บทที่ 60 ซื้อผักจากอาเซียง
บทที่ 60 ซื้อผักจากอาเซียง
ในช่วงเวลาผิดพลาดนั้น เสิ่นอี้โจวใช้ร่างกายของเขาเพื่อปกป้องเซี่ยชิงหยวน จนแผ่นหลังของเขากระแทกกับพื้นอย่างแรง
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอรู้สึกละอายใจและคล้ายกับกำลังสูญเสียบ้านทั้งหลังไป
หลังจากนึกขึ้นได้ เธอก็รีบลุกขึ้นจากร่างของเสิ่นอี้โจว แต่ด้วยความตื่นตระหนกของเธอจึงเผลอเอามือกดลงที่หน้าท้องส่วนล่างของเขา
เสิ่นอี้โจวร้องครางออกมาในทันที
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าอีกฝ่ายต้องได้รับบาดเจ็บที่ไหนสักแห่งและอยากจะถอดเข็มขัดของเขาออกเพื่อตรวจดู “คุณเจ็บตรงไหน ขอฉันดูหน่อย”
เสิ่นอี้โจวทำได้เพียงจับมือของเธอไว้และเหงื่อก็เริ่มไหลซึมออกมาจากหน้าผากของเขา
เขากัดฟันกรอด “คุณลุกขึ้นก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาก็ใช้มือจับเอวและสะโพกของเซี่ยชิงหยวนแล้วดันเธอขึ้น
เซี่ยชิงหยวนปีนขึ้นไปบนเตียงและหันกลับไปช่วยชายหนุ่มทันที
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “ผมขอพักสักครู่”
เขาไม่กล้าให้เธอสัมผัสเขาอีก ชายหนุ่มหวังเพียงว่าเซี่ยชิงหยวนจะจากไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้รู้ว่าเขากำลังรู้สึกไม่ปกติ
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกงงงวย
ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลยเหรอ แล้วทำไมต้องพักล่ะ?
หรือเขากำลังรู้สึกว่าความภาคภูมิใจของลูกผู้ชายกำลังถูกทำลาย?
เธอจึงไม่รบกวนเขาอีกต่อไปและพูดว่า “ฉันจะไปทำอาหารกลางวัน”
หญิงสาวรีบออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
หลังจากยืนยันว่าเซี่ยชิงหยวนจากไปแล้ว เสิ่นอี้โจวก็ผ่อนคลายทันที
เขานอนหงายหอบหายใจอย่างแรง
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาเกรงว่าตัวเองคงจะทนไม่ได้เข้าสักวัน
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกำลังวุ่นอยู่ในครัว เธอเห็นเสิ่นอี้โจวเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เธอจึงกำลังจะออกไปหาเขา
ทว่าหลังจากเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดและเดินมาที่ห้องครัว
ชายหนุ่มยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ “มื้อเที่ยงนี้ไม่ต้องรอผมกินข้าว ผมจะไปเอาแผ่นกระดานเตียงมาใส่ให้เรียบร้อย”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไป
เซี่ยชิงหยวน “…”
นี่เขาหงุดหงิดกับแผ่นกระดานเตียงที่หายไปเหรอ?
เขาต้องการไปหาแผ่นกระดานมาใส่เตียง เพื่อจะได้กลิ้งสะดวกหรือยังไง?
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าตัวเองกำลังมีความคิดสกปรก
แต่หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เธอก็ไม่ได้รอให้เสิ่นอี้โจวกลับมา
แต่โจวหยางเข้ามาที่บ้านพร้อมกับแผ่นกระดานเตียงบนไหล่ของเขา
“พี่สะใภ้ มีเรื่องงานด่วนในสำนักงานที่พี่เสิ่นต้องจัดการ เขาฝากบอกมาว่าอาจจะไม่ได้กลับมาในคืนนี้ ดังนั้นพี่สะใภ้ก็ไม่ต้องรอเขา ส่วนกระดานแผ่นนี้พี่เสิ่นซื้อมาและขอให้ผมช่วยขนมาให้”
เซี่ยชิงหยวนรีบเชิญโจวหยางเข้ามาในบ้าน
หลังจากที่โจวหยางช่วยซ่อมเตียง เขาก็รีบออกไป
“ผมไม่รู้ว่าเขาจะยุ่งอีกนานแค่ไหน ผมไปก่อนก็แล้วกัน”
เซี่ยชิงหยวนสงสัยว่า เสิ่นอี้โจวกำลังหลบหน้าเธอหรือเปล่า
แต่เมื่อเห็นท่าทางของโจวหยาง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โกหก
เธอต้องไปซื้อของในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ทำอะไรในบ้านอีกต่อไป เธออุ่นอาหารทิ้งไว้ให้เสิ่นอี้โจวในตอนเที่ยง อาบน้ำแต่หัววันและพักผ่อนก่อนเวลา
ก่อนเข้านอน เธอวางเก้าอี้พิงหลังประตูและเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าเธอก็ยังพบว่าเก้าอี้ยังอยู่ในสภาพเดิม
ดูเหมือนคืนที่ผ่านมา เสิ่นอี้โจวจะไม่ได้กลับมาบ้าน
เซี่ยชิงหยวนกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสุขภาพของเขา
ในระหว่างการสนทนาก่อนหน้านี้ เธอได้ยินเซวียไฉ่เฟิ่งพูดว่าเสิ่นอี้โจวทำงานหนักมากกว่าใครทั้งหมดในสถาบันวิจัย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสิ่นอี้โจวอาจอาศัยจุดแข็งนี้เพื่อได้ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันและใช้เงินอย่างประหยัด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เสียใจแทนเขา
หลังจากนั้นเธอจะไปซื้อผักสักหน่อย เพราะหญิงสาวต้องการให้ผู้เป็นสามีได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
เธอยังต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินให้มากพอที่จะช่วยดูแลหลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินให้ได้โดยเร็วที่สุด
เซี่ยชิงหยวนถีบสามล้อของเธอไปซื้อผักที่ตลาด
ตามแผนของเซี่ยชิงหยวน เธอจะขายสลัดเย็นในตอนบ่ายของทุกวัน
เธอพิจารณาปัจจัยสองอย่าง
ประการแรก ผู้คนส่วนใหญ่จะซื้ออาหารในตอนเช้าและตอนบ่าย และคนทำงานส่วนใหญ่จะเลือกกลับบ้านหลังจากเลิกงานในตอนบ่าย ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของเซี่ยชิงหยวนก็คือกลุ่มคนวัยทำงานเป็นหลัก
ประการที่สองในช่วงบ่ายความหิวจะรุนแรงขึ้น นอกจากนี้อากาศก็ร้อนและหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ผู้คนก็จะอยากกินอะไรเย็น ๆ ที่น่ารับประทาน
ดังนั้นการซื้อผักสดในช่วงเช้าและกลับบ้านไปทำสลัดเพื่อนำมาขายในช่วงบ่ายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
เซี่ยชิงหยวนเองก็คำนวณเวลาแล้วเช่นกัน เธอใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการลงจากภูเขาด้วยรถสามล้อ ส่วนช่วงขากลับเธอน่าจะใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที
เธอเดินไปรอบ ๆ ตลาดขายผักและเด็กสาวในชุดชนเผ่าไตก็ดึงดูดความสนใจของเธอ
เด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ส่วนสูงปานกลาง ผิวแบบเดียวกับชาวบ้าน ดูไม่สะดุดตาแต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
โดยเฉพาะเมื่อยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก ก็จะเห็นได้ว่าเด็กสาวมีอารมณ์ที่สดใสแค่ไหน
ชาวไตชอบใช้ใบตองหรือพืชใบใหญ่ ๆ มาห่อผักผลไม้และเด็กสาวคนนี้ก็ทำเช่นเดียวกัน
เพียงแต่แผงขายของเด็กสาวคนนี้จัดได้เรียบร้อยกว่าของคนอื่น และมีความหลากหลายมากกว่า ถ้าดูใกล้ ๆ ผักจะดูสดกว่าของคนอื่นด้วย
เด็กสาวเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนมองตาค้างกับแผงขายผักของเธออยู่สักพักหนึ่งแล้ว เธอจึงยิ้มและพูดเป็นภาษาจีนที่ค่อนข้างแข็ง ๆ ว่า “พี่สาว พี่ต้องการซื้อผักอะไรไหมจ๊ะ”
ขณะที่พูด เด็กสาวก็หยิบผักหัวหนึ่งขึ้นมาให้ดูและพูดว่า
“ผักของครอบครัวฉันอร่อยมาก พ่อกับแม่ของฉันปลูกมันบนภูเขาทั้งหมดเลย!”
เมื่อพบกับเด็กสาวที่กระตือรือร้นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยกยิ้ม “ขอฉันดูก่อนนะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้เด็กสาวก็ไม่รีบร้อน เธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุภาพและปล่อยให้เซี่ยชิงหยวนเลือก
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่แผงผักของอีกฝ่าย มีแตงกวา ถั่ว ผักกาดหอม ดอกเก๊กฮวย ใบบัว พริกเจียไต๋สีแดงและสีเขียวหลายกำมือ รวมทั้งผักชีพม่าสีเขียวมรกต
ผักชีพม่าแก่แต่ละต้นมีความยาวประมาณสิบเซนติเมตร ตรงปลายแหลมคล้ายดาบ มีหนามหยักด้านข้าง และมีกลิ่นฉุน
มันมีรสชาติคล้ายกับผักชีซึ่งใช้เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงชี้ไปที่ผักที่อยู่ตรงหน้าเธอและพูดว่า “ฉันต้องการผักชนิดนี้ประมาณเจ็ดหรือแปดจิน*[1] เธอขายมันยังไงเหรอ”
การเปิดขายในวันแรก เธอต้องการซื้อผักหลายมัดหน่อยเพื่อเอาไปลองทำให้ลูกค้าชิมดู
เด็กสาวหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
จากนั้นเด็กสาวถามเซี่ยชิงหยวนว่า “บ้านของพี่สาวเปิดร้านอาหารเหรอคะ? การกินผักปริมาณมากเท่านี้ให้หมดทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันทำธุรกิจน่ะ วันนี้จะเปิดขายเป็นวันแรก ถ้ายอดขายของวันนี้ดี ฉันจะกลับมาซื้อให้มากขึ้นกว่านี้อีก”
เด็กสาวตระหนักได้ทันทีว่า เซี่ยชิงหยวนจะเป็นลูกค้าระยะยาวที่สามมารถต่อยอดได้ในอนาคต
เธอจึงพูดว่า “เดิมทีแตงกวาพวกนี้มีราคาหกเฟิน*[2] ต่อหนึ่งจิน ถั่วราคาแปดเฟิน และผักกาดแก้วราคาเจ็ดเฟิน ถ้าพี่สาวซื้อผักแต่ละชนิดเป็นจำนวนแปดจิน ฉันจะลดให้อย่างละหนึ่งเฟิน พี่ว่ายังไง”
ขณะที่พูด เด็กสาวก็หยิบแตงกวาดิบมาล้างด้วยน้ำในกระบวยใบเล็ก ที่อยู่ทางด้านข้าง แล้วหักครึ่งเป็นสองชิ้นก่อนจะส่งให้เซี่ยชิงหยวน
เธอกัดแตงกวาอีกครึ่งแล้วพูดว่า “พี่สาวลองดูสิ แตงกวาของฉันอร่อยมากเลยนะคะ”
หญิงสาวรับอีกครึ่งของแตงกวามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ใส่เข้าไปในปากแล้วกัด กลิ่นหอมสดชื่นของแตงกวาระเบิดในปากของเธอทันที และตามมาด้วยรสหวานจาง ๆ ที่ทั้งนุ่มและกรอบ
บอกเลยว่าแตงกวาของสาวน้อยคนนี้อร่อยมากจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าราคาที่เด็กสาวตัวน้อยเสนอนั้นย่อมเยากว่าร้านค้าอื่น ๆ และเมื่อมีส่วนลดก็จะยิ่งถูกกว่า
หญิงสาวพูดขึ้นว่า “ก็ได้ งั้นชั่งน้ำหนักให้ฉันตามราคาที่เธอบอกเลย”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่พริกและผักชีใบเล็กที่อยู่ข้าง ๆ กัน “ขอผักสองอันนั้นด้วย แต่เอาแค่อย่างละสองจินพอ”
น้ำสลัดเย็นมีส่วนผสมของพริกไทยและผงพริกป่นอยู่แล้ว การเติมพริกสดลงไปจะเพิ่มระดับความเผ็ด และผักชีก็มีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เธอจึงไม่ต้องการมันมากนัก
ทันทีที่เด็กสาวได้ยิน เธอพยักหน้าให้เซี่ยชิงหยวนทันที “สองอย่างนี้ฉันจะแถมให้พี่สาวไปเลยไม่คิดเงิน”
จากนั้นเด็กสาวก็ชั่งน้ำหนักของผักที่เซี่ยชิงหยวนสั่งไว้ ก่อนจะเอาผักทั้งหลายไปช่วยวางไว้บนรถสามล้อให้แล้วพูดว่า “พี่สาว ถ้าพี่ต้องการผักอีก พี่กลับมาหาฉันได้ที่นี่ทุกเมื่อนะคำ ฉันตั้งแผงขายผักประจำอยู่ตรงนี้ตลอด”
เซี่ยชิงหยวนขอบคุณเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายขายของเก่งตั้งแต่อายุยังน้อยจริง ๆ
จากนั้นเด็กสาวก็โบกมือให้เซี่ยชิงหยวน “พี่สาว ฉันชื่ออาเซียงนะ!”
เสียงนั้นทั้งดังกังวานและร่าเริงสดใส ซึ่งทำให้แม้แต่เซี่ยชิงหยวนก็ยังรู้สึกติดอกติดใจอีกฝ่าย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ตกลง แล้วเจอกันครั้งหน้า”
อาเซียงกระโดดอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับเธอ
เจอกันครั้งหน้าแปลว่าคราวหน้าอีกฝ่ายจะมาซื้อผักของเธอใหม่!
เยี่ยมมาก พ่อแม่จะต้องชมเธออย่างแน่นอนเมื่อกลับบ้านไป!
[1] 1 จินประมาณครึ่งกิโลกรัม
[2] 1 หยวนเท่ากับ 10 เจี่ยว/เหมา 1 เจี่ยว/เหมาเท่ากับ 10 เฟิน