บทที่ 29 ความคิดของเธอคือความคิดของผม
บทที่ 29 ความคิดของเธอคือความคิดของผม
เมื่อถูกเซี่ยชิงหยวนตะคอกใส่ สวีไหลตี้ก็ตกตะลึงไปในทันที
การถูกอีกฝ่ายด่าถือเป็นความอัปยศในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
หญิงสาวต้องการจะตอบโต้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเถียงกลับไปอย่างไรดี เธอจึงทำท่าเท้าเอวอีกครั้งและตะโกนว่า “เซี่ยชิงหยวน ฉันจะบอกเธอว่าฉัน… ”
“ฉันอะไร? เธอยังมีหน้ามาพูดอะไรอีก?” ทันทีที่สวีไหลตี้เปิดปาก เซี่ยชิงหยวนก็ขัดจังหวะอีกฝ่ายทันที
“ฉันเพิ่งเคยเห็นโจรทำแบบนี้เป็นครั้งแรกจริง ๆ นะเนี่ย นี่เธอเข้าใจคำว่ามารยาทบ้างไหม ความชอบธรรมและความละอายใจคืออะไร? เธอพาลูกชายตัวเองมาปล้นของบ้านคนอื่น แต่กลับมาอ้างความอาวุโสเพื่อชี้หน้าด่าโดยไม่รู้สึกผิด ช่างกล้าดีเสียจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอแค่หน้าหนาหรือไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์กันแน่? เธอยังมีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ยังไงกันนะ? ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะหาต้นไม้สักต้นแล้วแขวนคอตัวเอง จะได้ไม่ต้องเปลืองทรัพยากรและเป็นมลพิษต่อโลก!”
“นี่แก…แก…แก!” สวีไหลตี้ชี้หน้าของหญิงสาวตรงหน้า แม้จะมีโทสะแค่ไหน ทว่าเธอกลับพูดไม่ออกสักแอะ
“แกอะไร?” เซี่ยชิงหยวนปัดมือที่กำลังชี้มาที่เธอของอีกฝ่ายทิ้ง
ก่อนพูดอย่างเย็นชาว่า “คืนของและขอโทษอี้หลินกับแม่ของฉันซะ ไม่อย่างนั้นวันนี้ กูจะไม่มีวันจบกับมึงแน่!”
เมื่อเผชิญกับลูกสะใภ้ที่แข็งกร้าวคนนี้ของเธอ หัวใจของหลินตงซิ่วก็สั่นสะท้าน เธอดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้และพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “ชิงหยวน ลืมมันไปเถอะนะลูก”
เมื่อเห็นแม่สามีที่นุ่มนวลราวกับโคลน หญิงสาวก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
หญิงสาวไม่ได้ระงับความโกรธ และน้ำเสียงที่พูดกับอีกฝ่ายก็ค่อนข้างแข็งทื่อ “คุณแม่ อี้หลินยังเป็นลูกของคุณอยู่ไหมคะ? เขาถูกแกล้งแบบนี้ แม่ยังจะอยู่เฉยอีกหรือคะ”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่สวีไหลตี้อีกครั้ง “ผู้หญิงคนนี้เป็นฝ่ายผิด! เธอจะมาทำอะไรตามใจชอบที่บ้านของเราไม่ได้!”
หลินตงซิ่วไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเมื่อถูกลูกสะใภ้ถามแบบนี้
ทั้งของที่ถูกปล้นและลูกชายของเธอก็ถูกทุบตี เมื่อเห็นแบบนี้ เธอก็โกรธมากเหมือนกัน
ทุกคนในบ้านนั้นต่างใช้ความกตัญญูเพื่อกดขี่เธอ เธอจึงขุดตัวเองออกมาจากบ้านของเสิ่นสิงไม่ได้เสียที!
เมื่อสวีไหลตี้เห็นหลินตงซิ่วช่วยพูดให้ ความมั่นใจของเธอที่เซี่ยชิงหยวนเพิ่งทำลายไปก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นผู้คนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ พากันเดินมามองดูเหตุการณ์ที่โวกเวกโวยวายนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็ข่มความหยิ่งผยองในใจ ก่อนจะตะโกนสุดเสียงว่า “ไม่นะ นี่มันมันอะไรกัน! น้องสะใภ้กำลังจะกินหัวฉันแล้ว! ฉันแค่ต้องการขอแบ่งขาหมูมาให้พ่อสามีของฉันบ้างแค่นั้นเอง แต่เธอกลับตะโกนใส่และสาปแช่งครอบครัวของฉัน!”
แม้เพื่อนบ้านจะได้ยินคำพูดของเธอ แต่แทนที่จะยืนเคียงข้าง พวกเขากลับมองดูด้วยความดูแคลน
แม้ว่าจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แต่พวกเขาก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นชามขาหมูหล่นกระจายเต็มพื้น
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการทำให้เรื่องแย่ลง เซี่ยชิงหยวนก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ได้ ในเมื่อเรื่องนี้จบกันด้วยดีไม่ได้ ถ้างั้นฉันจะขอให้เลขาธิการพรรคมาตัดสิน!”
เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วพูดกับชายคนหนึ่งว่า “ลุงหมางจื่อคะ รบกวนไปตามเลขาธิการพรรคมาให้ที บอกเขาว่าครอบครัวฉันมีปัญหาบางอย่าง และต้องการให้เขาช่วยตัดสินอย่างเป็นธรรม”
แล้วจากนั้นเธอก็พูดกับผู้หญิงคนหนึ่งว่า “อาสามหนิว รบกวนไปที่บ้านของลุงเสิ่นสิงและบอกให้พวกเขามาที่นี่ทีนะคะ”
จากนั้นเธอก็มองไปที่ทุกคนอย่างไม่หลบสายตา “ฉันไม่เชื่อว่าจะไม่มีความยุติธรรมอยู่บนโลกใบนี้!”
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของครอบครัวเสิ่นสิง เธอก็ไม่อยากทนอีกต่อไป!
การกระทำของพวกเขาน่าขยะแขยงเกินไป จนมันทำให้เธอนอนไม่หลับจริง ๆ
บางทีอาจได้รับอิทธิพลจากทัศนคติที่เด็ดขาดของเธอ คนทั้งสองที่ถูกเรียกก่อนหน้านี้จึงรู้สึกกล้าหาญและพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “ได้! เราจะไปเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นพวกเขาก็วิ่งไปยังจุดหมายของตน
สถานการณ์นี้ทำให้สวีไหลตี้เกิดกลัวขึ้นมา
ทั้งที่การหยิบฉวยสิ่งของในบ้านนี้มันเคยง่ายดายกว่านี้แท้ ๆ หากอยากได้สิ่งใดก็แค่เอาไป แต่คราวนี้ถึงกับต้องเรียกเลขาธิการพรรคมาเลยหรือ?
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผานเยว่กุ้ยก็กลับมาบ่นให้ฟังที่บ้าน และเสิ่นสิงถึงกับทุบตีเธอ โดยบอกว่าอย่าวุ่นวายเกินไปเพราะหากไม่มีเงินแปดหยวนของเสิ่นอี้โจวพวกเขาจะซวยกันหมด
หากเสิ่นสิงต้องถ่อมาถึงที่นี่เพราะเธอจริง ๆ อย่างนั้นเสิ่นอี้เทาจะไม่ไล่เธอกลับบ้านเกิดหรอกหรือ?
ขณะที่สวีไหลตี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหงื่อเย็นก็เริ่มไหลออกมาทั่วร่างกาย
เธอคว้าขวดน้ำที่เสิ่นจวินถือไว้แล้วรีบพูด “เร็วเข้า คืนขวดน้ำให้พวกมันซะ!”
แต่มีหรือที่เสิ่นจวินจะยอม?
เขาจับมันแน่นไม่ยอมปล่อย “ไม่! ไม่คืนให้หรอก! ก็แม่สัญญาว่าจะเอามันให้ผมก่อนหน้านี้แล้วนี่! แถมปู่กับย่าก็บอกว่าสิ่งของในบ้านของพวกเขาเป็นของบ้านเราทั้งหมด เราจะหยิบอะไรไปก็ได้ถ้าเราต้องการ!”
คำพูดของเสิ่นจวินนั้นไม่ต่างกับการขว้างก้อนหินใส่ฝูงชนจนทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่
เดิมทีพวกเขาบางคนคิดว่าวันนี้เซี่ยชิงหยวนดุร้ายมากเกินไป แต่ตอนนี้พวกเขาไม่รู้สึกเห็นใจสวีไหลตี้อีกแล้ว
คนแบบนี้สมควรที่จะถูกลงโทษแล้ว!
เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านและเสิ่นสิงมาถึงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าผานเยว่กุ้ยก็มาด้วย
เมื่อเสิ่นสิงเห็นเซี่ยชิงหยวน ใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้ม “หลานสะใภ้ หากมีความเข้าใจผิดกันในครอบครัว ก็แค่บอกฉันก็ได้ ทำไมต้องไปหาเลขาพรรคด้วย?”
หญิงสาวมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย และอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจใส่เขา
เธอสงบใจลงและพูดว่า “คุณลุง เดิมทีฉันเคยคิดที่จะแก้ปัญหาครอบครัวที่บ้าน แต่จากประสบการณ์มากมายในอดีต ฉันจึงตัดสินใจว่าวันนี้ฉันต้องการจะแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อยสมบูรณ์ไปเลยจึงเรียกหาเลขาธิการพรรคมาที่นี่”
ด้วยเรื่องของหวังชุ่ยเฟินและตู้อวิ๋นเซิงก่อนหน้านี้ ชื่อเสียงของหมู่บ้านซีสุ่ยจึงย่ำแย่ลงมากในตอนนี้ เลขาธิการพรรคจึงพยายามให้ความสนใจกับกฎระเบียบความเรียบร้อยของสังคมชนบทอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
จะตีเหล็กก็ต้องตีในขณะที่มันกำลังร้อน เธอต้องคว้าโอกาสนี้ไว้
และคำพูดดังกล่าวของหญิงสาวก็แฝงนัยว่า เสิ่นสิงเคยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไม่ยุติธรรมมาก่อน เขาปกป้องครอบครัวและเป็นเหตุให้คนเหล่านี้กระทำความผิดอยู่หลายครั้ง
สายตาที่มีต่อเซี่ยชิงหยวนของเสิ่นสิงเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็พ่นลมหายใจและไม่พูดอะไรอีก
ทันทีที่ผานเยว่กุ้ยเดินเข้ามา เธอจ้องไปที่หลานสะใภ้ แต่ไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับคำสั่งจากเสิ่นสิงว่าห้ามยุ่งกับอีกฝ่าย
เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านเพิ่งจัดการเรื่องของเซี่ยวอวิ๋นเสร็จในตอนเช้า ซึ่งมันทำให้เขาอารมณ์เสียมาก
หลังจากมาถึง เขาก็เห็นชามขาหมูหกบนพื้นก่อนจะมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง นอกจากนี้เขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมาที่นี่แล้ว ชายหนุ่มจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มือของเขาไพล่หลังกัน สายตามองไปยังสะใภ้ตระกูลหลิน “ชิงหยวน อี้โจวรู้เรื่องของวันนี้หรือเปล่าครับ เรื่องนี้จะใหญ่หรือเล็กก็ย่อมขึ้นอยู่กับเขา คุณเข้าใจใช่ไหม”
สิ่งที่เขาจะสื่อก็คือ หากต้องการดำเนินคดีใด ๆ เสิ่นอี้โจวที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องเห็นควรด้วยเท่านั้น
หากชายหนุ่มตกลง เขาก็มีวิธีมากมายในการจัดการกับมัน
หลังจากเมื่อคืนนี้ เซี่ยชิงหยวนก็คาดเดาได้แล้วว่าเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านกับเสิ่นอี้โจวรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
เธอไม่กังวลว่าสามีจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน เพราะตอนนี้เธอทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
และเธอเชื่อว่าแม้ว่าเสิ่นอี้โจวรู้ เขาก็จะยืนเคียงข้างเธอ
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงมั่นใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ในขณะที่เธอกำลังจะตอบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ความคิดของชิงหยวนคือความคิดของผม”