บทที่ 50 ตามไปยังงานเลี้ยงมื้อค่ำ
บทที่ 50 ตามไปยังงานเลี้ยงมื้อค่ำ
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวกลับไปทำงาน เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ต้องการปล่อยให้ตัวเองเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้น หญิงสาวจึงเริ่มทำความสะอาดบ้าน
หลังจากยุ่งกับงานบ้านอยู่นาน กว่าเธอจะได้กินข้าวก็บ่ายโมงเข้าไปแล้ว
หญิงสาวหยิบม้วนผ้าที่เธอซื้อมาจากตลาดเมื่อสองสามวันก่อนออกมาและวางแผนจะทำผ้าม่านให้เสร็จ
ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องกับห้องเล็กอีกสองห้อง รวมแล้วมีหน้าต่างทั้งหมดสี่บาน ฉะนั้นอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าเธอจะเย็บผ้าม่านทั้งหมดเสร็จ
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงวัดขนาดของหน้าต่าง ตัดผ้า และไปที่บ้านของเจียงเพ่ยหลานพร้อมกับผ้าและวัสดุต่าง ๆ
หญิงสาวจำได้ว่า ตอนที่คุยกัน เจียงเพ่ยหลานเคยบอกว่าที่บ้านของตัวเองมีจักรเย็บผ้าอยู่ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าจะไปยืมใช้เสียหน่อย
เซี่ยชิงหยวนมองหาบ้านของเจียงเพ่ยหลานที่เสิ่นอี้โจวเคยเล่าให้ฟัง
หลังจากกวาดตามอง ไม่นานนักเธอก็เห็นเสื้อผ้าของเจียงเพ่ยหลานที่ตากไว้ในสนามหน้าบ้าน ซึ่งมันทำให้หญิงสาวรู้ว่าเป็นบ้านหลังนี้
แต่ก่อนจะทันได้เคาะประตู เธอกลับได้ยินเสียงหญิงชราสบถออกมาเสียงดัง
“ทำหมันอะไร? ตราบใดที่แกยังไม่ได้ให้กำเนิดทายาทตระกูลหลินของเรา แกก็ทำหมันไม่ได้!”
หญิงชราลดเสียงลงอีกครั้งและพูดว่า “ถ้าแกอยากจะตำหนิใคร ก็โทษท้องที่ไร้ประโยชน์ของแกเถอะ ตั้งครรภ์มาสามรอบแล้วก็ยังไม่ได้เรื่อง!”
เซี่ยชิงหยวนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูบ้าน ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน
แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ดูเหมือนค่านิยมการมีลูกชายจะยังคงปรากฏให้เห็นอยู่หลายพื้นที่ ทั้งยังดูจะไม่มีที่สิ้นสุดด้วย
การจะตัดสินเรื่องครอบครัวของคนอื่นนั้นไม่มีถูกหรือผิด เซี่ยชิงหยวนลังเลว่าจะเข้าไปแทรกแซงดีหรือไม่ เธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงดังออกมา
เมื่อพิจารณาจากเสียงแล้ว เด็กหญิงน่าจะอายุประมาณสามหรือสี่ขวบ เธอร้องเรียก “แม่” ออกมา
เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้อง ร่างกายของเธอก็ขยับไม่ได้ขึ้นมา
เธอจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นถอยหลังมา ก่อนร้องเรียกอีกฝ่าย “เพ่ยหลาน คุณอยู่บ้านไหมคะ”
เมื่อเธอร้องเรียก เสียงต่าง ๆ ในบ้านก็หยุดชะงักในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงเพ่ยหลานก็เปิดประตูออกมา
ดวงตาของเธอแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มให้เซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน มาหาฉันมีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
หญิงสาวไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน และพูดกับอีกฝ่ายว่า “ฉันอยากทำผ้าม่านสักหน่อยค่ะ ก็เลยอยากจะรบกวนยืมจักรเย็บผ้าสักครู่”
อีกฝ่ายพยักหน้าทันที “ได้สิ งั้นคุณเข้ามาก่อนนะคะ”
ทางด้านหลังของเธอ มีเด็กหญิงตัวเล็กราวตุ๊กตาติดตามมา เด็กน้อยมีรูปร่างผอมแห้ง น้ำตาเอ่อคลอและน้ำมูกที่เปรอะใบหน้าของเธอ
เซี่ยชิงหยวนคาดเดาว่า เด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกสาวของเจียงเพ่ยหลาน
เจียงเพ่ยหลานดึงเด็กหญิงตัวน้อยเข้าหาตัว และกล่าวกับเธอว่า “ลูกจ๊ะ นี่คือน้าชิงหยวนนะ ทักทายน้าเขาหน่อยเร็ว”
เด็กหญิงตัวน้อยจ้องมองเซี่ยชิงหยวนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ด้วยดวงตากลมโตของเธอ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเจียงเพ่ยหลาน
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้เจอกันวันนี้ก็ดีมากแล้ว จากนี้ไปน้าจะมาเล่นกับหนูที่บ้านบ่อย ๆ ดีไหมเอ่ย หนูจะคุ้นเคยกับน้าเร็วขึ้น”
จากนั้นเธอก็หยิบลูกอมหนึ่งกำมือจากกระเป๋าของเธอ “อะ น้าให้ลูกอม มารับไปเร็วเข้า”
ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นประกาย เมื่อเห็นขนมในมือของเซี่ยชิงหยวน แต่เด็กหญิงก็ยังไม่กล้าจะเดินไปหยิบมัน
เจียงเพ่ยหลานยังกล่าวอีกว่า “ลูกอมนี้มีค่า อย่าให้เธอเลย”
เซี่ยชิงหยวนย่อตัวลง เธอจับมือเด็กหญิงไว้ และวางขนมใส่มือของเด็กหญิง “นี่คือสิ่งที่น้าอยากจะให้กับหนู รับมันไปเถอะ”
เด็กหญิงเงยหน้ามองผู้เป็นแม่อย่างลังเล
เมื่อเห็นท่าทางขลาดกลัวและขี้อายของลูกสาว เจียงเพ่ยหลานรู้สึกอึดอัดและพยักหน้าให้ “รับไปเถอะลูก”
จากนั้นเจียงเพ่ยหลานก็ต้อนรับเซี่ยชิงหยวนเข้ามาในบ้าน “ฉันทำเสื้อผ้าไม่เก่ง ดังนั้นแม่สามีของฉันจึงมักจะเป็นคนใช้จักรเย็บผ้า แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครยุ่งกับมันหรอก”
เมื่อเข้ามาในห้องนั่งเล่น เซี่ยชิงหยวนก็เห็นหญิงชราร่างเตี้ยนั่งอยู่ที่นั่น และเมื่อหญิงชราเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็ผงกศีรษะเพื่อเป็นการทักทาย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มจาง ๆ และกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะคุณป้า”
หญิงชราลุกขึ้นยืน แต่ไม่ได้ตอบเธอ “ในเมื่อพวกเธอไม่ว่างแล้ว งั้นฉันจะพาหลานสาวออกไปเดินเล่น”
แล้วหญิงชราก็เสริมว่า “ใช้ให้ระวังด้วยล่ะ มันราคาแพงมาก”
ขณะที่พูด เธอชี้ไปที่จักรเย็บผ้าก่อนจะลากเด็กหญิงออกไปกับเธอ
เจียงเพ่ยหลานดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย “แม่สามีของฉันก็เป็นอย่างนี้เสมอ คุณอย่าถือสาเลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวของเธอไปมา “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือหรอก”
ไม่นานนัก เสียงร้องของเด็กหญิงก็ดังขึ้นนอกประตู ตามมาด้วยเสียงดุด่าของหญิงชรา “แกจะร้องไห้ทำไม! เด็กขี้แพ้อย่างแกสมควรได้รับขนมงั้นเหรอ! เก็บพวกมันไว้ให้ลูกพี่ลูกน้องของแกซะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ใบหน้าของเจียงเพ่ยหลานก็แสดงสีหน้ารับไม่ได้ระคนโกรธขึ้ง มือของเธอกำเสื้อผ้าแน่น แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ไล่ตามออกไปดู
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“คุณจะไม่ออกไปดูสักหน่อยเหรอคะ?”
หากลูกของเธอได้รับการปฏิบัติแบบนี้ เธอจะไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอน
เจียงเพ่ยหลานส่ายหัว “ลืมมันเถอะ”
หากเธอพูดออกไป มันก็จะเกิดสงครามประสาทขึ้น แต่หากอดทนอีกนิด เธอก็จะได้รับความสงบกลับมาชั่วขณะ
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “คุณเป็นแม่เด็กคนนั้นแท้ ๆ ถ้าคุณไม่ปกป้องเขา แล้วลูกจะรู้สึกปลอดภัยได้ยังไง”
หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่อาศัยกับครอบครัวนี้ โดยไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่าความถูกต้องต้องมาเป็นอันดับแรก หากทำตัวอ่อนแอแบบนี้ มันก็รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายทำตัวแย่ต่อเรามากขึ้น กระทั่งตัวตนของเราก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว
และนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะให้ความช่วยเหลือได้
เด็กบางคนหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งชีวิตของตนเองด้วยความทรงจำในวัยเด็ก ในขณะที่บางคนใช้ช่วงเวลาที่เหลือของชีวิตตนเองปลอบประโลมความขมขื่นที่ได้รับในวัยเยาว์ เธอไม่อยากให้เด็กคนนั้นเป็นอย่างหลังเลย
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจียงเพ่ยหลานก็ยังคงกัดริมฝีปากแน่นและไม่พูดอะไร
ทำไมเธอจะไม่เคยทำตัวแข็งกร้าวกันล่ะ? แต่ที่ยอมประนีประนอมอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเธอสู้แม่สามีไม่ได้ต่างหาก
ถึงอย่างไร สามีของเธอก็จะกล่าวหาว่าเธอเป็นตัวปัญหา
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนจึงหยุดโน้มน้าวอีกฝ่าย
ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หญิงสาวจึงเดินเลี่ยงไปเย็บผ้าอย่างรวดเร็ว
เจียงเพ่ยหลานขยับมายืนข้าง ๆ พลางมองมาอย่างอิจฉา “มือของคุณดูคล่องแคล่วมากเลย ฉันยังไม่เคยเห็นใครเย็บผ้าม่านได้สวยขนาดนี้มาก่อน ถึงจะอยากเรียนรู้ แต่ฉันไม่มีเวลาเลย”
ผ้าม่านแบ่งเป็นสีฟ้าคล้ายกับท้องฟ้า สีเหลืองขมิ้น และสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งตกแต่งด้วยลายลูกไม้และรอยจีบ ทำให้พวกมันด้วยสวยงามมาก
ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านของเจียงเพ่ยหลาน ซึ่งหาผ้ามาจากตู้และแขวนปิดหน้าต่างทั้งอย่างนั้น
เซี่ยชิงหยวนตอบว่า “ถ้าคุณต้องการเรียน ฉันสอนให้ได้นะคะ”
เจียงเพ่ยหลานเพียงพูดไปอย่างนั้น แต่เธอกลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยินดีสอนเธอจริง ๆ
เธอเกาหัวแกรก ๆ “ถ้างั้นฉันก็ขอขอบคุณคุณล่วงหน้า”
ส่วนจะหาเวลาไปเรียนเมื่อไหร่นั้น หญิงสาวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้บอกความจริงออกไป เธอเพียงขอบคุณอีกฝ่ายและกลับบ้านทันที
เธอไม่ได้เป็นคนเลือดเย็น แต่บางคนก็ยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้จนกว่าจะประสบกับความเจ็บปวด ดังนั้นไม่ว่าผู้อื่นจะโน้มน้าวอย่างไร มันก็ไร้ประโยชน์
นอกจากนี้ พวกเขาหันมาบอกกับเราว่า เป็นคนทำลายครอบครัวของพวกเขาด้วยซ้ำ
ดังนั้นปล่อยให้เจียงเพ่ยหลานคิดมันได้ด้วยตัวเองจะดีกว่า
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับถึงบ้าน เธอก็เผอิญเห็นหลี่กวงหัวและภรรยาของเขากำลังยืนคุยกับเสิ่นอี้โจวอยู่ที่ประตูพอดี
เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของสามีภรรยาคู่นี้แล้ว คิ้วและดวงตาของเสิ่นอี้โจวนั้นแลดูซีดเซียวอยู่บ้าง
ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาถูกเหน็บไว้ที่ขอบกางเกง และกางเกงขายาวสีเขียวทหารก็ยิ่งทำให้เขาดูสง่ายิ่งขึ้น ท่ามกลางแสงแดดยามเย็นแบบนี้
เสิ่นอี้โจวเป็นคนแรกที่เห็นว่าเซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามา
ริมฝีปากของเขาดูราวจะละลายไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มให้เธอช้า ๆ
“กลับมาแล้วเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนถือผ้าม่านแล้วเดินเข้าไปหา “กลับมาแล้ว”
เสิ่นอี้โจวรับผ้าม่านมาจากมือของเธอ ดวงตาของเขาอ่อนโยนมาก “คุณทำเองเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าตอบรับ “อืม ฉันเพิ่งไปที่บ้านของเจียงเพ่ยหลานและขอยืมจักรเย็บผ้าเพื่อทำเจ้าพวกนี้น่ะ”
หลี่กวงหัวมองผ้าม่านในมือของเสิ่นอี้โจวและพูดด้วยรอยยิ้ม “งานฝีมือของภรรยาหัวหน้าแผนกดูดีจังเลยนะครับ”
ด้วยเหตุผลบางประการ หญิงสาวจึงรู้สึกถึงแรงต้านที่ไม่อาจอธิบายได้จากวิธีการเข้าหาของหลี่กวงหัว มันคล้ายกับความขยะแขยงเวลาถูกแมลงตอม
หญิงสาวจึงยิ้มบางให้อีกฝ่ายและพยักหน้าเล็กน้อย
อาจเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวจึงก้าวมาบังร่างเธอจากสายตาของหลี่กวงหัว
เขาหันไปหาหญิงสาวแล้วพูดว่า “คืนนี้ไปทานอาหารเย็นกับเพื่อนร่วมงานในแผนกผมกันเถอะ”
“ให้ฉันไปด้วยเหรอคะ” เซี่ยชิงหยวนชี้ที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ
เซวียไฉ่เฟิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดเสริมว่า “ใช่ ๆ หัวหน้าแผนกเสิ่นทำงานสำเร็จอีกแล้ว เขาจึงจะไปฉลองกับเพื่อนร่วมงานน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนก็หันมองไปยังเสิ่นอี้โจวผู้ยังคงสงบนิ่ง
เธอยิ้มและถามว่า “จริงเหรอ? คุณนี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
คำชมที่จู่ ๆ ก็ออกมาจากปากของเธอทำให้เสิ่นอี้โจวผู้ปกติไม่ยินดียินร้ายกับทุกอย่าง อดไม่ได้ที่จะยืดอกให้ตรงมากยิ่งขึ้น
ภรรยาของเขายกย่องตัวเขาด้วย!
ในขณะเดียวกัน เสียงของโจวหยางดังขึ้นไม่ไกล “พี่เสิ่น ไปกันเถอะ!”
เซี่ยชิงหยวนหันไปมองตามทิศทางเสียง และพบกับโจวหยางที่ยืนอยู่บริเวณสี่แยก กำลังโบกมือให้พวกเขา
และหญิงสาวก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นที่เธอเห็นในห้องปฏิบัติการยืนอยู่ข้าง ๆ โจวหยาง