลังจากที่ทั้งสองถูกจับได้ในชาติที่แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง
เขากล้าที่จะจีบเธอต่อหน้าเสิ่นอี้โจวช่างเป็นสัตว์ร้ายในคราบผู้ดี!
แต่ตอนนี้เธอทำได้เพียงระงับความโกรธในใจเอาไว้
เธอแค่ต้องรออีกสิบชั่วโมง จากนั้นเธอก็จะทำให้เขากับหวังชุ่ยเฟินต้องชดใช้!
ไม่กี่วินาทีต่อมา ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เสิ่นอี้โจวก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ใช่”
มันไม่ใช่น้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างที่ตู้อวิ๋นเซิงจินตนาการไว้ แถมยังค่อนข้างเย็นชา
จากนั้น ท่ามกลางสายตาประหม่าของหลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลิน ซึ่งคิดว่าคงจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ เสิ่นอี้โจวก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อบังตัวเซี่ยชิงหยวนเอาไว้ ปิดกั้นสายตาของตู้อวิ๋นเซิงแล้วพยักหน้าเบา ๆ
สายตาที่จ้องตรงไปยังอีกฝ่ายของเขาสงบดั่งมีดที่คมกริบ
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ยิ่งมาคุ
ตู้อวิ๋นเซิงรู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่ไม่เป็นมิตรของเสิ่นอี้โจวได้อย่างชัดเจน ทั้งยังรู้สึกอายและรู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ได้
ถ้าไม่กังวลเรื่องเสียหน้า เขาคงเดินหนีไปแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หวังชุ่ยเฟินพูดเมื่อวาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิ่มเอมใจ
หวังชุ่ยเฟินบอกกับเขาว่า เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเหนื่อยล้าจากคนของตนเอง และตกลงที่จะพบเขาในคืนนี้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยว
เธอยังบอกด้วยว่า ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไรในคืนนี้ เซี่ยชิงหยวนก็จะตกลงตราบใดที่หลังจากนี้เขาจะไม่ทิ้งเธอ
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเซี่ยชิงหยวนซึ่งดูภายนอกไร้เดียงสา แท้จริงกลับเป็นผู้หญิงใจง่าย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขามองไปที่เสิ่นอี้โจวด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ปัญญาชนแล้วไง?
นักวิจัยแล้วไงล่ะ?
พอถึงเวลาภรรยาก็ถูกคนอื่นฉกไปอยู่ดี
ตู้อวิ๋นเซิงรู้ด้วยว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการก่อเรื่อง รอเขาได้ตัวเซี่ยชิงหยวนมาเมื่อไหร่ การเหยียบย่ำเสิ่นอี้โจวก็ยังไม่สายเกินไป
เขายิ้ม “สายแล้ว ผมขอตัวไปโรงเรียนก่อน”
จากนั้นเขาก็โบกมือให้ทุกคน เมื่อหันไปอีกด้านสายตาและท่าทางพลันเย็นชาขึ้น ก่อนจะเดินจากไป
สำหรับวายร้ายอย่างตู้อวิ๋นเซิงแล้ว เซี่ยชิงหยวนรู้จุดประสงค์เบื้องหลังการกระทำของเขา และอดไม่ได้ที่จะด่าอีกฝ่ายในใจเป็นร้อยแปดพันครั้ง
เธอเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังสูงและกว้างของเสิ่นอี้โจว ก่อนจะรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้ง
เธอสะกิดที่เอวของเขาจากทางด้านหลัง “ไปกันเถอะ”