แค่พวกมันโผล่ออกมาไม่กี่ตัว ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาหล่นวูบ ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างลากลงไปในนรกขุมที่สิบแปดแล้ว
พวกเขาเห็นเลยว่าผีพวกนั้นยิ่งทียิ่งทวีจำนวนมากขึ้น พอกวาดตามองไปก็เห็นว่ามีร้อยกว่าตัวเข้าไปแล้ว
หัวใจของแต่ละคนต่างก็เต้นด้วยความระทึกขึ้นมา
พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร
แต่ละคนจึงพากันหันไปมองหาเจ้าวังของตนเอง
หลังสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเข้าใจว่า ผีเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าวังของตน จึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้บ้าง
แค่ไม่ใช่อีกฝ่ายส่งมาก็พอแล้ว…..มิเช่นนั้นเกรงว่าคืนนี้วังตันติ่งกงคงจะต้องถูกเลือดล้างอย่างแน่นอน
เจ้าวังของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เพียงแต่เป็นยอดปรมาจารย์ปรุงยาตันแห่งจิ่วโจว ทั้งยังสามารถควบคุมพวก……ผีประหลาดน่ากลัวจำนวนมากมายได้ด้วย
ทันใดนั้น เหล่าศิษย์ในวังตันติ่งกงก็ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพเทิดทูนซ่งชิงอียิ่งขึ้นไปอีก
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ดูท่าฐานะของวังตันติ่งกงในแดนจิ่วโจวคงจะได้เลื่อนระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างแน่น
หัวใจของเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็พองโต ที่ผ่านมาพวกเขาล้วนภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนของวังตันติ่งกง พอวันนี้ได้รู้ถึงความสามารถของเจ้าวัง ก็ยิ่งยินดีกว่าเดิม
บางทีในสุดยอดการประลองสามฝ่ายครั้งหน้า ท่านเจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ชนะก็เป็นได้
เดิมทีวังตันติ่งกงของพวกเขาก็สมควรที่จะได้เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดในดินแดนจิ่วโจวอยู่แล้ว!
…………………………….
หัวใจของคนวังตันติ่งกงมีแต่ความยินดี เฝ้ารอดูให้พวกตู๋กูซิงหลันสองคนตายอย่างอนาถ
แต่ว่าตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันยังคงถูกคนผู้นั้นกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
ปลายคางและริมฝีปากที่ปรากฏออกมาให้เห็น ไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
สายตาของเขาจับจ้องไปยังหมอกสีแดงที่มีผีกุ่ยหลัวซาทยอยผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนี
ตู๋กูซิงหลันมองดูผีเหล่านั้น อักขระที่อยู่บนร่างของพวกมัน นางเคยเห็นมาจากบนร่างของวิญญาณแค้นที่อยู่ในกระถางใบยักษ์มาแล้ว
ที่แท้ ซ่งชิงอีก็จับวิญญาณแค้นเหล่านั้นเอาไว้สร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซานั่นเอง
นางคลุกคลีอยู่ในวงการคุณไสยมานานหลายปี จะมากจะน้อยก็พอจะรู้จักผีกุ่ยหลัวซาอยู่บ้าง
สิ่งนี้สร้างจากเหล่าวิญญาณที่คับข้องโกรธแค้น จากวิญญาณแค้นนับพันนับหมื่นตนสุดท้ายแล้วจะสร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซาเพียงตนเดียว
พูดให้ชัดๆก็คือ เมื่อใช้วิญญาณกินวิญญาณ ใช้ผีกินผี ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียวตัวเดียวนั้น ก็จะกลายเป็นผีกุ่ยหลัวซา
นี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างมาก ปราศจากชีวิตจิตใจ ไอสังหารท่วมท้น เมื่อปรากฏตัวขึ้นมา หากไม่สามารถควบคุมให้ดีก็อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
หลายปีก่อนที่โลกปัจจุบันก็มีคนที่สร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมาเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นถูกท่านอาจารย์เล่นงานจนตาย
แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจไปผุดไปเกิด ต้องวนเวียนรับทรมานอยู่ในนรกอเวจีไปตลอดกาล
หากดูจากรูปโฉมของซ่งชิงอี นางเข้าลักษณะของหญิงงามอสรพิษ แต่ตู๋กูซิงหลันก็คิดไม่ถึงว่า นางจะถึงกับสร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมา
ผีกุ่ยหลัวซา แม้ว่าจะมีพลังเป็นรองราชามาร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณแค้นทั่วไปจะสามารถต่อกรได้
หากว่าเป็นตัวนางก่อนหน้านี้ได้พบเข้า ก็ยังต้องสิ้นเปลืองพลังมหาศาลจึงจะกำหราบลงได้
ครั้งนี้กลับปรากฏตัวขึ้นมาถึงร้อยตน บรรยากาศในตอนนี้จึงเปรียบได้กับยามที่นางเคยเผชิญกับเหล่ามังกรยักษ์ของเผ่ามังกรทมิฬในตอนนั้นทีเดียว
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาดอกท้อทั้งคู่ลง แววตาทอประกายเย็นยะเยือกออกมา
ขณะที่พวกผีกุ่ยหลัวซาเข้ามาใกล้ ในมือของนางก็หยิบยันต์โลหิตขึ้นมาหลายใบ
กับเจ้าพวกนี้ ยันต์สีเหลืองถือว่าไร้ประโยชน์
จำเป็นต้องใช้ยันต์โลหิตและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น
พลังของนางในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาแล้ว แต่ละครั้งต่อให้ใช้ยันต์โลหิตสิบกว่าใบก็ยังไม่ถือว่ากินแรงเท่าไร
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ คนที่อยู่ด้านหลังนางไม่คิดจะชมดูนางออกแรงแต่เพียงผู้เดียวแล้ว
เขาออกแรงเบาๆก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมอกแน่นกว่าเดิม
“เจ้ากลัวหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นถามออกไป “หากไม่กลัวจะกอดข้าเสียแน่นทำไม?”
หากว่าไม่กลัวล่ะก็ เมื่อครู่ตอนที่อยู่บนยอดตึกสูง เขาก็น่าจะเปิดฉากต่อสู้กับซ่งชิงอีไปแล้ว ไม่ต้องพานางไปหลบในห้องเล็กๆมืดๆนั่น
ตอนนี้หน้าต่างกระดาษขาดเป็นรูไปแล้ว ย่อมนำลมหอบใหญ่ซัดเข้ามา
แต่ถ้าหากเขาหวาดกลัวละก็ ….เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์ และไม่มีทางเป็นจีเฉวียนเช่นกัน
สองคนนั้น เป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่คิดจะถอย
“ไม่ต้องขวัญเสียไป นายน้อยอย่างข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง” ตู๋กูซิงหลันยกริมฝีปากแดง ปลายนิ้วของอีกมือสัมผัสลงไปบนปลายคางของเขาเบาๆ เห็นชัดเลยว่ากำลังลวนลามผู้คน
“ต่อให้พญายมมาเอง ข้าก็คุ้มครองเจ้าได้ไม่มีปัญหา”
นางพูดพลางก็เตรียมจะซักยันต์โลหิตในมือออกไป
ยันต์ของนางมีอยู่หลากหลายแบบ อย่างเช่น ครั้งนี้ที่นางจะใช้ออกไปก็คือยันต์ผู้พิทักษ์
ยันต์ผู้พิทักษ์สีแดงนี้ ตอนนั้นแม้แต่กับเสินฟางก็ยังสามารถรับมือได้อยู่พักหนึ่ง
ผีกุ่ยหลัวซาแม้จะแข็งแกร่งอย่างไร ก็คงจะไม่แข็งแกร่งกว่าเสินฟางไปได้กระมัง?
เพียงแต่ว่าร้อยกว่าตัว จำนวนออกจะมากไปเสียหน่อย
แต่ว่ายันต์โลหิตในมือของนางยังไม่ทันได้เขวี้ยงออกไป คนผู้นั้นก็เอ่ยปากออกมาก่อน “สมควรเป็นข้าคุ้มครองเจ้ามากกว่า”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ดันนางไปทางด้านหลัง เหลือแต่เพียงแผ่นหลงให้นางได้มองเท่านั้น
ทันใดนั้น ก็เห็นว่าทั่วทั้งร่างของเขามีหมอกสีดำจำนวนมากกระจายออกมา เพียงพริบตาเดียวเขตอาคมสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะก็ถูกหมอกสีดำทะลวงออกไป
หมู่เมฆที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าจางลงไปอีกหลายส่วน ดวงดาวทอแสงสุกสกาวกว่าเดิม ร่างกับว่าทั้งหมดพร้อมใจกันเปล่งแสงสว่างลงมาบนร่างของเขา
แถบผ้ามัดผมสีม่วงพลิ้วไปตามแรงลม เส้นผมสีดำของเขาก็เริงระบำไปกับสายลมพร้อมๆกัน
แถมผ้ามัดผมปลิวมาถึงใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน นางยื่นมือออกไปหันเข้ากับปลายนิ้ว
ผ้ามัดผมสีม่วงเข้ม สีนี้ เป็นสีที่อาจารย์โปรดปรานที่สุด
“ติ้ง……”
ไม่รอให้นางได้มีปฏิกริยา เสียงพิณสายหนึ่งก็ดังขึ้น
เพียงพริบตา สำเนียงที่แข็งแกร่งก็พลิ้วออกมา ทำลายผีกุ่ยหลังซานับสิบตัวที่บุกเข้ามาจนกลายเป็นผุยผง!
หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็พลันกระตุกอย่างรุนแรงเช่นกัน
นางยืนอยู่ด้านหลังของเขา ร่างของทั้งสองเหาะอยู่ในอากาศใต้แสงกระพริบของดวงดาว
เสื้อผ้าบนร่างของเขาพลิ้วขึ้นมา จึงทำให้ได้เห็นว่าใต้แขนเสื้อที่ปลิวตามแรงลมนั้นมีโต๊ะที่จัดวางพิณโบราณอยู่ตัวหนึ่ง
ตัวพิณสีน้ำตาลเข้ม ด้านบนสลักอักขระที่สลับซับซ้อนเอาไว้
ชั่วขณะนั้น ไอหมอกที่เดิมล้อมอยู่ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็รวมตัวกันเป็นหยดน้ำตาอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นขึ้นมาคลออยู่ในดวงตาของนาง จนต้องฝืนเอาไว้ไม่ให้หยดลงมา
เสื้อผ้าของเขาถูกนางดึงทึ้งจนหลวมคลาย บ่าข้างหนึ่งยังเผยออกมา ภายใต้แสงดาวกระพริบ จึงมองเห็นว่าบ่าของเขามีแผลเป็นอยู่ไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันจำได้แม่นยำ…. จีเฉวียนมักจะรับบาดเจ็บที่ตรงนี้อยู่เสมอ
บ่าของเขาก็มีแผลเป็นเช่นกัน
ตกลงแล้วเขา….คือใครกันแน่?
อาจารย์หรือว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน?
ตู๋กูซิงหลันไม่กล้ายืนยันออกไป …..พอนางฟังเสียงพิณ คนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง
ได้แต่กำชายผ้าพันผมเอาไว้แน่น กระทั่งเล็บก็จิกเข้าไปในผิวเนื้อ
ทันทีที่เสียงพิณของเขาสะท้อนออกไป ก็ทำลายผีกุ่ยหลัวซาไปนับสิบตน
ถึงตรงนี้ ซ่งชิงอีก็ก็เข่าอ่อนไปทั้งร่างแล้ว
“เขา….เขาคือ?”
นางลดขลุ่ยกระดูกลง โผออกไปนอกหน้าต่างกว่าครึ่งตัว
แทบจะทุ่มพลังวิญญาณทั้งร่างออกไปตรวจสอบดู
บุรุษที่สวมหน้ากากครึ่งใบดีดพิณโบราณอยู่ในอากาศใต้แสงดาว…..
ทันใดนั้นนางก็คิดถึงบุรุษโดดเด่นที่สุดในสุดยอดการประลองสามฝ่ายขึ้นมาในทันที
………………….