บทที่ 70 วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
บทที่ 70 วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ราวกับภูเขาและแม่น้ำกำลังคำรามออกมาดังลั่น การสั่นสะเทือนในตอนแรกดูจะขยับตามแนวรอยเลื่อย แต่ต่อมามันกลับเป็นการสั่นสะเทือนไปตามแนวราบ
เท่าที่เธอเห็น บ้านทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายจะโดนดึงไปทางซ้ายทีขวาทีจนกลายเป็นรูปลักษณ์สี่เหลี่ยมด้านขนาน
แม้แต่ภูเขากับแม่น้ำในระยะไกลก็ดูจะถูกแยกออกจากกัน
สิ่งที่น่าอึดอัดที่สุดก็คืออวัยวะภายในของเธอราวกับพวกมันกำลังถูกนวดคลึงและทุบตี
เซี่ยชิงหยวนหมอบลงอย่างไม่ค่อยสบายตัวนัก
เสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ของผู้คนแว่วอยู่หูในของเธอตลอดเวลา
“แม่จ๋า! แม่!”
“ฮือ! ฮือ! หนูอยากกลับบ้าน!”
“อึดอัดจัง อึดอัดจังเลย!”
…
คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาต่างก็กอดกันด้วยความหวาดกลัว
มีเพียงเซี่ยชิงหยวนเท่านั้นที่อยู่คนเดียว
เธอกอดอกและฝังศีรษะไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง ราวกับสิ่งนี้จะช่วยทำให้เธอกลัวน้อยลง
ทว่าในขณะที่เธอกำลังเป็นทุกข์ จู่ ๆ ก็มีมือหยาบคู่หนึ่งโอบกอดเธอไว้ เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมอง เป็นหญิงชราที่พูดเถียงกับชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้
หญิงชรามองมาที่เธออย่างใจดี แม้สีหน้าของหญิงชราจะใช่ว่าดีนัก แต่เธอก็ยังคงส่งยิ้มอย่างใจดีมาให้เซี่ยชิงหยวน
หญิงสาวเห็นปากของอีกฝ่ายขยับ หญิงสาวก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร
หญิงชรากำลังพูดว่า อย่ากลัวเลยเด็กน้อย
รอยยิ้มของหญิงชราดูเหมือนจะมีพลังวิเศษที่ทำให้เธอได้รับความกล้าหาญกลับคืนมา
เซี่ยชิงหยวนกับหญิงชราพึ่งพิงกันและกัน ภัยธรรมชาติในครั้งนี้ทำให้หัวใจของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ความตื่นตระหนกในใจก็ค่อย ๆ จางหายไป
ทุกคนต่างมองกันและกัน คุณมองฉัน ฉันมองคุณ มีความชื่นชมยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่และมีหลายคนที่ร้องไห้ออกมา
มือของเซี่ยชิงหยวนกับมือของหญิงชรายังคงจับกันแน่น และไม่แยกออกจากกัน
เจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยทางธรณีวิทยาตะโกนผ่านโทรโข่งว่า “สหาย พวกเรากังวลว่าจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกอีกหลังจากนี้ ทางเราจึงขอให้ทุกคนรออยู่ตรงนี้ต่อไปจนกว่าสัญญาณเตือนภัยจะดับลง”
ในเวลานี้ ไม่มีใครพร่ำบ่น ทุกคนล้วนเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าหน้าที่
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังบ้านของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ถูกสร้างเรียงเป็นแนวยาวในระยะไกล บางมุมของบ้านพังลง และบางหลังกำแพงเอนเอียงไปหมด แต่โชคดีที่ความเสียหายไม่ร้ายแรงมากนัก
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเสิ่นอี้โจว
ที่นี่เกิดแผ่นดินไหวแรงขนาดนี้แล้วที่นั่นจะเป็นยังไงบ้าง?
หากตรงจุดที่เสิ่นอี้โจวอยู่เกิดแผ่นดินไหวด้วย ผลที่ตามมาคือหายนะ
หญิงชราจับมือเซี่ยชิงหยวนแน่นและพูดด้วยรอยยิ้ม “หนูไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขานะจ๊ะ พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก”
เซี่ยชิงหยวนประหลาดใจ ” คุณ…”
หญิงชรายิ้ม “ลูกชายของป้าชื่อไจ๋ปิน จากนี้เรียกป้าว่าป้าเฉินก็ได้”
ปรากฏว่าหญิงชราคนนี้เป็นแม่ของเจ้าหน้าที่ไจ๋!
เธอปลอบเซี่ยชิงหยวนและพูดว่า “ลูกชายป้าถูกส่งไปสนับสนุนที่นั่นด้วยเหมือนกัน เขาบอกป้าว่าไม่เป็นไร และเขาจะกลับมาในอีกไม่ช้า ดังนั้นหนูไม่ต้องกังวลไปนะ”
เธอหยุดพูดชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ “ลูกชายของป้าใช้เวลาทั้งวันในการสำรวจภูมิประเทศและสังเกตการณ์ภัยอันตราย เขาจึงไม่สามารถดูแลครอบครัวให้ดีได้ เพราะเรื่องนี้เอง ลูกชายกับลูกสะใภ้ของป้าจึงทะเลาะกันทุกสามวัน ต่อมาลูกสะใภ้ตั้งครรภ์ ลูกชายจึงพาป้ามาที่นี่เพื่อให้คอยดูแลเธอ แต่หลังจากสงบมาสักพักพวกเขาก็ทะเลาะกันหนักขึ้น และลูกสะใภ้ก็ได้จากไป แต่ลูกชายของฉันก็ยังให้สัญญาตอนก่อนจะออกไปทำงานว่าจะพาลูกสะใภ้กลับมา เพื่อที่ในอนาคตครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของหญิงชรา เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชาติที่แล้วของเธอ
อันที่จริง สาเหตุที่เธอหย่ากับเสิ่นอี้โจว ก็ไม่ใช่เพราะเขาทุ่มเทให้กับงานจนไม่มีเวลาให้เธอ พวกเราถึงได้ทะเลาะกันบ่อยไม่ใช่เหรอ?
จนกระทั่งในชาตินี้หรือจนถึงตอนนี้ เธอก็เข้าใจแล้วว่างานนี้เป็นความหลงใหลและภารกิจของเสิ่นอี้โจว
เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน เจ้าหน้าที่เหล่านี้จำเป็นต้องละทิ้งครอบครัวของพวกเขาไว้เบื้องหลัง พวกเขามีจิตใจที่ยิ่งใหญ่มาก
เซี่ยชิงหยวนคิดกับตัวเองว่า เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมาคราวนี้ เธอจะบอกเขาว่า เธอไม่ต้องการให้เขาลาออกจากงานที่รักเพื่อเธอ
เธอจะดูแลงานทุกอย่างในบ้านเพื่อที่เขาจะได้มีส่วนร่วมในมาตุภูมิและคอยปกป้องผู้คนโดยไม่ต้องกังวล!
และเธอก็จะบอกเขาด้วยว่าเธอเป็นคนที่เคยมีชีวิตอยู่มาแล้วครั้งหนึ่ง
และจุดมุ่งหมายเดียวของเธอในชาตินี้คือการทำดีต่อเขา
…
ผู้คนเอนกายเข้าหากัน พอรุ่งสางก็ได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศว่ากลับบ้านได้แล้ว
เซี่ยชิงหยวนกล่าวคำอำลากับป้าเฉิน
เมื่อกำลังจะจากกัน เซี่ยชิงหยวนยื่นขวดน้ำในมือให้อีกฝ่าย “ตอนนี้ต้องไม่มีน้ำดื่มในก๊อกแน่ ๆ ป้าเฉินเอามันกลับไปดื่มที่บ้านนะคะ”
ป้าเฉินพลันตระหนักได้ว่าเซี่ยชิงหยวนเตรียมพร้อมมาดีมาก เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย หนูนี่ฉลาดจริง ๆ”
หญิงชราโบกมือ “แต่ที่บ้านป้าก็มีน้ำเหมือนกัน หนูเก็บไว้ดื่มเองเถอะจ๊ะ เราไม่รู้หรอกว่าน้ำจะมาอีกเมื่อไหร่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ยืนกรานอีกต่อไปและโบกมือลากลับบ้าน
สภาพบ้านในเขตสถาบันวิจัยไม่ได้แย่ขนาดนั้น เว้นแต่บ้านเก่าที่พังทลายลงมาบางส่วน ส่วนบ้านที่สร้างใหม่ล้วนยังอยู่ในสภาพดี
เซี่ยชิงหยวนโชคดีที่แผ่นดินไหวไม่ได้สั่นแรงเกินไป
เมื่อไปถึงประตู เธอก็พบว่าเซวียไฉ่เฟิ่งกับสามีเพิ่งมาถึงเช่นกัน
พวกเขาสองคนยังคงห่อตัวอยู่ในผ้านวม
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่กล้าเงยหน้าและวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
มันคงเป็นเรื่องน่าอายมากหากคนในสถาบันวิจัยทั้งหมดรู้เรื่องนี้
หญิงสาวส่ายหัวและกลับเข้าไปในบ้านของตน
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนลงบนเตียงแต่ก็นอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงวนเวียนอยู่จนกระทั่งสองวันต่อมา และเปลือกตาขวาของเธอก็กระตุกเช่นกัน
ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าตาซ้ายกระตุกหมายความว่ามีโชคลาภ แต่ถ้าตาขวากระตุกมันหมายถึงจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เธอคิดถึงเสิ่นอี้โจวโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเขาไม่น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
เธอไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้อีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงวางแผนจะไปที่อาคารสำนักงานเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวม
เธอบังเอิญได้พบกับป้าเฉินโดยไม่คาดคิดที่ล็อบบี้ของอาคารสำนักงาน
ป้าเฉินจับมือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งและพูดว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณต้องกำลังยุ่งมาก ดังนั้นหญิงชราคนนี้จะไม่ทำให้คุณลำบาก ฉันแค่ขอไปกับทีมกู้ภัยเพื่อเฝ้าดูก็เท่านั้น นี่มันผ่านมาสองสามวันแล้วและยังไม่มีข่าวคราวเลย มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเธอได้ยินคำพูดของหญิงชรา
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนสาวเท้าเดินเข้าไปเช่นกันและพูดว่า “หัวหน้า ฉันเป็นสมาชิกในครอบครัวของเสิ่นอี้โจว ฉันไม่ได้ยินข่าวของเขามาหลายวันแล้ว และฉันเป็นห่วงเขามากจริง ๆ คุณบอกฉันได้ไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะหาทางไปหาเขาเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้วแน่นจนหว่างคิ้วของเขาอาจจะบี้แมลงวันให้ตกตายได้
ทั้งเสิ่นอี้โจวและไจ๋ปินเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถของพวกเขา และตอนนี้ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับทีมที่พวกเขานำออกไปสำรวจเลย เขาเองก็กระวนกระวายราวกับมดบนหม้อไฟเช่นกัน
สถานการณ์ยิ่งรับมือยากกว่าเดิมเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวมาอยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน เขาก็คัดค้านทันที “ไม่ ไม่ ที่นั่นอันตรายมาก คุณจะไปได้ยังไง”
เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของเซี่ยชิงหยวนกับป้าเฉิน เขาก็ครุ่นคิด “เอาเป็นว่าให้ภรรยาของเสี่ยวเสิ่นไปด้วยกับทีมกู้ภัยก็แล้วกัน ป้าเฉิน คุณแก่มากแล้ว คุณรอฟังข่าวดีของพวกเขาอยู่ที่นี่ดีกว่า ตกลงไหม”
เซี่ยชิงหยวนย่อมเห็นด้วยกับคำพูดนี้ เธอมองไปที่ป้าเฉินอีกครั้งเพื่อขอความเห็นจากอีกฝ่าย
ป้าเฉินรู้ตัวดีเช่นกันว่า การที่คนชราอย่างเธอจะประสบภัย มันคงจะลำบากเกินไป
เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและพูดกับเซี่ยชิงหยวน “เสี่ยวเซี่ย ถ้าอย่างนั้นป้าขอรบกวนหนูหน่อย ถ้าหนูเจอลูกชายของฉัน โปรดฝากบอกเขาทีว่าแม่และภรรยาของเขา รวมไปถึงลูกที่ยังไม่เกิดของเขากำลังรอเขากลับมาอยู่”
เซี่ยชิงหยวนมองผมสีขาวของป้าเฉิน นี่คือความรักที่มีต่อลูกชาย ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกตื้นตันมาก
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ป้าเฉิน ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะนำคำพูดของป้าไปส่งให้ถึงสหายไจ๋อย่างแน่นอน แล้วสหายไจ๋จะกลับมาหาคุณโดยเร็วที่สุด”
หลังจากพูดจบ เซี่ยชิงหยวนก็ออกเดินทางพร้อมกับทีมกู้ภัยและบุคลากรของสถาบัน
เนื่องจากแผ่นดินไหว ฝนตกหนัก และดินถล่ม ถนนบางสายจึงไม่สามารถผ่านไปได้
พวกเขาต้องสัญจรไปทางน้ำบ้างและไต่ไปตามเส้นทางเล็ก ๆ บนภูเขาบ้าง หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงสถานที่ที่เสิ่นอี้โจวและคนอื่น ๆ ตั้งค่ายอยู่
เซี่ยชิงหยวนจึงรีบเข้าไปถาม
แต่คนในค่ายทั้งหมดบอกว่าพวกเขาไม่เห็นทีมของเสิ่นอี้โจวกับไจ๋ปินตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน และตอนนี้พวกเขากำลังรวมทีมกันอยู่เพื่อออกไปค้นหาผู้สูญหาย
เมื่อได้ยินแบบนั้น หญิงสาวเกือบหยุดหายใจ
ภาพการตายของเสิ่นอี้โจวในชาติที่แล้วปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของเธออีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนแค่นเสียงขึ้นมาทันที “ฉันจะออกไปค้นหากับพวกคุณ!”
เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเธอได้เกิดใหม่แล้ว ดังนั้นเธอจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำรอย
แน่นอนว่าทีมกู้ภัยปฏิเสธทันที
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันเป็นคนมาจากชนบท ฉันเคยทำงานในไร่นามาตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกคุณแน่นอนค่ะ”
เมื่อได้ยินการยืนกรานของเธอ ทีมกู้ภัยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนเล่าเรื่องของป้าเฉินให้คนอื่น ๆ ฟังแล้ว เธอจึงออกเดินทางไปพร้อมกับทีมกู้ภัยเพื่อตามหาเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวกำลังขดตัวอยู่ในถ้ำที่ชื้นแฉะ
ข้างกายเขาคือ โจวหยางที่หมดสติและฉินซูอวี้ที่กำลังร้องไห้
ฉินซูอวี้ลดศีรษะลง “อี้โจว ฉันขอโทษ นายด่าฉันได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นของฉัน เราคงไม่หลงทางกับคณะทำงานหลักและโจวหยางก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้”
เสิ่นอี้โจวไม่ตอบคำพูดของหญิงสาว
ไหล่และศีรษะของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน กระทั่งการมองเห็นของเขาในตอนนี้ก็เริ่มพร่ามัว
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างแรง พยายามกระตุ้นตัวเองให้ตื่น
แต่มันกลับไม่มีประโยชน์เลย
เขามองดูฝนที่ตกไม่หยุดตรงทางเข้าถ้ำ และความคิดของเขาก็เริ่มฟุ้งซ่าน
ราวกับเขาได้กลับไปในชาติที่แล้ว หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนตาย พี่ชายเซี่ยจิ่งเยว่ก็นำอัฐิของเธอกลับมา
การตายของเซี่ยชิงหยวนทำให้เซี่ยโยว่หมิงเปลี่ยนเป็นคนที่ซึมเศร้าตลอดทั้งวันทั้งคืน
เขามอบกำไลหยกที่เซี่ยชิงหยวนใส่ไว้ก่อนตาย “นี่คือสิ่งที่ชิงหยวนสวมไว้ก่อนจะจากไป ฉันคิดเกี่ยวกับมันแล้วและคิดว่าควรมอบมันให้กับนายจะดีกว่า”
หลังจากที่เซี่ยโยว่หมิงพูดจบ เขาก็ปิดหน้าและร้องไห้อย่างขมขื่น
มันเป็นห่อผ้าสีขาวที่มีกำไลสีเขียวอยู่ข้างใน
กำไลแตกออกเป็นหลายชิ้น และยังมีคราบเลือดสีแดงเข้มเกรอะกรังติดอยู่
เสิ่นอี้โจวยื่นมือเข้าหากำไลหยกนั้นด้วยมือที่สั่นเทา
เขาต้องการจะสัมผัสมัน แต่ก็ชักมือกลับชั่วอึดใจก่อนที่จะแตะกำไล
ว่ากันว่าเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
กำไลแตกหักแบบนี้เธอจะจากไปอย่างเจ็บปวดแค่ไหนกัน?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของเสิ่นอี้โจวก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง
มันเหมือนกับว่ามีคนกำลังแทงมีดเข้าใส่หัวใจของเขาแล้วบิดคว้านลึก
ในที่สุดด้วยเสียง ‘พึมพำ’ เลือดก็พุ่งออกจากปากของเขาและกระเด็นไปโดนกำไล
ในตอนนั้นเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม
เขาไม่เข้าใจว่าทำไม?
หลังจากที่เธอจากไป เขาก็ไปทิเบตคนเดียวทุกปี
เขาโขกหัวเมื่อคลานถึงก้าวที่สาม กราบเมื่อคลานถึงก้าวที่ห้า เขาทำจนกระทั่งผิวหนังกำพร้าบริเวณหัวเข่าถลอกปอกเปิกมีเลือดซึม แม้แต่ตรงหน้าผากก็มีเลือดไหลอาบ…
เขาทำมันเพียงเพื่อจะไปให้ถึงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเพื่ออธิษฐานต่อพระพุทธเจ้า ใช้อายุขัยและและสุขภาพของตัวเอง เพื่อแลกกับการขอให้หญิงสาวปลอดภัยและมีความสุขตลอดชั่วชีวิตของเธอ
เขาคิดว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอได้
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ตลอดทศวรรษ
เขาคิดว่าพระพุทธเจ้าได้รับคำร้องขอของเขาแล้ว
แต่เธอกลับมาตายแบบนี้ได้อย่างไร?
เขาเกลียดตัวเองมาก มันเป็นเขาที่ควรตายก่อน!
ถ้าไม่มีเธอ โลกของเขาก็คงมีแต่ความมืดมิด