บทที่ 52 สู่วิถีแห่งชาเขียว*[1]
บทที่ 52 สู่วิถีแห่งชาเขียว*[1]
เป็นไปตามที่ฉินซูอวี้คาดคิด เสิ่นอี้โจวไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนที่นั่ง
หลังจากที่เห็นเซี่ยชิงหยวนนั่งลงข้างเซวียไฉ่เฟิ่ง จากนั้นเขาก็นั่งข้างกายผู้เป็นภรรยาและจัดจานให้อีกฝ่าย
ราวกับที่นั่งข้าง ๆ ของเขานั้นเป็นเพียงสิ่งที่ธรรมดาไม่มีความหมายใด
ด้วยท่าทีเฉยชาของเสิ่นอี้โจว ทำให้ความสุขที่ได้นั่งข้างชายหนุ่มในตอนแรกของฉินซูอวี้หายวับไปกับตา และปรากฏความว่างเปล่าและการสูญเสียที่ไม่อาจเติมเต็มขึ้นมาในใจของเธอ
แต่เธอยังคงกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ร่วมสนทนาและหัวร่อต่อกระซิกกับคนอื่น ๆ
เธอเป็นคนรอบรู้ พูดเก่ง และเป็นคนมีอารมณ์ขัน ซึ่งทำให้ผู้ชายทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยกเว้นเสิ่นอี้โจวหัวเราะออกมาเสียงดัง
เธอสามารถสอดรับกับทุกหัวข้อสนทนาที่พวกผู้ชายกำลังคุยกัน สิ่งนี้ทำให้เธอดูจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผูกมิตรไปโดยปริยาย
แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
เซวียไฉ่เฟิ่งไม่สามารถทนได้เป็นคนแรก
เธอเม้มริมฝีปาก จากนั้นมองไปยังฉินซูอวี้และพูดว่า “ซูอวี้ คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พวกผู้ชายพูดเลย แต่ดูเหมือนคุณจะถกประเด็นต่าง ๆ ได้หมดเลยนะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินซูอวี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังถากถางตัวเองอยู่
แต่คนอย่างเซวียไฉ่เฟิ่ง เธอไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปเกลือกกลั้วด้วยเลย
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งในแผนกก็พูดขึ้นแทนเธอ
“ถูกต้อง ครอบครัวของซูอวี้มาจากเมืองหลวงของมณฑล ดังนั้นเธอจึงได้เห็นอะไรมากมายตั้งแต่ยังเด็ก”
ชายวัยกลางคนอีกคนก็พูดเสริม “มีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ซูอวี้สามารถแบ่งปันความรู้กับเราได้ ซึ่งมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่เข้าใจ”
หลี่กวงหัวมองภรรยาของเขาด้วยความไม่พอใจ “อย่าพูดตามใจปากมากนัก และอย่าขัดจังหวะคนอื่นถ้าคุณไม่เข้าใจ”
สิ่งนี้ทำให้เซวียไฉ่เฟิ่งโกรธมาก
หลี่กวงหัวคนนี้เมื่ออยู่ที่บ้าน เขาจะไม่กล้าแม้แต่ไปทางตะวันออก หากถูกเธอสั่งให้ไปทางตะวันตก แต่คราวนี้เขากลับทำตัวเหมือนหมีต่อหน้าฉินซูอวี้!
แต่ถึงแม้เธอจะโกรธมาก ก็ทำได้แค่อดกลั้นไว้เท่านั้น
แต่เธอยังคงเข้าใจสัจธรรมที่ว่า ต้องรักษาหน้าตาผู้ชายของตัวเองเอาไว้เมื่ออยู่ข้างนอก
ส่วนการต่อสู้ด้วยวาจา เซี่ยชิงหยวนเพียงแค่ก้มหัวลงและสนใจแต่การกินเพียงอย่างเดียว
เสิ่นอี้โจวหยิบไก่ชิ้นหนึ่งให้ผู้เป็นภรรยา คิ้วของเขาเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนที่เขามีให้หญิงสาว “ผมจำได้ ตอนคุณอยู่บ้าน คุณชอบส่วนนี้มากที่สุด”
เซี่ยชิงหยวนมองดูปีกไก่ในชามด้วยความรู้สึกประทับใจ
เมื่อก่อนเป็นเพราะครอบครัวของเสิ่นสิง พวกเขาจึงไม่ได้เลี้ยงไก่เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นนับประสาอะไรกับการฆ่าไก่เพื่อนำมากินกัน?
เมื่อพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านซิงฮวาครั้งหนึ่ง พี่ชายรองของเธอ เซี่ยจิ่งเฉินกลับมาที่บ้านพอดี หวังผิงรู้สึกสงสารลูกชาย ดังนั้นเธอจึงได้เชือดไก่
ในเวลานั้นหวังผิงยังกล่าวกับเซี่ยชิงหยวนว่า “วันนี้แกควรขอบคุณพี่ชายรองของแก ไม่งั้นแกไม่ได้กินไก่ตัวนี้แน่นอน”
คำพูดของหวังผิงทำให้เธอน้อยใจเป็นอย่างมาก
แต่เสิ่นอี้โจวกลับปลอบโยนเธอด้วยรอยยิ้มว่า “คงเป็นเพราะพระเจ้ารู้ว่าไก่ของเราหายไป ดังนั้นจึงจัดหามาให้ เมื่อเรามาที่นี่”
ต่อมาที่โต๊ะอาหารเย็น เซี่ยโยว่หมิงคีบปีกไก่ชิ้นหนึ่งให้เซี่ยชิงหยวนและพูดว่า “อาหารที่ชอบของลูกสาวฉันในวัยเด็กก็คือปีกไก่นี่ล่ะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยังจำมันได้
เซวียไฉ่เฟิ่งนั่งข้าง ๆ ดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่และจงใจพูดติดตลกว่า “ฉันเคยบอกแล้วว่าหัวหน้าแผนกเสิ่นเป็นคนรักภรรยา ดูสิ เขาจำได้ด้วยว่าภรรยาชอบกินอะไร!”
หลังจากพูดจบ เธอเหลือบมองฉินซูอวี้อย่างภาคภูมิใจ
ตอนที่เผชิญหน้ากับเซี่ยชิงหยวนเป็นครั้งแรก เธอต้องการให้ฉินซูอวี้เข้ามาป่วนเพื่อทำให้เธอสามารถฉวยโอกาสกับเสิ่นอี้โจวได้
แต่เมื่อเทียบกับฉินซูอวี้ที่จงใจแสดงเสน่ห์ต่อหน้าตนเอง วันนี้เธอจึงตั้งใจจะถือหางเซี่ยชิงหยวนไปก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เธอต้องการปลุกปั่นให้ทั้งสองต่อสู้กันตามแผนเดิม แต่แค่เปลี่ยนวิธีการเท่านั้น
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็เพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดคุยกับอีกฝ่าย
เสิ่นอี้โจวทำตัวเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และยังคงคีบอาหารให้เซี่ยชิงหยวนอย่างระมัดระวัง และพูดคุยกับคนในแผนกเป็นครั้งคราวหรือดื่มสักแก้ว
เขาดูเหมือนกำลังทำตัวตามสบาย ๆ แต่จริง ๆ แล้วกำลังดูแลเซี่ยชิงหยวนตลอดเวลา
สมัยนี้คนไม่ค่อยออกมากินข้าวนอกบ้าน และเมื่อรสชาติอาหารร้านนี้ดีทุกคนจึงกินกันอย่างรวดเร็ว และติชมบ้างเป็นบางครั้ง
ฉินซูอวี้เป็นคนเดียวที่สูญเสียความอยากอาหารไปทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่เต็มโต๊ะ
ความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่สามารถชดเชยได้ ไม่ว่าเธอจะได้รับความชื่นชมหรือสายตาคลุมเครือมากเพียงใดจากผู้ชายคนอื่น
เธอมองชามข้าวของเซี่ยชิงหยวน ซึ่งเสิ่นอี้โจวคีบอาหารให้ถี่มากเสียจนมันพูนเหมือนเนินเขา จากนั้นเมื่อมองกลับมาที่ชามของตัวเอง เธอรู้สึกขมปร่าในใจ และหัวใจของเธอก็หนักอึ้ง
ไม่นานนัก ในขณะที่เสิ่นอี้โจวตักกุ้งแม่น้ำทอดหนึ่งตัวให้เซี่ยชิงหยวน แล้วใส่อีกตัวลงในชามของเขาเอง หลี่กวงหัวก็ยกแก้วเหล้าขึ้นเพื่อชนกับอีกฝ่าย
ฉินซูอวี้เห็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว หญิงสาวจึงยื่นตะเกียบไปที่กุ้งตัวเล็กในชามของเสิ่นอี้โจวแล้วพูดว่า “ฉันชอบกุ้งมากที่สุด ฉันขอลองดูหน่อยว่าพ่อครัวที่ร้านนี้ทำเก่งขนาดไหน”
เมื่อพูดจบ ฉินซูอวี้คีบกุ้งขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ใส่ปากแล้วชิมอย่างระมัดระวัง
การกระทำที่ไม่อายใครของหญิงสาวสามารถพูดได้ว่าทำให้ทุกคนตกตะลึงไปในทันที
เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่เธอ หญิงสาวก็ไม่สนใจและพูดด้วยรอยยิ้ม “รสชาติไม่เลว คุณควรลองมันด้วยนะ”
โจวหยางมองท่าทีของเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอี้โจวถือแก้วเหล้าโดยไม่แสดงอารมณ์ ส่วนเซี่ยชิงหยวนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร
ข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมาก่อนเหล่านั้นระเบิดในใจของโจวหยางทันที
หรือว่าฉินซูอวี้จะสนใจเสิ่นอี้โจวจริง ๆ?
เขาตกใจกับความคิดของตัวเอง
จากนั้นเขาก็ยิ้มและพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “อื้ม ๆ ซูอวี้คุ้นเคยกับพวกเรามาก และเธอก็มีนิสัยขี้เล่นนิดหน่อย ไม่ต้องคิดมากนะครับ พี่สะใภ้”
หลังจากได้สติจากอาการตกใจ เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ก็พากันช่วยพูดให้สิ่งต่าง ๆ ดูไม่รุนแรง “ใช่ ๆ ซูอวี้เป็นคนมีอารมณ์ขันแบบนี้แหละ”
ทว่าบางคนคิดในใจว่าคราวนี้เธอช่างกล้าและไม่เสแสร้งเอาซะเลย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “ทำไมฉันถึงจะต้องสนใจล่ะ ปกติพวกเขาทำงานด้วยกัน และเมื่อพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ มันก็ต้องมีอารมณ์สับสนกันบ้าง ถ้าคำนึงถึงเพศที่ต่างกันแล้ว”
จากนั้นเธอกล่าวเสริมพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่ล้อเล่นนะคะ อย่าคิดจริงจังกับสิ่งที่ฉันพูดเลย”
เมื่อคำพูดของเซี่ยชิงหยวนดังออกมา ภรรยาของเพื่อนร่วมงานบางคนที่อยู่รอบ ๆ ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
จากนั้นพวกเธอก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะหัวเราะในตอนนี้ ดังนั้นพวกเธอจึงรีบปิดปากตัวเอง
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด ไม่เพียงเป็นการตบหน้าฉินซูอวี้เท่านั้น แต่ยังบอกเป็นนัยว่าระหว่างพวกเขา อีกฝ่ายไม่มีทางข้ามเส้นคั่นนี้มาได้
แต่ไม่มีใครคิดว่าคำพูดของเซี่ยชิงหยวนนั้นมากเกินไป อย่างน้อย ๆ ผู้หญิงกับผู้ชายที่มีความคิดเป็นกลางก็ไม่คิดแบบนั้น
กุ้งจานใหญ่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าแท้ ๆ ทำไมถึงไม่คีบมากิน? จำเป็นต้องคีบกุ้งที่อยู่ในชามของคนอื่นมากินด้วยเหรอ?
นอกจากนี้เจ้าของโดยชอบธรรมของผู้ชายก็ยังนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะโกรธเธอ
เซี่ยชิงหยวนเพิกเฉยต่อการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมบนใบหน้าของฉินซูอวี้และก้มหน้าทานข้าวส่วนของตัวเองต่อ ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอเลย
ฉินซูอวี้ตบตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ฉันล้อเล่นนะ อย่าถือสาเลย”
ใครจะล้อเล่นแบบนี้กันบ้าง?
เสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถดุฉินซูอวี้ได้เพียงเพราะเธอคีบกุ้งออกไปจากชามของเขา
เขายกเหล้าดื่มกับทุกคน และไม่แตะตะเกียบหรือชามอีกเลย
เมื่อมีบริกรเสิร์ฟอาหารเดินเข้ามาใกล้ เสิ่นอี้โจวจึงสั่งเบา ๆ “ผมขอชามและตะเกียบที่สะอาดมาให้ผมอีกชุด”
ประโยคง่าย ๆ นี้ที่ไม่ใช่ทั้งการด่าว่าหรือโต้แย้งใด ๆ แต่มันกลับเหมือนกับเป็นการตบหน้าฉินซูอวี้ฉาดใหญ่
เขาไม่คิดที่จะแตะต้องสิ่งที่เธอแตะ!
มือที่อยู่ใต้โต๊ะของฉินซูอวี้กำเข้าหากันแน่น จนเล็บของเธอจิกฝ่ามือเป็นรอยห้อเลือด
เขาดูถูกเธอขนาดนี้ได้ยังไง!
[1] ชาเขียว เป็นคำสแลงจีน หมายถึง ผู้หญิงที่มีภาพลักษณ์ใสซื่อ แต่ความจริงแล้วร้ายลึก เจ้ามารยา