บทที่ 122 ไร้กำลัง
บทที่ 122 ไร้กำลัง
ความรู้สึกของเสิ่นอี้โจวคล้ายถูกอะไรบางอย่างบีบรัดแน่นที่ลำคอ
ชายหนุ่มก้าวไปจับไหล่ของเซี่ยชิงหยวนไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาหาตัวเอง
เขาจึงสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาของเธอได้อย่างชัดเจนในตอนนี้
เขาไหวไหล่ของหญิงสาวแผ่วเบา ก่อนจะพูดว่า “อย่าเศร้าไปเลย คุณพ่อไม่ได้อยากให้คุณเป็นแบบนี้หรอก”
การที่เซี่ยโย่วหมิงไล่เซี่ยชิงหยวนกับเขาออกมาแบบนั้น คงเพราะผู้้เป็นพ่อตาไม่ต้องการให้พวกเขาเห็นฉากเมื่อสักครู่
ดังนั้น หากพวกเขาออกไปหาอีกฝ่ายตอนนี้ มันจะยิ่งทำให้เซี่ยโย่วหมิงหนักใจ
เซี่ยชิงหยวนกัดปากตัวเองแน่น “ฉันรู้”
แต่หลังจากไม่ได้เจอกันเพียงเดือนกว่า เซี่ยโย่วหมิงก็แก่ขึ้นขนาดนี้แล้ว
ในใจของเธอ เซี่ยโย่วหมิงทั้งสูงส่งและเชื่อถือได้เสมอเสมือนภูเขาที่ตั้งตระหง่าน
การได้เห็นพ่อทำเพื่อครอบครัวแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกปวดหัวใจมาก
เธอตำหนิเซี่ยจิ่งเฉินกับจางอวี้เจียว ทั้งยังเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจและพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณอยากช่วยพ่อจริง ๆ แต่ด้วยนิสัยของท่าน ท่านไม่มีทางยอมง่าย ๆ หรอก เหมือนพ่อแม่บางคนที่มีวางแผนในอนาคตสำหรับลูก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้รับสิ่งที่ดีกว่า ไม่ว่าลูกต้องการอะไร พวกเขาจะหามาให้โดยไม่คำนึงถึงความลำบาก”
โดยเฉพาะเซี่ยโย่วหมิงที่มีความภาคภูมิใจ ตราบใดที่ลูก ๆ อยู่ดีกินดี มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะเหนื่อยยากแค่ไหน
ยิ่งกว่านั้น ชายวัยกลางคนคนนี้ก็ไม่ต้องการให้ลูก ๆ มาเป็นห่วงเขาเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันเข้าใจดีค่ะ ฉันแค่เกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์”
จากนี้ไป เธอจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีชีวิตที่ดี และสามารถช่วยพี่ชายทั้งสองของเธอให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้
ด้วยวิธีนี้ เซี่ยโย่วหมิงจะได้วางใจเสียที
ไม่อย่างนั้น ต่อให้เธอต้องการพาพ่อกับหวังผิงไปยังเมืองเตียนเฉิง พ่อก็จะไม่มีวันตกลง
ความแตกต่างระหว่างเซี่ยโย่วหมิงกับหวังผิงคือ หวังผิงจะบังคับให้เธอช่วยเหลือพี่ชายทั้งสอง ในขณะที่เซี่ยโย่วหมิงจะใช้กำลังของตัวเองเพื่อช่วยลูกชาย
เซี่ยโย่วหมิงไม่เคยต้องการทำให้เธออับอาย
ด้วยเหตุนี้ เซี่ยชิงหยวนจึงไม่สบายใจมากขึ้น
เสิ่นอี้โจวจึงปลอบโยนเธอว่า “ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเรา ทุกคนมีวิถีชีวิตของตัวเอง บางครั้งเราช่วยได้ แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้”
ดังนั้น เมื่อเซี่ยชิงหยวนทบทวนความคิดอีกครั้ง ก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้คือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การกำหนดทางเลือกของพวกเขา
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า
หญิงสาวเฝ้ามองเซี่ยโย่วหมิงกลืนซาลาเปาคำสุดท้าย เธอสูดจมูกแล้วพูดกับเสิ่นอี้โจวว่า “กลับบ้านกันเถอะ”
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “อืม”
ทั้งสองคนเดินช้า ๆ แต่ทุกย่างก้าวกลับมั่นคง
ด้วยย่างก้าวที่ช้าและมั่นคงนี้ ชายหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของเซี่ยชิงหยวนกำลังเปลี่ยนไป
เนื่องจากเขาคุยกับเซี่ยจิ่งเฉินทางโทรศัพท์แล้ว เสิ่นอี้โจวก็คาดหวังว่าการกลับมายังหมู่บ้านซิ่งฮวาในคราวนี้จะไม่มีปัญหามากนัก
…
หากขับรถจากตัวเมืองเข้ามายังหมู่บ้านซีสุ่ยจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เนื่องจากเกรงว่าเสี่ยวหลิวจะไม่สบายใจยามอยู่ในชนบท เสิ่นอี้โจวจึงอนุญาตให้เสี่ยวหลิวเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองสักสองสามวัน ส่วนเขาก็ขับรถพาเซี่ยชิงหยวนกลับบ้านด้วยตัวเอง
หมู่บ้านซีสุ่ยไม่เคยมีรถราขับผ่านมาเลยสักครั้ง
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวขับรถผ่านถนนลูกรัง รถของพวกเขาก็ดึงดูดทุกคนที่พบเห็น
ผู้คนต่างพูดกันว่า “มาดูรถคันนั้นเร็ว!”
“รถกำลังวิ่งมาแล้ว!”
ทันใดนั้นรถก็ถูกล้อม
โดยเฉพาะเด็ก ๆ พวกเขาดูตื่นเต้นกันมาก
เสิ่นอี้โจวกลัวว่าเด็ก ๆ จะถูกรถชน ดังนั้นความเร็วของรถจึงช้าอย่างมาก
เซี่ยชิงหยวนเลื่อนเปิดกระจกรถและพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ระวังจ้า วิ่งดี ๆ นะ เดี๋ยวหกล้ม”
กว่าจะขับรถไปถึงบ้านก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง ก่อนที่เสิ่นอี้โจวจะเห็นเสิ่นอี้หลินบราวนี่ออนไลน์
เสิ่นอี้หลินก็เห็นพวกเขาเช่นกัน
เสิ่นอี้หลินดูอ้วนขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาจากไป แต่เด็กชายก็ยังคงมีผิวคล้ำและรูปร่างผอมอยู่ดี
เด็กชายยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็ก ๆ และเมื่อเขาเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เด็กชายโบกมือให้รถขณะที่วิ่งปรี่เข้ามาหา
“พี่ชาย พี่สะใภ้!” เขารีบวิ่งมาที่ข้างรถ แต่ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไปและเปิดประตู
เขาอวดเพื่อน ๆ อย่างมีความสุขว่า “พี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉันกลับมาแล้ว!”
ตอนที่ได้ยินเมื่อวานว่า พี่ชายกับพี่สะใภ้จะกลับมาในวันนี้ เสิ่นอี้หลินก็ออกมารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
เสิ่นอี้โจวหยุดรถ เปิดประตูแล้วเดินลงไป
เขาลูบหัวซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นของเสิ่นอี้หลิน
จากนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ทำไมเหงื่อออกขนาดนี้เนี่ย?”
เสิ่นอี้หลินปาดเหงื่อของเขาโดยไม่สนใจและพูดว่า “ผมเพิ่งไปวิ่งเล่นมาฮะพี่”
จากนั้นเด็กชายก็พูดว่า “พี่ครับ ผมขอขึ้นไปนั่งบนรถสักพักได้ไหม?”
เขาเคยเห็นรถแบบนี้ตอนที่ีมีหนังกลางแปลงในหมู่บ้านเท่านั้น
ทันทีที่คำพูดของเสิ่นอี้หลินดังขึ้น เพื่อน ๆ ที่เหลือก็มองเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาคาดหวัง
เซี่ยชิงหยวนก็ก้าวลงมาจากรถเช่นกัน และพูดว่า “ได้สิ”
เธอหยุดพูดชั่วครู่ “แต่ว่ารถของเราไม่สามารถรับเพื่อนของนายจำนวนมากพร้อมกันได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้หลินก็ดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เขาหันไปบอกเด็กสองสามคนที่มักจะเล่นกับเขาอยู่เสมอว่า “พวกนายนั่งรถไปกับฉัน!”
คนที่ไม่ได้รับการชวนรู้สึกผิดหวังมาก
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “คนที่เหลือที่ไม่ได้ขึ้นรถตอนนี้ไปรวมตัวกันที่ประตูบ้านพี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่จะพาพวกนายไปขับรถเล่นทีหลัง”
“เย้ เยี่ยมเลย!”
“พี่อี้โจว ยอดเยี่ยมมาก!”
เด็ก ๆ ที่เคยหดหู่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมองหน้าแล้วส่งยิ้มให้กันและกัน ก่อนจะกลับเข้าไปในรถอีกครั้ง
ทันทีที่พวกเขาขับรถมาถึงประตูบ้าน เสิ่นอี้โจวก็ถูกเสิ่นอี้หลินลากไปรับเด็กคนอื่น
เสิ่นอี้โจวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดให้น้องชายของเขารอก่อน จากนั้นเขากับเซี่ยชิงหยวนก็ช่วยกันย้ายของออกจากรถ แล้วค่อยเดินตามเสิ่นอี้หลินไป
หลินตงซิ่วได้ยินเสียงที่ลานหน้าบ้าน เมื่อเดินออกมา เธอก็เห็นเสิ่นอี้โจวกำลังถูกเสิ่นอี้หลินลากออกไป
เสิ่นอี้โจวเพียงทักทายหลินตงซิ่วสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะถูกเสิ่นอี้หลินผลักเข้าไปในรถ
หลินตงซิ่วดุพร้อมกับแย้มยิ้ม “เด็กคนนี้นี่!”
เธอรีบรับของจากมือของเซี่ยชิงหยวน ทั้งยังก้มหยิบของจากพื้นมาถือไว้คนเดียว “แม่จะขนของเอง ลูกเข้าไปพักผ่อนเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนทักทายด้วยรอยยิ้ม “ค่ะแม่”
จากนั้นเธอก็เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน
เมื่อมองไปยังสถานที่ที่เธอเคยอาศัยอยู่ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อย
อีกสองวันพวกเขาก็จะย้ายออกจากที่นี่แล้ว
หลินตงซิ่วเดินมาอยู่ข้าง ๆ และพูดว่า “มีไก่สามตัวอยู่ที่แปลงผักด้านหลังบ้านนะลูก”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ดีจัง อี้หลินชอบเก็บไข่ไก่มากนี่คะ”
จากนั้นหญิงสาวก็พูดว่า “พอเราไปถึงเมืองเตียนเฉิง คุณแม่สามารถเลี้ยงไก่กับเป็ดในสวนหลังบ้านของเราได้ด้วยนะคะ นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำสายเล็กอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย ครั้งล่าสุดที่หนูไปที่แม่น้ำกับอี้โจว พวกเราเก็บหอยขมได้เยอะมากเลยค่ะแม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินตงซิ่วก็ยิ่งสนใจ
เธอยิ้มและพูดว่า “ลูกจับหอยขมในแม่น้ำได้ด้วยเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะ หนูเพิ่งขึ้นไปตัดหน่อไม้บนภูเขากับคนอื่น ๆ และก็ได้มามากเลยค่ะ อ้อ หนูยังเห็นว่าบนภูเขามีผักเบี้ยต้นใหญ่กับต้นเฟิร์นเยอะแยะเลยนะคะ”
เมื่อฟังคำพูดของลูกสะใภ้ ความกังวลเกี่ยวกับชีวิตในเมืองเตียนเฉิงของหลินตงซิ่วก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
เธอเคยคิดว่าเมื่อเข้าไปในเมือง เธอจะถูกตัดขาดจากภูเขาและแม่น้ำ
อีกทั้งเธอยังไม่เคยได้เดินทางไกลมาก่อนเลยในชีวิตนี้
สถานที่ที่เธอเคยไปไกลที่สุดน่าจะเป็นอำเภอเมือง
เธอปาดน้ำตาที่คลอเบ้าและพูดว่า “ขอบคุณลูกกับอี้โจวจริง ๆ นะที่กำลังจะพาหญิงชราอย่างแม่ออกไปอยู่ในเมือง”
เซี่ยชิงหยวนลูบหลังของเธอ “คุณแม่คะ ตราบใดที่คุณติดตามพวกเราไป เราจะพาแม่ไปอยู่ที่เมืองหลวงของจังหวัด และหลังจากอี้หลินเรียนจบชั้นประถม เขาอาจจะได้ไปเรียนต่อที่เมืองหลวง”
คำพูดของเซี่ยชิงหยวนทำให้หลินตงซิ่วยิ้มจนคิ้วและตาของเธอหยีเล็กน้อย
เธอจำรถที่ประตูได้และถามด้วยความไม่แน่ใจ “รถคันนั้น อี้โจวยืมมาจากหน่วยงานใช่ไหม”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หน่วยงานเป็นคนมอบให้อี้โจวมาใช้งานต่างหากล่ะคะ”
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดทำให้หลินตงซิ่วเหม่อลอยเป็นเวลานาน
เธอฝันอยู่รึเปล่า!
ไหนจะมีการติดตั้งโทรศัพท์ ไหนจะมอบรถให้มาใช้ ลูกชายของเธอสร้างผลงานไว้เท่าไหร่กันแน่?
คนทั้งสองช่วยกันเก็บข้าวของเข้าไปในบ้าน และก่อนที่พวกเขาจะมีเวลาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน พวกเขาก็มีสิ่งที่ต้องทำมากมายที่หน้าประตูบ้าน
ปรากฏว่าป้าและพี่สะใภ้ที่มีความสัมพันธ์อันดีจากบ้านใกล้เรือนเคียงมาเยี่ยมเยือน
ถ้าลองดูอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าเจี่ยต้าฮวาก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้
หลินตงซิ่วกับเซี่ยชิงหยวนยืนต้อนรับพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
ทันทีที่เข้าประตูมา พวกเขาก็กล่าวทักทายแสดงความยินดี
หลินตงซิ่วไม่ได้พูดจาโอ้อวดอะไร และไม่บอกคนเหล่านั้นเกี่ยวกับงานของอี้โจว
แต่เรื่องรถคันนั้น เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าหน่วยงานเป็นคนเตรียมมันมาให้ ส่วนตำแหน่งของเสิ่นอี้โจวนั้นเธอไม่รู้
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็อิจฉาอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อครู่พวกเขาเห็นรถแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน จึงพากันออกไปดูโดยคิดว่าอาจจะคนใหญ่คนโตจากที่ไหนสักแห่งมาเยี่ยมเยือน
ทว่าเมื่อพวกเขาสอบถามคนใกล้ตัว ปรากฏว่าเป็นเสิ่นอี้โจวที่กลับมา!
พวกเขากล่าวว่า “พี่ตงซิ่ว พี่โชคดีมากที่ลูกชายได้ทำงานดี ๆ แถมยังมีรถขับด้วย!”
“ใครว่าไม่จริง พอแยกครอบครัวกับเสิ่นสิงแล้ว ชีวิตของพี่ตงซิ่วก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ!”
หลินตงซิ่วหัวเราะจนปากฉีกถึงหู
แต่เธอยังไม่ลืมชื่นชมเซี่ยชิงหยวน “สิ่งสำคัญที่สุดคือลูกสะใภ้ของฉันเป็นคนดีและมีคุณธรรม หากไม่มีเธอในฐานะภรรยาที่มีคุณธรรม อี้โจวของฉันจะทำงานด้วยความสบายใจได้ยังไง”
ทุกคนก็เออออไปตามน้ำ “ใช่ ๆ ชิงหยวนไปอยู่ด้วยไม่เท่าไหร่ อี้โจวก็มีรถขับซะแล้ว จะว่าไป ชิงหยวนน่าจะเป็นดาวนำโชคของครอบครัวพี่ตงซิ่วจริง ๆ”
ผู้หญิงอีกคนที่ดูจะอายุไล่เลี่ยกับเซี่ยชิงหยวนก็พูดว่า “พี่ชิงหยวน เป็นคนที่โชคดีมากเลยนะ แตกต่างจากหวังชุ่ยเฟินที่ดูไม่มีโชคเลย”
ทันทีที่เธอพูด สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
———————–