บทที่ 99 เก็บกวาด
บทที่ 99 เก็บกวาด
เซี่ยชิงหยวนก็กล่าวต่อว่า “ถ้าเธอยังพอมีสมองอยู่บ้าง ก็ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัวซะบ้าง และทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนซะ ไม่อย่างนั้นอย่ากล่าวโทษที่ฉันโหดร้าย
นอกจากนี้ เธอจะต้องขอโทษเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดในภายหลังสําหรับเหตุการณ์ในคืนนี้ แล้วก็จ่ายเงินเดือนครึ่งหนึ่งของเธอให้กับคนอื่นสําหรับค่ารักษาพยาบาลซะ”
จางอวี้เอ๋อมึนงงกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และใบหน้าเรียวเล็กของเธอก็ซีดเซียว
หลังจากเซี่ยชิงหยวนพูดจบ เธอก็จําได้ว่าต้องโต้แย้ง
ดวงตาของเธอเอ่อคลอด้วยน้ำตา และแววตาของเธอก็สั่นไหว
จากนั้นจึงจ้องมองไปทางเสิ่นอี้โจว “พี่เขย คุณจะปล่อยให้พี่ชิงหยวนปฏิบัติต่อฉันแบบนี้เหรอคะ?”
ราวกับเขาเพิ่งเห็นเธอ เสิ่นอี้โจวเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วจึงพูดว่า “ผมไม่คิดว่าชิงหยวนทำอะไรผิดนะ”
เขายืนขึ้น สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง และเอ่ยถามอย่างใจเย็น “แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่เป็นธรรม คุณสามารถเขียนรายงานฟ้องร้องได้ แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของคุณรุนแรงพอที่จะสนับสนุนคำให้การของคุณ และจะต้องมีพยานที่จะชี้ว่าคุณเป็นฝ่ายถูกอย่างแท้จริง”
หลังจากนั้นเขาก็จับมือของเซี่ยชิงหยวน เปิดประตูและเดินจากไป
เซี่ยชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนเดินออกจากห้อง “เก็บกวาดที่นี่ซะ”
จางอวี้เอ๋อยืนอยู่ในห้อง ตัวสั่นด้วยความโกรธ
ทว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าความโกรธนั้นคือ ความกลัวที่เกาะกุมในใจของเธอ
เซี่ยชิงหยวนพูดว่ารู้เรื่องสมัยตอนที่เธอเรียนอยู่!
เธอพยายามทวนความจำของตัวเองอย่างหนักว่า เธอทำผิดพลาดตรงไหนจนเซี่ยชิงหยวนรู้เรื่องนั้นได้
แล้วเสิ่นอี้โจวล่ะ?
เขาจะรู้ด้วยหรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จางอวี้เอ๋อก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
เซี่ยชิงหยวน ฉันประเมินเธอต่ำเกินไป!
ไม่นาน ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
ผู้อำนวยการเดินเข้ามาพร้อมกับฟางฉินและคนอื่น ๆ
ผู้อำนวยการมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าซึ่งดูจะไม่เต็มใจนัก
เขากระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เลขาธิการเสิ่นกับภรรยาของเขาเพิ่งบอกเราว่า คุณยอมรับความผิดของตัวเอง และยินดีที่จะขอโทษสหายฟางฉินและแบ่งเงินเดือนครึ่งหนึ่งของเดือนนี้เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล ฉะนั้นเราก็ยุติเรื่องนี้เท่านี้แล้วกัน”
ฟางฉินเชิดคางขึ้นอย่างจองหอง
เดิมที หญิงสาวคิดว่าเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนจะระบายความโกรธลงที่เธอเพราะการกระทำของจางอวี้เอ๋อ
แต่ทั้งสองกลับดูมีเหตุผลมากกว่าที่คาดไว้ และไม่วางอำนาจบาตรใหญ่เลยสักนิด
แถมภรรยาของเลขาฯ เสิ่นยังบอกด้วยว่าได้ตักเตือนจางอวี้เอ๋อให้แล้ว
คุณเลขาธิการกับภรรยาแบบนี้ช่างหายากจริง ๆ!
อีกทั้งภรรยาของเลขาธิการเสิ่นยังไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่งดงามมาก แต่ยังมีจิตใจดีอีกด้วย
ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะดูไม่เหมือนจางอวี้เอ๋อ ผู้เป็นน้องสาวของพี่สะใภ้รองเลย
หน้าไม่อายจริง ๆ ที่ปากเรียกเสิ่นอี้โจวว่า “พี่เขย” อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด
เหอะ นังคนไร้ยางอาย!
จางอวี้เอ๋อรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลําคอ
เธอมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาตลอด เธอย่อมไม่ต้องการขอโทษใคร
แต่คราวนี้เซี่ยชิงหยวนกลับบีบบังคับและเธอก็จำต้องเชื่อฟัง
ดังนั้น ด้วยสีหน้ามืดมน เธอพูดอย่างไม่เต็มใจนักว่า “ฉันขอโทษ”
เสียงดังกล่าวไม่ได้ดังมาก ชนิดที่ว่าแทบไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ
เดิมที ฟางฉินต้องการใช้โอกาสนี้กดดันจางอวี้เอ๋อ แต่เมื่อเธอได้รับสายตาเตือนกลาย ๆ ของผู้อำนวยการ เธอก็พ่นลมหายใจ
ลืมไปซะ เพื่อเห็นแก่หน้าของเลขาธิการและภรรยา คราวนี้เธอจะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปก่อน
ในที่สุดผู้อํานวยการฝ่ายกิจการภายใน ก็สั่งให้คนพาจางอวี้เอ๋อและฟางฉินไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผลและเรื่องราวก็ยุติ
ก่อนจะจากไป ผู้อํานวยการฝ่ายกิจการภายในก็เตือนจางอวี้เอ๋อ
“เสี่ยวจาง ฉันขอแนะนำคุณในฐานะหัวหน้าและผู้มีประสบการณ์ เวลาทำงานอยู่ที่นี่จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่พูดชื่อของเลขาธิการเสิ่นไปทุกที่อีก อีกทั้งผลลัพธ์ในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าดีจริงไหม? หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือถ้าคุณต้องการอยู่ที่นี่ต่อไป คุณก็ต้องควบคุมตัวเองให้ได้”
จางอวี้เอ๋อหลุบตาต่ำ ความเกลียดชังที่มีต่อเซี่ยชิงหยวนยิ่งพุ่งสูงขึ้น
หลังจากต่อสู้กับความคิดทั้งหลายในใจ เธอก็ตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”
…
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวเดินทางกลับบ้านเงียบ ๆ
จะเห็นได้ว่าอารมณ์ของหญิงสาวดูจะไม่ค่อยดีนัก
แน่นอนว่าเสิ่นอี้โจวย่อมไม่กล้าเสี่ยงที่จะถามเธอว่า จางอวี้เอ๋อทำอะไรไว้ในอดีต
ยิ่งกว่านั้น เรื่องของจางอวี้เอ๋อก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา
หลังจากทั้งสองปิดไฟและนอนบนเตียง เขาก็ได้ยินเซี่ยชิงหยวนพูดว่า “เรื่องคืนนี้รบกวนคุณแล้ว”
เสิ่นอี้โจวคว้ามือของเธอเอามาวางไว้บนหน้าท้องของตน “เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีคำว่ารบกวนอะไรทั้งนั้น”
“อืม” เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “วันนี้เข้านอนเร็วกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ชักมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย และนอนหันหลังให้เขา
เสิ่นอี้โจวมองเห็นไหล่บางโค้งเป็นลูกคลื่นเหมือนภูเขาผ่านแสงจันทร์ทางด้านนอกหน้าต่าง
เขารู้ว่าเซี่ยชิงหยวนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
การที่เธอไม่อยากคุยกับเขานั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ชายหนุ่มไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เอื้อมมือออกไปจับหลังคอของเธอเบา ๆ และดึงตัวเธอเข้ามาหา
เซี่ยชิงหยวนดิ้นรนเล็กน้อยก่อนจะยอมขยับตัวเข้าไปในอ้อมแขนหนาด้วยแรงดึงของเสิ่นอี้โจว
เขากอดเธอและจูบหน้าผากเบา ๆ “นอนกันเถอะ”
…
ทั้งสองกินเนื้อสับและบะหมี่ใส่ไข่เป็นมื้อเช้า
เซี่ยชิงหยวนทำเนื้อสับและแช่มันไว้ในขวดน้ำมันตั้งแต่เมื่อคืน
บะหมี่เส้นเรียวบางเคล้ากับเนื้อสับและซอสปรุง โปะหน้าด้วยไข่เจียวเหลืองอร่ามซึ่งราดด้วยน้ำมันพริก ทำให้อาหารจานนี้ดูน่ารับประทานอย่างยิ่ง
เสิ่นอี้โจวดื่มซุปในชามบะหมี่จนหมด “จะมีคนมาที่บ้านของเราเพื่อติดตั้งโทรศัพท์ในภายหลัง”
“ติดตั้งโทรศัพท์?” เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราก็โทรหาที่บ้านได้บ่อย ๆ ใช่ไหมคะ”
โทรศัพท์บ้านยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในยุคนี้
แม้แต่ในเมืองก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีโทรศัพท์ที่ติดตั้งในบ้าน
แทบทุกคนจะโทรผ่านตู้โทรศัพท์
ยิ่งถ้าอยู่ในชนบท โทรศัพท์บ้านจะยิ่งหายากมาก
เช่น หมู่บ้านซีสุ่ยและหมู่บ้านซิ่งฮวา มีเพียงที่ทำการของคณะกรรมการหมู่บ้านเท่านั้นที่มีการติดตั้งโทรศัพท์
หากคนนอกต้องการโทรหาคนในหมู่บ้าน เขาจะต้องโทรเข้าหาคณะกรรมการหมู่บ้านก่อน แล้วคนของคณะกรรมการหมู่บ้านจึงไปเรียกคนให้มารับสาย
เรื่องนี้ดำเนินไปจนกระทั่งถึงยุคเก้าศูนย์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดามากในแถบชนบท
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ใช่ เมื่อติดตั้งโทรศัพท์แล้ว คุณสามารถโทรกลับไปหาพ่อแม่ เพื่อบอกให้พวกท่านรับรู้ว่าคุณปลอดภัยดี”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เลือนลง
เธอพยักหน้าและตอบว่า “อืม”
ตอนนี้จางอวี้เอ๋อมาถึงเมืองเตียนเฉิงแล้ว ด้วยนิสัยของหวังผิง เธอจะถูกสั่งให้ดูแลผู้หญิงคนนั้นแน่นอน
ยิ่งเมื่อได้ยินว่าเสิ่นอี้โจวย้ายมาทำงานที่ศาลากลาง มันก็อาจจะมีปัญหามากขึ้นกว่านี้
เธอยังจดจำครั้งสุดท้ายที่ทะเลาะกับหวังผิงได้ดี และเธอก็เพิ่งสั่งสอนบทเรียนให้จางอวี้เอ๋อไป
ถ้าโทรกลับไปในเวลานี้หรือแค่แจ้งให้เซี่ยโยว่หมิงรู้ก็พอ…
แค่นั้นแหละ
โทรหาเสิ่นอี้หลินกับหลินตงซิ่วก่อน
ส่วนครอบครัวของเธอก็ให้รอจนกว่าเรื่องราวจะซา
นอกจากนี้ เธอก็ต้องการปรึกษาหารือกับหลินตงซิ่วเรื่องธุรกิจของตัวเองด้วย