“ไม่เพียงแต่คนผู้นั้น แต่ว่าบุรุษทั่วทั้งจิ่วโจว เมื่อได้พบท่านเจ้า ก็ต้องหวั่นไหวใจอย่างไม่อาจหักห้าม”
ฝูลั่วพูดต่อไป ขณะเงยหน้ามองดูท่านเจ้าผู้สูงส่ง
ในใจของนางก็คิดไปว่า คนผู้นั้นหัวใจทำจากหินผาหรือไร ทั้งที่ได้พบท่านเจ้าที่งดงามเช่นนี้แล้วยังจะคิดเป็นอื่นไปได้?
นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านเจ้ากลับมาจากสำนักหยินหยาง คนก็กลายเป็นหม่นหมองและหงุดหงิดอยู่ตลอด
ต้นเหตุจะต้องเป็นเพราะบุรุษที่ไม่รู้จักชั่วดีผู้นั้นเป็นแน่
หลายปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาบุรุษใดมาก่อนเลย แต่ว่ากับคนผู้นี้….
หากจะบอกว่าท่านเจ้าโหดเ**้ยม นางก็ไม่เห็นด้วย
หากมิใช่เพราะว่าบุรุษผู้นั้นปฏิเสธท่านเจ้า ท่านเจ้าก็คงจะไม่สั่งให้หลอมยาบุปผาสะคราญนั่นขึ้นมาหรอก
เพราะนางเดิมทีก็งดงามดุจนางเซียนอยู่แล้ว….
“วันนี้จับหนุ่มน้อยที่รูปงามมากมาได้คนหนึ่ง บ่าวเห็นแล้ว ถึงเวลาจะใช้เขาเป็นตัวนำยา เมื่อปรุงเป็นยาบุปผาสะคราญจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น…. คนผู้นั้นจะต้องเป็นฝ่ายร่ำร้องให้ท่านเจ้าเหลียวแลเขา”
ฝูลั่วพูดพลางก็โบกมือ ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็ปรากฏ**บใบใหญ่ขึ้นมากมาย เมื่อเปิด**บออก ด้านในก็เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า แวววาวระยิบระยับ จนแสบตา
“ท่านเจ้าโปรดชมดู นี่เป็นของขวัญที่ประมุขแคว้นทองคำส่งมา แคว้นทองพึ่งจะขุดเหมืองทองขึ้นมา เพื่อแสดงออกถึงความรักใคร่หลงใหลในตัวท่าน เจ้าแคว้นทองถึงกับสั่งให้ส่งทองคำทั้งหมดในเหมืองแห่งนี้มามอบให้กับท่าน”
ฝูลั่วพูดแล้ว ก็ส่งกุญแจสีทองดอกหนึ่งให้กับนาง
ตู๋กูซิงหลันแขวนตัวอยู่นอกหน้าตาง ได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดกันอย่างชัดเจน
ภูเขาทองคำงั้นหรือ เจ้าแคว้นทองคำผู้นี้ช่างมือเติบนัก
แต่ว่าดูแล้ว ‘นางเซียน’ ในชุดขาวผู้นี้คล้ายจะมิได้ให้ความสนใจสักเท่าไรนิ
ดูท่าแล้ว เจ้าแคว้นทองคำผู้นั้นคงจะไม่เคยมีโอกาสได้เห็นแม้แต่โฉมหน้าของนางเลยด้วยซ้ำ ….ดังนั้นจึงได้แต่ฝากกุญแจดอกนี้มากับคนสนิทของนางแทน
นางโยนกุญแจทองคำดอกนั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยกุญแจแบบเดียวกันทั้งใหญ่และเล็กเต็มไปหมด
“บุรุษที่หลงรักข้านั้นมีอยู่เต็มไปหมด คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ต่อไปยามอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องพูดขึ้นมาอีก”
น้ำเสียงของนางเย็นชา แววตาที่เ**้ยมโหดก็เพิ่มพูนความเย็นชาดุจน้ำแข็งขึ้นมา
“ตอนนี้ในใจของข้า มีแต่คนผู้นั้น อย่าได้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ว่าข้าเป็นคนที่บุรุษที่ไหนก็จะมามอบของขวัญให้ก็ได้ทั้งนั้น”
“เจ้าค่ะ” ฝูลั่วผงกศีรษะ “จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน”
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ พวกนางไม่ได้เอ่ยเลยว่า ‘คนผู้นั้น’ คือใคร จนตู๋กูซิงหลันชักจะประหลาดใจอยู่บ้าง
ต้องเป็นบุรุษเช่นใดกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้สตรีที่ดูท่าจะมีฐานะสูงส่ง…. ยินยอมใช้ฝีมืออันโหดเ**้ยมเพื่อหลอมยาบุปผาสะคราญ ทั้งยังปฏิเสธการพัวพันจากชายอื่นทั้งหมด?
เมื่อมองผ่านผ้าโปร่งสีขาวที่พลิ้วไหว สายตาของตู๋กูซิงหลันจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนาง เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาในทันที
ครู่ต่อมา ค่อยหันเหสายตาไปจากร่างของสตรีผู้นั้น กวาดตามองไปรอบๆห้องครั้งหนึ่ง
ในห้องมีชั้นวางขนาดใหญ่สามแถว แถวแรกที่อยู่ด้านหน้าสุดเต็มไปด้วยขวดต่างๆมากมาย แถวที่สองคือหญ้าสมุนไพรที่ตากแห้งแล้ว บนแถวที่สามคือขวดโหลใสที่ใส่พวกสัตว์พิษดองเหล้าชนิดต่างๆ
ขวดเหล่านั้นถูกผนึกอย่างมิดชิด สัตว์ที่อยู่ในขวดมีทั้งงู หนอน หนู และแมลงต่างๆ บางชนิดก็ยังมีชีวิตอยู่ บางชนิดก็ตายไปแล้ว
สัตว์เหล่านั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันอดที่จะคิดถึงโรงชำแหละที่ห้องใต้ดินไม่ได้
กระเพาะของนางชักจะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว
นางกวาดตาดูอยู่อีกครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าภายในห้องมีกระถางปรุงยาอยู่หลายใบ
ขนาดใหญ่เล็กมีอยู่ถึงเจ็ดแปดใบ แต่ละใบมีสีสันเฉพาะ ดูแล้วพิเศษอย่างยิ่ง
กลิ่นของยาที่ระเหยออกมาจากในห้องเข้มข้น หอมอย่างยิ่ง
แค่มองดูอย่างรวดเร็ว ก็พอจะสรุปได้ว่านี่จะต้องเป็นห้องปรุงยาและหลอมยาตันอย่างแน่นอน
ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจว สตรีที่แม้แต่เจ้าแคว้นทองคำยังต้องคุกเข่าให้ ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังคิดออกว่าเป็นใคร
วังตันติ่งกง
สมองของตู๋กูซิงหลันผุดชื่อสามตัวอักษรนี้ขึ้นมา
ข้อมูลของวังตันติ่งกง เดิมทีก็ได้มาจากเทวบุตรหงเหมินผู้นั้น
สำนักหงเหมินเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ภายใต้การชี้นำของวังตันติ่งกง เซียวเฉินย่อมสามารถให้รายละเอียดออกมามากมาย
อย่างเช่นหากจะบอกว่าวังตันติ่งกงคือสำนักเซียนอันดับหนึ่ง ก็มิสู้บอกว่าเป็นสำนักหลอมยาอันดับหนึ่งมากกว่า
ยาตันมากกว่าครึ่งในดินแดนจิ่วโจวล้วนมาจากวังตันติ่งกงผลิตขึ้นมา เมื่อมียาตันเป็นพลังหนุน การฝึกฝนของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งราบรื่น
และเมื่อวังตันติ่งกงมียาตันจำนวนมากมาย ศิษย์ในสำนักย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างดี จึงเลื่อนระดับอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงกลายเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง อย่างไม่น่าประหลาดใจ
อีกทั้งตามที่เซียวเฉินบอกไว้ เจ้าวังวังตันติ่งกง คือปรมาจารย์หลอมยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในดินแดนจิ่วโจว
ยาที่นางหลอมออกมานั้น แม้ทองพันตำลึงก็ไม่อาจหาซื้อ
สตรีผู้นี้ เป็นเหมือน Bug ที่มีอยู่ในดินแดนจิ่วโจว
เพราะปรมาจารย์หลอมยาที่มีพลังสูงส่งถึงเพียงนี้ แม้แต่ในดินแดนโบราณตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักคน
ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันจึงรู้สึกว่า ‘นางเซียน’ ในชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ น่าจะเป็นเจ้าวังวังตันติ่งกงที่เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างแน่นอน
แต่ว่า…..ที่นางกระทำเรื่องชั่วร้ายผิดต่อฟ้าดินถึงเพียงนั้น แล้วทำไมถึงยังต้องผลักความผิดไปใส่หัวของสำนักหยินหยางด้วย?
สำนักหยินหยางก็ยอมให้นางผลักหม้อดำลงมา?
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วมุ่น นางอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ชัดเจน
แสงเทียนในห้องไหววูบ ซ่งชิงอีเหลือบมองดูขลุ่ยหยกที่หยิบขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้งหนึ่ง พลางครุ่นคิดไปว่า อีกไม่นานก็จะสามารถหลอมยาบุปผาสะคราญออกมา ในใจก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ ด้วยฐานะของคนผู้นั้นที่เป็นผู้ชนะในสุดยอดการประลอง เขาย่อมต้องปรากฏตัวออกมา
นางจะต้องปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างน่าประทับใจ ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงนางไปตลอดชีวิต
พอปรายตามองออกไป ลมนอกหน้าต่างก็พัดเข้ามา พาเอากลิ่นหอมจางๆของดอกฮว๋ายฮวาเข้ามาด้วย
ดวงตาของนางชะงักไป ขลุ่ยหยกในมือถูกสะบัดวูบหนึ่งก็เขวี้ยงออกไปที่นอกหน้าต่างในทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันซ่อนตัวอยู่
เมื่อขลุ่ยหยกลอยออกไป ซ่งชิงอีจึงได้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “หากไม่อยากตายอย่างอนาถก็โผล่ออกมา ข้าจะให้เจ้าได้มีศพครบสมบูรณ์”
ตู๋กูซิงหลันซ่อนตัวอย่างมิดชิด แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาที่มีมาแต่กำเนิดไม่อาจปิดบังได้
กลิ่นหอมนี้อ่อนจางมาก ทั้งยังอยู่ห่างไกลออกไป คนทั่วไปไม่มีทางสัมผัสได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าซ่งชิงอีเป็นยอดปรมาจารย์หลอมยาของดินแดนจิ่วโจว นางมีสัมผัสที่ว่องไวต่อกลิ่นต่างๆ แม้แต่เพียงกลิ่นที่เบาบาง นางก็สามารถระบุออกมาได้อย่างถูกต้อง
ถึงแม้ว่านางจะหาตัวตู๋กูซิงหลันไม่พบ แต่ว่าสามารถหากลิ่นเจอ
ในวังตันติ่งกงของนางไม่เคยปลูกต้นฮว๋ายมาก่อน เพราะมันดูลึกลับดึงดูดความชั่วร้าย
ดังนั้นที่นี่ย่อมไม่มีทางมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายได้….
ฝูลั่วตกตะลึงไปชั่วครู่ นางรีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปที่หน้าต่าง ชะโงกศีรษะมองออกไปด้านนอก
ที่นี่คือตึกตันติ่ง สูงถึงแปดชั้น ในวังตันติ่งกงมีเวรยามแน่นหนา ยามปกติแม้แต่ยุงสักตัว ก็ยังบินเข้ามาไม่ได้ แล้วจะมีคนเล็ดรอดเข้ามาได้อย่างไร แถมยังเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียงอีกด้วย?
หรือว่าคำพูดที่นางกับท่านเจ้าสนทนากันเมื่อครู่ จะถูกดักฟังไปแล้ว?
หากว่าเป็นเช่นนั้น……ย่อมต้อง สังหารโดยไม่ละเว้น!
…………………………….