“ข้าคือบุตรบุญธรรมที่หัวหน้าหมู่บ้านพึ่งรับเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน ได้ยินพ่อบุณธรรมบอกไว้แต่แรกแล้วว่า สำนักหยินหยางต้องการมารับศิษย์ใหม่ที่หมู่บ้านของพวกเรา ข้ายินดีที่ได้รับเกียรตินี้……วันนี้ได้เห็นคนของสำนักหยินหยางมารับคนด้วยตนเอง ข้าช่างมีโชคเสียจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าพลิกหนังสือเสียอีก หนุ่มน้อยที่เมื่อครู่ยังมีไอสังหารพลุ่งพล่าน ตอนนี้กลับกลายเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขึ้นมา
ท่าทางที่ใสซื่อจนโง่งม นับว่าแสดงได้ดีถึงแก่น จนใครๆก็ดูไม่ออกเลยสักนิด
ชาวบ้านเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง ในใจต่างก็คิดไปว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดมาในคณะงิ้วเป็นแน่ ถึงได้มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ราวกับว่าคนที่มีไอสังหารท่วมท้นเมื่อครู่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันพูดจบแล้ว ก็หันไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ใช่หรือไม่ พ่อบุญธรรม?”
หัวหน้าหมู่บ้านถูกคำว่าพ่อบุญธรรมของนางเรียกจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว
เขาไหนเลยจะกล้าไปเป็นพ่อบุญธรรมของบรรพชนน้อยที่แสนร้ายกาจผู้นี้? คิดว่าเขาไม่รักชีวิตแล้วหรือไร!
แต่เมื่อถูกตู๋กูซิงหลันถาม เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้าตอบว่า “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว เด็กนี้นับถือเลื่อมใสในสำนักหยินหยางมาโดยตลอด ช่างโชคดีที่ทุกคนมาคัดเลือกศิษย์ใหม่ที่นี่…… เขาจึงได้พบโอกาสที่ดีนี้ เป็นบุญของเขาแล้ว”
คนเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากครึ่งขาวครึ่งดำเปิดเผยเพียงดวงตาเท่านั้น
พวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าที่นี่เกิดเรื่องใดขึ้น จะต้องสนใจไยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะใช่บุตรบุญธรรมของหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่ ต่อให้พบเจอที่กลางทาง ก็จะนำตัวกลับไปอยู่ดี
“ในเมื่ออยากไป ก็ติดตามพวกเรามาเถอะ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่สุดเอ่ยปาก
พอเขากวักมือ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยกกระถางออกมา
พอกระถางยักษ์ใบนั้นมาถึง กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงมีท่าทางไร้เดียงสา นางชี้นิ้วไปที่กระถางใบใหญ่ใบนั้น “ต้องเข้าไปในนั้นหรือ?”
“แน่นอน ศิษย์ใหม่ทุกๆคนต้องนั่งกระถางยักษ์ไป” ผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มตอบ จากนั้นก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หนุ่มน้อย เชิญเถอะ”
ติ๊งต๊องยืนอยู่ด้านข้าง สายตาไก่กุ๊กของมันมองดูมนุษย์เหล่านั้น ด้วยความรังเกียจราวกับว่ากำลังมองโคลนตม
ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางชักเท้าก้าวลงไป
ทันทีที่เท้าลมลงไปในกระถาง นางก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารและความแค้นที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง
ราวกับปลายมีดแหลมทิ่มแทงเข้าสู่ร่างงกาย
ริมหูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของภูติผีไม่มีหยุด เหล่าวิญญาณสีแดงดุจเลือดรายล้อมอยู่รอบกาย ดวงตาเหล่านั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มือผีที่แหลกเหลวผุดขึ้นมาจากในกระถาง คิดจะลางนางลงไป
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วย ‘ความเจ็บปวด’ เรือนร่างที่บอบบางนั้นถูกกระถางใบใหญ่ดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
พวกชาวบ้านที่ได้เห็นภาพนั้นมาอย่างคุ้นชิน …..ก็พลันนึกถึงภาพบุตรหลานของตนเองขึ้นมา พวกเขาก็ถูกสำนักหยินหยางพาตัวไปเช่นนี้ และไม่เคยได้กลับมา แต่ละคนหันเหสายตาออกไป อย่างไม่อาจทนมองดูได้อีก
หัวหน้าหมู่บ้านป่ายปีนขึ้นมาจากในหลุมอย่างยากลำบาก เขารีบคุกเข่าลงตรงหน้าคนกลุ่มนั้นในทันที อ้อนวอนว่า “ข้า…ลูกบุญธรรมของข้างดงามถึงปานนั้น…พวกท่าน….ครั้งนี้สามารถ….. ครั้งนี้ได้โปรดปล่อยลูกชายทั้งสองของข้าไปได้หรือไม่?”
เขาทางหนึ่งพูดทางหนึ่งก็โขกศีรษะเสียงดังตึงๆให้กับคนเหล่านั้น
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็โขกศีรษะด้วยเช่นกัน
“ขอร้องพวกท่านแล้ว…บุตรบุญธรรมของพวกเรา…. ต่อให้ควานหาจนทั่วดินแดนจิ่วโจวก็คงไม่มีทางตามหาคนหนุ่มที่รูปงามเช่นนี้ได้อีกเป็นคนที่สองแล้วกระมั้ง?”
คนเหล่านั้นเหลือบแลดูสองผัวเมีย อย่างไม่ได้สนใจสักเท่าไรอยู่แวบหนึ่ง ก็ยกกระถางใบใหญ่ขึ้นแบกแล้วหายไปจากป่าทึบอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเมื่อมองไม่เห็นเงาหลังของพวกเขาอีกต่อไป หัวหน้าหมู่บ้านผัวเมียจึงได้ถอนลมหายใจออกมา
เด็กหนุ่มสองคนนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทั้งครอบครัวกอดคอกันร้องไห้ออกมา
วันนี้ยังสามารถหลบพ้นได้ครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหน้า…. ไหนเลยจะยังโชคดีได้พบหนุ่มน้อยรูปงามไปตายแทนพวกเขาเช่นนี้อีก?
ติ๊งต๊องมองดูคนกลุ่มนั้นหายลับไปแล้ว จึงค่อยแอบตามไปอย่างเงียบๆ
กระถางใบยักษ์นั่นดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่ว่าด้วยความสามารถของพี่สาวตัวน้อย….ต่อให้ถูกดูดลงไป ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกกระมั้ง?
…………………….
เลือด มีแต่เลือดเต็มไปหมด
ในจมูกของตู๋กูซิงหลันมีแต่กลิ่นคาวเลือด รอบกายเต็มไปด้วยวิญญาณแค้นที่สวมใส่ชุดสีแดง ราวกับโซ่เหล็กที่พันเข้ามาเรื่อยๆเพื่อกลืนกินนาง
บนลำคอของพวกมันมีอักขระที่ซับซ้อนชนิดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันรู้จักอักขระเหล่านั้น คาถาสาปวิญญาณ
วิญญาณที่ถูกสาป ก็จะกลายเป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกคนชักจูง มีคนคิดบงการวิญญาณเหล่านี้
นางยืนอยู่ในกลางวงโลหิต ท่องคาถากำกับยันต์ในมือออกมา พอวิญญาณเหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีนาง ก็ซัดยันต์ทั้งหมดออกไป
“พรึ่บ ฟู่ ฟู่…..” ทันทีที่ยันต์สัมผัสโดนวิญญาณเหล่านั้น ก็เกิดเสียงแผดเผาผิวเนื้อขึ้นมา
แม้ว่าเหล่าวิญญาณแค้นในกระถางยักษ์ใบนี้ยังมิได้ก่อเป็นร่าง แต่ไอแค้นและแรงอาฆาตก็นับว่ารุนแรงอยู่ไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันมิได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมจนถึงขั้นทำลายดวงวิญญาณเหล่านี้ให้แตกสลาย เพียงใช้ยันต์ควบคุมพวกมันเอาไว้เท่านั้น
ขณะที่นางยกมือขึ้นมาลูบปอยผมขึ้นทัดหู ในมือก็เพิ่มยันต์อีกชิ้นหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงขยับยก “ข้ามันเป็นคนไม่ดี ผีเห็นเมื่อไหร่เป็นต้องหวาดผวา ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”
เหล่าผีพากันคร่ำครวญ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้
พวกมันยังคงมีรูปโฉมเหมือนยามที่ตายอย่างอนาถ ใบหน้าของแต่ละตนทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าลิ้นของพวกมันถูกตัดออกไปหมดแล้ว ในปากมีแต่ความดำมืดที่ว่างเปล่า ยิ่งดูน่าหวาดกลัวกว่าเดิม
นางขมวดคิ้ว “พวกเจ้าของคือคนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านเหล่านั้น?”
พวกวิญญาณเหล่านี้เมื่อถูกนางสะกดลง ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ ต่างก็พากันผงกศีรษะ
“เป็นสำนักหยินหยางลงมือกับพวกเจ้าจริงๆ?”
พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะและก็ส่ายศีรษะ
ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไรกันแน่
นางเอ่ยอีกว่า “ตอนที่พวกเจ้ายังมีชีวิตก็ถูกสดเป็นเนื้อบด เพื่อใช้หลอมยาจริงๆ?”
ครั้งนี้พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
แววตาของตู๋กูซิงหลันทอแสงเย็นวาบออกมา
นางมิได้ไต่ถามอะไรอีก หากแต่นั่งขัดสมาธิลงอยู่ในวงทะเลเลือดนั้น
รอบกายของนางห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินชั้นหนึ่ง เป็นประกายแพรวพราวอยู่ท่ามกลางเลือดสีแดงที่ห้อมล้อม
ในกระถางยักษ์ นับได้ว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่ง คนกลุ่มนั้นให้นางเข้ามาในกระถาง เกรงว่าคงคิดจะใช้เหล่าวิญญาณแค้นที่ยังไม่ได้ก่อเป็นรูปร่างเหล่านี้มาหลอกหลอนนาง จากนั้นในขณะที่นางตกอยู่ในความหวดกลัวอย่างที่สุดก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปหลอมเป็นยา
‘หลังจากที่ตาย’ เช่นนี้ วิญญาณของนางจะได้เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและเคียดแค้น ……สุดท้ายค่อยนำไปสร้างเป็นวิญญาณแค้นหุ่นเชิด
แต่น่าเสียดาย…..ที่พวกเขาคำนวนผิดพลาดไปแล้ว
เพราะนางคือตู๋กูซิงหลัน คือบรรพชนน้อยที่เหล่าวิญญาณใดๆในใต้หล้าเห็นแล้วต้องอ้อมหลบไป
นางสงบจิตใจลง ปลุกพลังวิญญาณในร่างขึ้นมา สำรวจดูสถานการณ์ภายนอก
ครู่หนึ่ง กระถางยักษ์ที่โยกคลอนก็หยุดนิ่งลง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากภายนอก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันว่า “หนุ่มน้อยที่บ่าวนำตัวกลับมาในครั้งนี้ รูปโฉมงดงามนัก หากว่าสามารถนำไปหลอมเป็นยาบุปผาสะคราญได้สำเร็จ รูปโฉมของท่านเจ้าจะต้องงดงามขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน”
……………………………………