บทที่ 13 เซี่ยชิงหยวนกำลังคิดถึงตู้อวิ๋นเซิง
บทที่ 13 เซี่ยชิงหยวนกำลังคิดถึงตู้อวิ๋นเซิง
เสิ่นอี้โจวหันไปมองพลางขมวดคิ้ว แววตาของเขาดูซับซ้อนจนไม่อาจคาดเดาความคิดได้ ราวกับทะเลสาบที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
เขาพยักหน้า “ไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินการตอบรับจากอีกฝ่าย หัวใจที่หนักอึ้งของเซี่ยชิงหยวนก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง จากนั้นหญิงสาวก็ตามผู้เป็นสามีไป
เมื่อเห็นการกระทำของทั้งสอง หลินตงซิ่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เด็กชายรู้ว่าพี่สะใภ้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด พี่ชายจึงไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อก่อน
เสิ่นอี้หลินรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่พี่ชายปล่อยชายคนนั้นไปง่าย ๆ
ตอนที่เขาเล่นกับเพื่อน ๆ เขามักจะบังเอิญได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพื่อนบางคนจึงถามเขาว่า “พี่สะใภ้ของนายเป็นชู้กับครูตู้จริงเหรอ?”
เพราะแบบนี้เขาจึงทะเลาะกับเพื่อนหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากลับบ้านไปในสภาพที่กางเกงตัวใหม่ก้นขาดวิ่นจากการวิวาท
ตอนนั้นเซี่ยชิงหยวนหัวเราะเยาะเขาเมื่อกลับไปถึงบ้าน โดยบอกว่าทุกคนเห็นผิวก้นของเขาหมดแล้ว
ดังนั้นเด็กชายจึงคาดหวังว่าพี่ชายของเขาจะทุบตีครูตู้คนนั้น
โอ้ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปที่ทุ่งนากันต่อ โดยที่แต่ละคนมีความคิดในหัวมากมาย
ตอนนี้เป็นเดือนพฤษภาคมแล้ว ถึงเวลาปลูกต้นกล้า
ระดับความสูงของพื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้นั้นสูงกว่าภาคอื่น ๆ ส่งผลให้แสงดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาแผดเผาแรงมาก ดังนั้นทุกคนจึงมาที่นี่แต่เช้าและกลับก่อนเที่ยง
มิฉะนั้นจะเป็นโรคลมแดดได้ง่ายเหมือนเซี่ยชิงหยวนเมื่อคราวที่แล้ว
เมื่อพวกเขามาถึง มีผู้คนอยู่ในทุ่งนาอยู่บ้างแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขามาถึงพร้อมกัน ชาวบ้านต่างก็หันมามองด้วยความแปลกใจ
เซี่ยชิงหยวนยืนทำตามเสิ่นอี้โจวอยู่ข้าง ๆ เธอถอดรองเท้าและถลกขากางเกงขึ้น
ทันทีที่เธอถอดรองเท้า เท้าเล็ก ๆ ของเธอก็เผยออกมา
รูปทรงของเท้าเรียวยาว แม้แต่เล็บเท้าก็เงางามและชุ่มชื้น ซึ่งมันงดงามมากทีเดียว
จากนั้นหญิงสาวก็ม้วนขากางเกงขึ้น ตามความสูงที่ทุกคนทำกันซึ่งก็คือถลกขึ้นเหนือหัวเข่า
คราวนี้ยิ่งหลบสายตาของผุู้คนได้ยาก
น่องขาเรียวเนียนขาวละเอียดแบบนั้น คนทำไร่ทำนาที่ไหนจะมีบ้างเล่า
เกรงว่าเธอจะมีผิวที่ดีกว่าสาว ๆ ในเมืองเสียอีก!
ในเวลานี้ ป้าที่อยู่ด้านข้างพลันพูดติดตลกขึ้นมา “ชิงหยวน ผิวขาวเนียนอย่างนี้ อี้โจวคงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม”
เมื่อมีคนเริ่ม คนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดเสริมเช่นกัน “ใช่แล้ว เมียสวยขนาดนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อก่อนถึงไม่ปล่อยให้ออกมาทำนา”
บางคนถึงกับพูดตรง ๆ “อี้โจวแข็งแรงมาก ไม่รู้ว่าชิงหยวนจะรับมือได้นานไหม”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดงทันที
เธอมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างออกไป เขากำลังสอนเสิ่นอี้หลินให้ถอนวัชพืช
เขายืดตัวขึ้นตามเสียงนั้นและมองมาทางหญิงสาว ดวงตาของเขาดูงุนงง
อาจเป็นเพราะเขาได้ยินไม่ชัด คิ้วของเขาจึงขมวดเป็นปม
เมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวมองมา ป้าทุกคนก็หัวเราะ
“อี้โจวไม่รู้ว่าเรากำลังพูดถึงภรรยาของเขา!”
“กลัวอะไร ต่อให้เขารู้ เขาก็ยังกินเธอต่อจริงไหม?”
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังพาชิงหยวนกลับไปกินเหมือนเดิม!”
ด้วยเพราะถูกคนหมู่มาก ‘แซว’ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าแก้มของเธอกำลังไหม้
“พวกคนแก่นี่หน้าไม่อายกันจริง ๆ!” ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังรู้สึกเขินอาย หลินตงซิ่วก็ขัดจังหวะพวกชาวบ้านด้วยความโมโห
มีแม่สามีคนไหนบ้างที่ชอบให้คนอื่นพูดจาลามกกับลูกสะใภ้ของตัวเอง?
หลินตงซิ่วชี้ไปที่พวกเขาและถลึงตาใส่ “อย่ารังแกชิงหยวน เธอเพิ่งเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่นะ!”
คนเหล่านี้มักจะคุ้นเคยกับหลินตงซิ่ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่โกรธและทำเพียงยิ้มให้กันแล้วเรื่องนี้ก็จบลง
มีเพียงเซี่ยชิงหยวนที่มักจะมองไปทางเสิ่นอี้โจวโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ชายหนุ่มไม่เพียงมีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน สมเป็นนักวิจัย แค่เพียงสองจุดนี้ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงกับเขาได้แล้ว
เมื่อแขนทั้งสองออกแรง กล้ามเนื้อก็จะปูดนูนขึ้น กล้ามเป็นมัด ๆ นั้นเรียบและพอเหมาะพอเจาะ ผู้คนจึงอดคิดไม่ได้ว่าหากถูกอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นโอบกอดจะเป็นยังไง?
ดังนั้นเมื่อมองไปที่เซี่ยชิงหยวน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้หญิงในหมู่บ้านจะรู้สึกอิจฉาริษยาและอยากเป็นศัตรู
เธอไม่ได้มีเพียงแค่ใบหน้าที่สวยงาม แต่ยังมีสามีที่สมบูรณ์แบบนี้แบบนี้ได้
ส่วนพวกผู้ชายก็มองหญิงสาวโดยไม่ละอายใจ
ผู้หญิงบ้านนอกปกติจะมีจุดดำหรือรอยบนใบหน้าไม่มากก็น้อย นอกจากการขาดสารอาหารที่ครบถ้วนแล้ว เสื้อผ้าในยุคนี้และการทำงานภายใต้แสงแดดตลอดทั้งปี ส่งผลให้ผิวของเธอคล้ำและหยาบกร้านไปโดยปริยาย
แต่เซี่ยชิงหยวนนั้นแตกต่างออกไป
ผิวทั่วเรือนร่างขาวละเอียดราวกับไข่ที่กะเทาะเปลือกออกมา
นอกจากนี้เธอยังสวยสด หน้าอกอวบอิ่ม บั้นท้ายกลมกลึง และเอวที่เพรียวบาง…
แล้วใครจะไม่ถอนหายใจกันล่ะที่เสิ่นอี้โจวได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยงามขนาดนี้?
ทว่าความสนใจของเซี่ยชิงหยวนไม่ได้อยู่ที่การมองของคนรอบข้างเลย เพราะขณะที่กำลังเรียนรู้วิธีปลูกข้าวกับหลินตงซิ่วอยู่ หญิงสาวก็กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับแผนการในค่ำคืนนี้เช่นกัน
เสียงของผานเยว่กุ้ยดังมาจากด้านข้างหู เธอจึงต้องหันไปมอง
ผานเยว่กุ้ยเพิ่งมาถึง เธอยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ขณะกำลังพูดและหัวเราะกับผู้คนรอบตัวเสียงดัง
แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดไปคือ ขณะที่ผานเยว่กุ้ยกำลังคุยกับคนอื่น ๆ เธอเกาแก้มตัวเองอย่างผิดปกติ มีรอยผื่นแดงปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอย่างเด่นชัด
เซี่ยชิงหยวนจึงเยาะเย้ยอีกฝ่ายอยู่ในใจ
ดูเหมือนหวังชุ่ยเฟินจะไม่ได้รับของคืนไปสินะ
และตามนิสัยของผานเยว่กุ้ย แม้ว่าตอนนี้เธอจะคันหน้าคันตา แต่เธอก็คงยังไม่ได้คิดไปถึงครีมกระปุกนั้น
เพราะมันไม่ใช่ของถูก ๆ เลย ต่อให้เธอจะสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับมันจริง ๆ เธอก็คงไม่คิดจะทิ้งมันไปและยังใช้มันต่อ
เธอแค่ต้องรอดูต่อไป
รอจนกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะบวมเป็นหัวหมู จากนั้นเธอคงนึกได้และไปหาหวังชุ่ยเฟินเพื่อชำระแค้น ซึ่งจากนั้นทุกคนจะได้เห็นละครสนุก ๆ แน่นอน
ทว่าสีหน้าที่ครุ่นคิดของเซี่ยชิงหยวนกลับทำให้คนอื่นที่สังเกตเธออยู่เข้าใจผิด
ทุกคนรู้ว่าหญิงสาวได้พบกับตู้อวิ๋นเซิงในตอนเช้า ดังนั้นทุกคนจึงคาดเดากันไปเองว่าเธอคงกำลังคิดถึงตู้อวิ๋นเซิงอยู่!
หลินตงซิ่วมองไปยังลูกชายของเธอ จากนั้นมองไปที่ลูกสะใภ้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหมองเศร้า
เธอต้องการที่จะเกลี้ยกล่อมเสิ่นอี้โจว แต่แววตาเย็นชาในดวงตาของอีกฝ่ายก็เพียงพอที่จะทำให้เธอล่าถอย
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็คว้าคอของเสิ่นอี้หลินที่กำลังจะวิ่งออกไปเล่นเอาไว้ และทั้งสองก็กระซิบคุยอะไรบางอย่าง
“พี่สะใภ้?” พฤติกรรมของอีกฝ่ายสามารถอธิบายได้ว่าเป็นการ ‘ประจบประแจง’ สำหรับเสิ่นอี้หลิน
แน่นอนว่าความประหลาดใจมีมากกว่าความยินดี
เขาตกตะลึงอยู่สองสามวินาที “พี่สะใภ้…พี่สะใภ้”
เซี่ยชิงหยวนโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของเขา “นายจะออกไปเล่นตอนบ่ายนี้ไหม”
เสิ่นอี้หลินพยักหน้า “ใช่ครับ”
เธอพูดอีกครั้ง “ช่วยพี่สะใภ้คนนี้หน่อยได้ไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เด็กชายก็มองเธออย่างสงสัย “มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?”
เซี่ยชิงหยวนจับมือเขาราวกับว่าเธอจะไม่บอกเขาจนกว่าจะเดินตามมาด้วยกัน
เสิ่นอี้หลินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจ “ทำไม”
เซี่ยชิงหยวนกระซิบ “มีต้นไทรใหญ่อยู่ข้างลานตากข้าว นายรู้อยู่แล้วใช่ไหม”
เสิ่นอี้หลินพยักหน้า “รู้ครับ”
เธอพูดต่อ “วันนี้พอนายไปที่ลานตากข้าวในตอนบ่าย หลังจากเล่นเสร็จ นายช่วยขุดหลุมหลังต้นไทรให้พี่สะใภ้ทีนะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ทำไม้ทำมือให้น้องสามีของเธอดูว่า ควรขุดหลุมลึกประมาณสามหรือสี่เซนติเมตร และกว้างสามสิบเซนติเมตร
คิ้วของเสิ่นอี้หลินขมวด “คุณให้ผมขุดมันทำไมกันครับ?”
เขาเคยขุดหลุมมากมาย แต่ทำไมวันนี้พี่สะใภ้ถึงให้เขาไปขุดหลุมที่หลังต้นไทรใหญ่ล่ะ?
แน่นอนว่า เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถบอกเขาได้ในตอนนี้
เธอหยิบลูกอมสองสามเม็ดออกมาจากกระเป๋า และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายช่วยฉันทำงานให้เสร็จก่อน แล้วฉันจะแสดงโชว์ดี ๆ ให้นายดู ส่วนนี่คือรางวัลของนาย”