ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 535 วิญญาณหุ่นเชิด

ตอนที่ 535 วิญญาณหุ่นเชิด

“ข้าคือบุตรบุญธรรมที่หัวหน้าหมู่บ้านพึ่งรับเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน ได้ยินพ่อบุณธรรมบอกไว้แต่แรกแล้วว่า สำนักหยินหยางต้องการมารับศิษย์ใหม่ที่หมู่บ้านของพวกเรา ข้ายินดีที่ได้รับเกียรตินี้……วันนี้ได้เห็นคนของสำนักหยินหยางมารับคนด้วยตนเอง ข้าช่างมีโชคเสียจริงๆ”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าพลิกหนังสือเสียอีก หนุ่มน้อยที่เมื่อครู่ยังมีไอสังหารพลุ่งพล่าน ตอนนี้กลับกลายเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขึ้นมา

 

 

ท่าทางที่ใสซื่อจนโง่งม นับว่าแสดงได้ดีถึงแก่น จนใครๆก็ดูไม่ออกเลยสักนิด

 

 

ชาวบ้านเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง ในใจต่างก็คิดไปว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดมาในคณะงิ้วเป็นแน่ ถึงได้มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ราวกับว่าคนที่มีไอสังหารท่วมท้นเมื่อครู่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดจบแล้ว ก็หันไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ใช่หรือไม่ พ่อบุญธรรม?”

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านถูกคำว่าพ่อบุญธรรมของนางเรียกจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว

 

 

เขาไหนเลยจะกล้าไปเป็นพ่อบุญธรรมของบรรพชนน้อยที่แสนร้ายกาจผู้นี้? คิดว่าเขาไม่รักชีวิตแล้วหรือไร!

 

 

แต่เมื่อถูกตู๋กูซิงหลันถาม เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้าตอบว่า “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว เด็กนี้นับถือเลื่อมใสในสำนักหยินหยางมาโดยตลอด ช่างโชคดีที่ทุกคนมาคัดเลือกศิษย์ใหม่ที่นี่…… เขาจึงได้พบโอกาสที่ดีนี้ เป็นบุญของเขาแล้ว”

 

 

 คนเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากครึ่งขาวครึ่งดำเปิดเผยเพียงดวงตาเท่านั้น

 

 

พวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าที่นี่เกิดเรื่องใดขึ้น จะต้องสนใจไยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะใช่บุตรบุญธรรมของหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่ ต่อให้พบเจอที่กลางทาง ก็จะนำตัวกลับไปอยู่ดี

 

 

“ในเมื่ออยากไป ก็ติดตามพวกเรามาเถอะ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่สุดเอ่ยปาก

 

 

พอเขากวักมือ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยกกระถางออกมา

 

 

พอกระถางยักษ์ใบนั้นมาถึง กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงมีท่าทางไร้เดียงสา นางชี้นิ้วไปที่กระถางใบใหญ่ใบนั้น “ต้องเข้าไปในนั้นหรือ?”

 

 

“แน่นอน ศิษย์ใหม่ทุกๆคนต้องนั่งกระถางยักษ์ไป” ผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มตอบ จากนั้นก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หนุ่มน้อย เชิญเถอะ”

 

 

ติ๊งต๊องยืนอยู่ด้านข้าง สายตาไก่กุ๊กของมันมองดูมนุษย์เหล่านั้น ด้วยความรังเกียจราวกับว่ากำลังมองโคลนตม

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางชักเท้าก้าวลงไป

 

 

ทันทีที่เท้าลมลงไปในกระถาง นางก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารและความแค้นที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง

 

 

ราวกับปลายมีดแหลมทิ่มแทงเข้าสู่ร่างงกาย

 

 

ริมหูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของภูติผีไม่มีหยุด เหล่าวิญญาณสีแดงดุจเลือดรายล้อมอยู่รอบกาย ดวงตาเหล่านั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มือผีที่แหลกเหลวผุดขึ้นมาจากในกระถาง คิดจะลางนางลงไป

 

 

สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วย ‘ความเจ็บปวด’ เรือนร่างที่บอบบางนั้นถูกกระถางใบใหญ่ดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา

 

 

พวกชาวบ้านที่ได้เห็นภาพนั้นมาอย่างคุ้นชิน …..ก็พลันนึกถึงภาพบุตรหลานของตนเองขึ้นมา พวกเขาก็ถูกสำนักหยินหยางพาตัวไปเช่นนี้ และไม่เคยได้กลับมา แต่ละคนหันเหสายตาออกไป อย่างไม่อาจทนมองดูได้อีก

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านป่ายปีนขึ้นมาจากในหลุมอย่างยากลำบาก เขารีบคุกเข่าลงตรงหน้าคนกลุ่มนั้นในทันที อ้อนวอนว่า “ข้า…ลูกบุญธรรมของข้างดงามถึงปานนั้น…พวกท่าน….ครั้งนี้สามารถ….. ครั้งนี้ได้โปรดปล่อยลูกชายทั้งสองของข้าไปได้หรือไม่?”

 

 

เขาทางหนึ่งพูดทางหนึ่งก็โขกศีรษะเสียงดังตึงๆให้กับคนเหล่านั้น

 

 

ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็โขกศีรษะด้วยเช่นกัน

 

 

“ขอร้องพวกท่านแล้ว…บุตรบุญธรรมของพวกเรา…. ต่อให้ควานหาจนทั่วดินแดนจิ่วโจวก็คงไม่มีทางตามหาคนหนุ่มที่รูปงามเช่นนี้ได้อีกเป็นคนที่สองแล้วกระมั้ง?”

 

 

คนเหล่านั้นเหลือบแลดูสองผัวเมีย อย่างไม่ได้สนใจสักเท่าไรอยู่แวบหนึ่ง ก็ยกกระถางใบใหญ่ขึ้นแบกแล้วหายไปจากป่าทึบอย่างรวดเร็ว

 

 

กระทั่งเมื่อมองไม่เห็นเงาหลังของพวกเขาอีกต่อไป หัวหน้าหมู่บ้านผัวเมียจึงได้ถอนลมหายใจออกมา

 

 

เด็กหนุ่มสองคนนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทั้งครอบครัวกอดคอกันร้องไห้ออกมา

 

 

วันนี้ยังสามารถหลบพ้นได้ครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหน้า…. ไหนเลยจะยังโชคดีได้พบหนุ่มน้อยรูปงามไปตายแทนพวกเขาเช่นนี้อีก?

 

 

ติ๊งต๊องมองดูคนกลุ่มนั้นหายลับไปแล้ว จึงค่อยแอบตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

กระถางใบยักษ์นั่นดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่ว่าด้วยความสามารถของพี่สาวตัวน้อย….ต่อให้ถูกดูดลงไป ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกกระมั้ง?

 

 

…………………….

 

 

เลือด มีแต่เลือดเต็มไปหมด

 

 

ในจมูกของตู๋กูซิงหลันมีแต่กลิ่นคาวเลือด รอบกายเต็มไปด้วยวิญญาณแค้นที่สวมใส่ชุดสีแดง ราวกับโซ่เหล็กที่พันเข้ามาเรื่อยๆเพื่อกลืนกินนาง

 

 

บนลำคอของพวกมันมีอักขระที่ซับซ้อนชนิดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันรู้จักอักขระเหล่านั้น คาถาสาปวิญญาณ

 

 

วิญญาณที่ถูกสาป ก็จะกลายเป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกคนชักจูง มีคนคิดบงการวิญญาณเหล่านี้

 

 

นางยืนอยู่ในกลางวงโลหิต ท่องคาถากำกับยันต์ในมือออกมา พอวิญญาณเหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีนาง ก็ซัดยันต์ทั้งหมดออกไป

 

 

“พรึ่บ ฟู่ ฟู่…..” ทันทีที่ยันต์สัมผัสโดนวิญญาณเหล่านั้น ก็เกิดเสียงแผดเผาผิวเนื้อขึ้นมา

 

 

แม้ว่าเหล่าวิญญาณแค้นในกระถางยักษ์ใบนี้ยังมิได้ก่อเป็นร่าง แต่ไอแค้นและแรงอาฆาตก็นับว่ารุนแรงอยู่ไม่น้อย

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมจนถึงขั้นทำลายดวงวิญญาณเหล่านี้ให้แตกสลาย เพียงใช้ยันต์ควบคุมพวกมันเอาไว้เท่านั้น

 

 

ขณะที่นางยกมือขึ้นมาลูบปอยผมขึ้นทัดหู ในมือก็เพิ่มยันต์อีกชิ้นหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงขยับยก “ข้ามันเป็นคนไม่ดี ผีเห็นเมื่อไหร่เป็นต้องหวาดผวา ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”

 

 

เหล่าผีพากันคร่ำครวญ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้

 

 

พวกมันยังคงมีรูปโฉมเหมือนยามที่ตายอย่างอนาถ ใบหน้าของแต่ละตนทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าลิ้นของพวกมันถูกตัดออกไปหมดแล้ว ในปากมีแต่ความดำมืดที่ว่างเปล่า ยิ่งดูน่าหวาดกลัวกว่าเดิม

 

 

นางขมวดคิ้ว “พวกเจ้าของคือคนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านเหล่านั้น?”

 

 

พวกวิญญาณเหล่านี้เมื่อถูกนางสะกดลง ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ ต่างก็พากันผงกศีรษะ

 

 

“เป็นสำนักหยินหยางลงมือกับพวกเจ้าจริงๆ?”

 

 

พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะและก็ส่ายศีรษะ

 

 

ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไรกันแน่

 

 

นางเอ่ยอีกว่า “ตอนที่พวกเจ้ายังมีชีวิตก็ถูกสดเป็นเนื้อบด เพื่อใช้หลอมยาจริงๆ?”

 

 

ครั้งนี้พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง

 

 

แววตาของตู๋กูซิงหลันทอแสงเย็นวาบออกมา

 

 

นางมิได้ไต่ถามอะไรอีก หากแต่นั่งขัดสมาธิลงอยู่ในวงทะเลเลือดนั้น

 

 

รอบกายของนางห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินชั้นหนึ่ง เป็นประกายแพรวพราวอยู่ท่ามกลางเลือดสีแดงที่ห้อมล้อม

 

 

ในกระถางยักษ์ นับได้ว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่ง คนกลุ่มนั้นให้นางเข้ามาในกระถาง เกรงว่าคงคิดจะใช้เหล่าวิญญาณแค้นที่ยังไม่ได้ก่อเป็นรูปร่างเหล่านี้มาหลอกหลอนนาง จากนั้นในขณะที่นางตกอยู่ในความหวดกลัวอย่างที่สุดก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปหลอมเป็นยา

 

 

‘หลังจากที่ตาย’ เช่นนี้ วิญญาณของนางจะได้เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและเคียดแค้น ……สุดท้ายค่อยนำไปสร้างเป็นวิญญาณแค้นหุ่นเชิด

 

 

แต่น่าเสียดาย…..ที่พวกเขาคำนวนผิดพลาดไปแล้ว

 

 

เพราะนางคือตู๋กูซิงหลัน คือบรรพชนน้อยที่เหล่าวิญญาณใดๆในใต้หล้าเห็นแล้วต้องอ้อมหลบไป

 

 

นางสงบจิตใจลง ปลุกพลังวิญญาณในร่างขึ้นมา สำรวจดูสถานการณ์ภายนอก

 

 

ครู่หนึ่ง กระถางยักษ์ที่โยกคลอนก็หยุดนิ่งลง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากภายนอก

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันว่า “หนุ่มน้อยที่บ่าวนำตัวกลับมาในครั้งนี้ รูปโฉมงดงามนัก หากว่าสามารถนำไปหลอมเป็นยาบุปผาสะคราญได้สำเร็จ รูปโฉมของท่านเจ้าจะต้องงดงามขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน”

 

 

……………………………………

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Status: Ongoing

ตู๋กูซิงหลัน ปรมาจารย์ไสยศาสตร์ลับผู้เลอโฉมแห่งต้าโจวต้องกลายเป็นไทเฮาแม่ม่ายด้วยวัยเพียงสิบห้าปี และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยข้อหา ‘งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยตาย’ ด้วยเหตุนี้นางจึงตกเป็นที่รังเกียจของ จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ใหม่และเหล่าสนมทั้งสามพันนางของเขา ขณะกำลังคิดหาหนทางประจบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อให้ชีวิตของนางได้อยู่สุขสบายขึ้นมาบ้าง บรรดาลูกสะใภ้ที่หวั่นใจกลัวว่าแม่เลี้ยงสาวจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนข้างหมอนก็พากันตบเท้าเข้ามาหาเรื่องนางมิขาดสาย ไหนจะอดีตคนรักอย่าง จีเย่ว์ ที่มาขอคืนดีด้วยอีก คราวนี้ตู๋กูซิงหลันจึงต้องรับศึกหนักทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งยังต้องหาทางฟื้นพลังเพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตไปด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางปีนออกนอกกำแพงวังได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท