บทที่ 33 บทสรุป
บทที่ 33 บทสรุป
“แยกครอบครัว?” เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านสับสน “นายหมายความว่ายังไง”
ครอบครัวของเสิ่นสิงและครอบครัวของพวกเขาตกลงว่าจะแยกจากกันก่อนจะแต่งเซี่ยชิงหยวนเข้าบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ?
เสิ่นอี้โจวกล่าวต่อว่า “จากนี้ไปครอบครัวของผมจะไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของคุณลุงอีกต่อไป เราจะตัดสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นสายตระกูลและการเงินทั้งหมด เงินเดือนของผมจะสนับสนุนเฉพาะคุณปู่ พ่อ แม่ ภรรยา ลูกและน้องชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องกตัญญูต่อครอบครัวของพวกเขาอีก”
ขณะที่พูดประโยคนี้ เขาก็มองเสิ่นสิงอยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าของเขาสงบและมั่นคง น้ำเสียงของเขาดังก้อง ดวงตาคู่นั้นยังคงเย็นชาและเฉียบคม
ทุกคนจึงเข้าใจได้ว่าเสิ่นอี้โจวกำลังจะตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวของเสิ่นสิงอย่างสิ้นเชิง
สมัยนี้ใครเขาหาเงินได้ง่าย ๆ กัน
ด้วยเงินที่หามาอย่างยากลำบาก แทนที่จะเอามาเลี้ยงดูภรรยาและครอบครัวของตัวเอง กลับต้องคอยประเคนให้ครอบครัวที่ทั้งโหดร้ายและใจร้ายกับตนเองเนี่ยนะ?
เสิ่นสิงมองหลานชายตรงหน้าราวกับเขาได้เห็นร่างของน้องชายคนรองของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดหรืออะไร เขาจึงได้ลืมพูดไปชั่วครู่หนึ่ง
เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านยังกล่าวเสริมอีกว่า “มันก็จริง”
เขามองไปยังเสิ่นสิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิแกมติเตือนว่า “คุณเสิ่นสิง สิ่งที่อี้โจวพูดนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะมองจากมุมมองทางศีลธรรมหรือทางกฎหมาย เขาก็ไม่มีหน้าที่ส่งเงินให้แก่คุณ”
“ถ้าคุณเลี้ยงดูภรรยาและลูกของเสิ่นเหยียนจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ดูสิ่งที่ครอบครัวคุณทำสิ มันทุเรศทุรังขนาดไหน! เสิ่นสิง คุณควรตัดสินใจให้ดี ผมเองก็ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะหากมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา คุณน่าจะรู้ดีว่าใครจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในอนาคต”
เสิ่นสิงรับฟังด้วยใบหน้าซีดเซียว ขณะเม้มปากเบา ๆ และพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนเขา!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แย้งอะไร เลขาธิการพรรคก็ผายมือออก เขาเผชิญหน้ากับทุกคนและพูดด้วยเสียงดังกึกก้องว่า “ผมจะตัดสินให้! จากนี้ไปครอบครัวของเสิ่นสิงกับครอบครัวของเสิ่นอี้โจวจะตัดสัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง! จะไม่มีใครในครอบครัวของเสิ่นสิงใช้ข้ออ้างในการหยิบฉวยแม้แต่เข็มหรือด้ายในบ้านของเสิ่นอี้โจวได้อีก!”
“ส่วนเงินที่อี้โจวส่งให้กับครอบครัวของเสิ่นสิงในอดีตนั้นจะถือเป็นการซื้อความสัมพันธ์ในครอบครัว!”
จากนั้นเขามองไปที่เสิ่นอี้โจว “อี้โจว นายคิดว่ายังไง”
ใบหน้าของชายหนุ่มสงบ “ผมไม่คัดค้าน”
ใบหน้าของเสิ่นสิงซีดเผือด เขาเม้มริมฝีปากแน่น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องยอมพยักหน้า “ตกลง”
แต่ว่าผานเยว่กุ้ยจะเต็มใจทำตามความปรารถนาของพวกเขาแบบนี้ได้ยังไง
เธอส่งสายตาให้ผู้เป็นสามีจากทางด้านข้าง ทว่าเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจ เธอกลับหยิกเขาอย่างแรงทีหนึ่ง แต่คล้ายกับสติของเสิ่นสิงหลุดลอยไปไกลจนไม่อาจตอบสนองการกระทำของเธอได้เลย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเมินเฉย ผานเยว่กุ้ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกหน้าเองคนเดียว
เธอกระทืบเท้าและกำลังจะใช้อุบายเดิมอีกครั้ง เธอร้องไห้และทำทีจะแขวนคอตัวเอง “โอ้พระเจ้า!” ทว่าเมื่อเธอโพล่งออกไปเพียงสี่คำ หญิงแก่ก็เผชิญกับสายตาเย็นชาของเซี่ยชิงหยวน
ผานเยว่กุ้ยสำลักน้ำลายของตัวเองและไอออกมาอย่างแรง
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะเยาะ “คนมีหน้า ต้นไม้มีเปลือก*[1] แม้คุณจะไม่ต้องรักษาหน้าตัวเอง แต่อย่าลืมว่าลูกชายกับหลานชายของคุณป้ายังคงต้องอยู่ในสังคมต่อไปนะคะ”
“แล้วก็อย่าพูดว่าครอบครัวของคุณป้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเงินแปดหยวนนี้เชียวนะคะ ทั้งงานบัญชีของลุงเสิ่นสิงและครอบครัวของคุณป้าก็ครอบครองที่ดินมากมาย ทุกคนอ้วนถ้วนแข็งแรง ใบหน้าของพวกเขาแช่มชื่นขนาดนี้ อย่าแสร้งทำตัวน่าสงสารเลยค่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอก”
เซี่ยชิงหยวนเป็นประหนึ่งผู้เผยพระวจนะ ด้วยคำพูดไม่กี่คำ เธอกลับปิดกั้นสิ่งที่ผานเยว่กุ้ยต้องการพูดโดยสิ้นเชิง
ทุกคนหัวเราะหลังจากได้ยินประโยคนี้ บางคนถึงกับเยาะเย้ยออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ปันส่วนของคนอื่นไปขุนจนครอบครัวของตัวเองอ้วน!”
“คิดว่าครอบครัวของตัวเองผอมโซมากจนสามารถร้องไห้ให้น่าสงสารได้อยู่อีกหรือ”
เมื่อไอเสร็จ ใบหน้าของผานเยว่กุ้ยก็แดงก่ำ เธอไม่แน่ใจว่าการไอเมื่อครู่นั้นมาจากการสำลักจริง ๆ หรือเป็นความอับอายกันแน่
ในหมู่พวกเขา เสิ่นอี้เทาไม่อาจทนได้อีกต่อไป
เขาผลักคนตรงหน้าออกไป และรีบสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ชาวบ้านไม่ยอมปล่อยเขาไปและถามเสียงดังจากข้างหลังว่า “เสิ่นอี้เทา บอกฉันทีสิว่าความรู้สึกที่ได้แย่งชิงของของคนอื่นตลอดหลายปีมานี้เป็นยังไงบ้างน่ะ?!”
ท่าทางของเสิ่นอี้เทานั้นเหมือนกับเสิ่นสิงทุกประการ ภาพลักษณ์ที่เพียรสร้างมาตลอดหลายปีพังทลายไปจนหมด
เขาเดินเร็วจนเกือบสะดุดก้อนหิน
การกระทำนี้ทำให้ชาวบ้านหัวเราะกันครึกครื้น
เสิ่นสิงต้องการทำตามลูกชายเช่นกัน แต่เลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านหยุดเขาไว้เสียก่อน “เสิ่นสิง แค่คำพูดรับปากอย่างเดียวไม่น่าเชื่อถือพอ คุณต้องเขียนสัญญาและลงนามด้วย”
ทุกคนโห่ร้อง “ถูกต้อง เพราะเมื่อถึงเวลาคุณอาจจะกลับคำพูด ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง ทุกคนต้องการเห็นหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร!”
“คุณไม่ได้ถูกขอให้คืนสิ่งที่คุณแย่งชิงไปกลับมาก็บุญโขแล้ว ดังนั้นจงพอใจซะ!”
ท่ามกลางการเยาะเย้ยของทุกคน เสิ่นสิงได้ลงนามในข้อตกลงการตัดสัมพันธ์แบบสมบูรณ์
เขามองไปที่เสิ่นอี้โจวอย่างลุ่มลึกเป็นครั้งสุดท้ายและพูดว่า “อี้โจว ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าแกจะเจ้าวางแผนได้ขนาดนี้”
เขาพูดพร้อมกับยืดตัวขึ้นและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผานเยว่กุ้ยกับสวีไหลตี้ก็อยากติดตามไปด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงหยวนกลับเรียกพวกเธอให้หยุดเสียก่อน
จากนั้นเธอก็ก้าวเข้ามาสองสามก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าสวีไหลตี้และเสิ่นจวินและยื่นมือออกไป “นั่นเป็นขวดน้ำของอี้หลิน คืนมาให้เขาด้วย”
เสิ่นจวินไม่ค่อยเข้าใจความพลิกผันของผู้ใหญ่จึงกอดมันไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ยอมปล่อยขวดน้ำ “มันเป็นของผมแล้ว ทำไมต้องคืนให้ด้วย!”
ท่าทางของเด็กชายหยิ่งผยองอย่างยิ่ง
ใบหน้าชราของผานเยว่กุ้ยแดงก่ำ เธอคว้าขวดน้ำกำลังจะโยนมันลงบนพื้น
แต่ด้วยสายตาตักเตือนของหญิงสาวตรงหน้า เธอจึงกัดฟันกรอดแล้วยัดขวดน้ำใส่มือของเซี่ยชิงหยวน “เอาคืนไปสิ ใครจะไปสนมันกัน!”
หลังจากพูดจบ เธอก็ลากเสิ่นจวินที่กำลังร้องไห้และตบหัวสวีไหลตี้ไปด้วย “ไปเร็วสิ จะยืนรอยันปีหน้ารึไง!”
แล้วครอบครัวของเสิ่นสิงจากไปด้วยความขมขื่น
ฝูงชนค่อย ๆ แยกย้ายกันไปหลังจากเสิ่นอี้โจวกับเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านขอบคุณพวกชาวบ้าน แล้วพวกเขาก็มองไปที่แผ่นหลังบอบบางของหลินตงซิ่ว ซึ่งกำลังหยิบขาหมูบนพื้นอย่างเงียบ ๆ และรู้สึกอึดอัดใจ
เสิ่นอี้โจวเดินไปนั่งยอง ๆ ข้างเธอ จับมืออันหยาบกร้านของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “แม่ อย่าหยิบมันขึ้นมาเลยครับ”
มือของหลินตงซิ่วหยุดทันทีและน้ำตาก็ร่วงหล่นจากดวงตาของเธอกระทบลงบนพื้นสกปรก
เธอเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เช็ดน้ำตาของตัวเองและพูดด้วยเสียงสะอื้น “ตอนนี้เราตัดสัมพันธ์กับลุงของลูกแล้ว ในอนาคตเราจะทำยังไงกันดี”
ชายหนุ่มดึงร่างของผู้เป็นแม่เข้ามาและพูดอย่างหนักแน่นว่า “แม่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ มีผมอยู่ทั้งคน ผมจะไม่ยอมให้ใครรังแกแม่อีก”
หลินตงซิ่วมองไปที่ลูกชายคนโตที่สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว เธอก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้น
ใช่แล้ว ลูกชายคนโตของเธอมีความคิดเป็นของตนเองเสมอ หญิงชราเช่นเธอเพียงแค่ต้องก้าวตามเขาไปก็พอ
เธอจึงไม่พูดอะไรอีกและลูบหลังมือของเสิ่นอี้โจวเบา ๆ “ตราบใดที่ลูกสบายดี แม่ก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะ”
[1] คนมีหน้า ต้นไม้มีเปลือก หมายถึง การไว้หน้าหรือให้เกียรติกันและกัน