บทที่ 141 หลิงเยี่ย
บทที่ 141 หลิงเยี่ย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและมองดูเสิ่นอี้โจวจากไป
เธอมองจนกระทั่งรถเลี้ยวโค้งตรงทางแยกข้างหน้าแล้วหายลับสายตาไป
หลังจากนั้น เธอก็ไม่สามารถรักษารอยยิ้มการค้าบนใบหน้าไว้ได้อีกต่อไป มุมปากของหญิงสาวเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง
เธอยังคงรักเขา
ไม่อย่างนั้น ด้วยอารมณ์ของเธอในเวลานี้แล้ว คงไม่พ้นทะเลาะกับเขาไปตั้งนานแล้ว
เธอยังเชื่อว่าเขารักเธอ หรือก่อนหน้านี้เขาก็รักเธอมากเช่นกัน
แต่ทำไมเขาถึงแอบทำเรื่องพวกนี้กัน? เธอจะทำให้เขาสารภาพออกมาให้ได้
มารอดูกันว่าใครจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก่อนกัน
หญิงสาวปัดผมไปด้านหลัง และสีหน้าของเธอก็กลับมาปกติดังเดิม
เธอหมุนตัวและเดินเข้าไปหาเสิ่นอี้หลินในบ้าน
เมื่อคืนเธอบอกกับอี้หลินว่าจะมีคู่พี่สาวน้องชายอาเซียงกับอาจ้วงมาเรียนอ่านเขียนกับเขาในวันนี้
เดิมทีเสิ่นอี้หลินต้องการประท้วง แต่เซี่ยชิงหยวนสัญญากับเขาว่าจะเรียนแค่สี่สิบนาทีต่อวันเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ออกไปเล่นได้เมื่อเรียนเสร็จแล้ว และเธอยังจะทำปลาตุ๋นให้เขาเป็นอาหารกลางวัน ดังนั้นเด็กชายจึงยอมประนีประนอม
เมื่อมีความช่วยเหลือจากหลินตงซิ่วแล้ว เซี่ยชิงหยวนจึงสั่งซื้อผักเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบจินหลังจากไม่ได้ขายของหลายวัน
เดิมทีเธอต้องการสั่งเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบจิน
แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว หลังจากหยุดไปหลายวันเธอไม่รู้ว่าที่ตลาดตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เธอจึงสั่งมาก่อนที่หนึ่งร้อยยี่สิบจิน
ไม่พอขายดีกว่าเหลือเยอะ
เซี่ยชิงหยวนได้บอกกับอาเซียงและอาจ้วงเช่นกันว่าน้องชายของเสิ่นอี้โจวจะมาอยู่อาศัยด้วย
ดังนั้นเมื่อถึงเวลา อาจ้วงจึงนำของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เด็กผู้ชายชอบ เช่น ตั๊กแตนสานจากไม้ไผ่และปืนพกขนาดเล็กติดตัวมาด้วย
แน่นอนว่าสมาธิของเสิ่นอี้หลินก็ถูกดึงดูดไปทันที
แม้แต่ตอนที่เขากำลังเรียน เดิมทีเขาอยากจะละทิ้งแต่เพราะอาเซียงกับอาจ้วงที่จริงจังมากอยู่ข้าง ๆ เขาจึงหยุดความคิดที่จะเถลไถลและเริ่มจริงจัง
เซี่ยชิงหยวนลอบสังเกตอีกฝ่ายและพอใจกับแผนเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เธอหามาให้เสิ่นอี้หลิน
อาเซียงกับอาจ้วงรีบช่วยกันล้างผักหลังจากเลิกเรียน
เซี่ยชิงหยวนขอบคุณสองพี่น้องด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฉันก็ทำแค่คนเดียว ฉันจึงรับความช่วยเหลือจากพวกเธออย่างเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้แม่สามีของฉันอยู่ที่นี่แล้ว ทำให้ฉันมีผู้ช่วย ดังนั้นหลังจากนี้พอเรียนเสร็จแล้ว พวกเธอก็กลับไปช่วยงานที่บ้านต่อเถอะ”
เมื่ออาเซียงกับอาจ้วงได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ตื่นตระหนก
พวกเขายืมเงินของเซี่ยชิงหยวนมาและยังไม่สามารถจ่ายคืนได้ในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงช่วยเซี่ยชิงหยวนทำงานตามความสามารถ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
เมื่อเซี่ยชิงหยวนบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขาแล้วในตอนนี้ ทั้งยังคงจะสอนให้พวกเขาเรียนอ่านเขียนอีก แบบนี้พวกเขาจะยอมรับได้อย่างไร
พี่น้องทั้งสองโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “พี่เซี่ย ไม่เป็นไร กลับบ้านไปเราก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะสองพี่น้องที่โกหกไม่เก่งตรงหน้า
เธอพูดว่า “มีไร่ผักมากมายในครอบครัวของพวกเธอเชียวนะ และแข้งขาของพ่อพวกเธอก็ยังไม่หายดี พวกเธอจะปล่อยให้แม่ตัวเองทำงานหนักคนเดียวนาน ๆ รึไง”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าบางครั้งหลังจากที่สองพี่น้องมาส่งผักให้เธอ สองพี่น้องจะต้องแวะไปตลาดเพื่อขายผักอีก
ความล่าช้าดังกล่าว แม้ว่าจะไม่นานนัก แต่หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนกำลังขูดรีดแรงงานเด็กทั้งสองคนอยู่เสมอ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด สองพี่น้องก็ก้มหน้าด้วยความลำบากใจ
เซี่ยชิงหยวนปลอบโยน “พวกเธอไม่ต้องคิดว่าตัวเองเอาเปรียบฉันหรอก อันที่จริง ที่ฉันช่วยพวกเธอเพราะฉันมีเจตนาเห็นแก่ตัวด้วยต่างหาก และฉันก็ชอบผักของพวกเธอด้วยนี่จริงไหม?”
ดวงตาของอาเซียงกับอาจ้วงแดงเรื่อ
ไม่ว่าเซี่ยชิงหยวนจะขายของดีขนาดไหน มันก็ไม่จำเป็นต้องอุดหนุนผักของพวกเขาเลย
มีผักมากมายขายอยู่ในตลาด อีกทั้งบางเจ้าก็ขายราคาถูกกว่าของพวกเขามาก
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดก็เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
สองพี่น้องจึงไม่ดื้อรั้นอีกต่อไป
หลังจากขอบคุณเซี่ยชิงหยวนแล้ว พวกเขาก็กลับบ้านด้วยกัน
พวกเขาตัดสินใจว่าจะต้องปลูกผักให้ดีขึ้นเพื่อตอบแทนเซี่ยชิงหยวน
หลังจากอาเซียงกับอาจ้วงจากไป เซี่ยชิงหยวนก็พาเสิ่นอี้หลินไปที่สวนสาธารณะในเขตที่พัก
มีเด็กจำนวนมากกำลังเล่นอยู่ที่นี่ และมีคนแก่อยู่ข้าง ๆ พวกเขากำลังอุ้มทารกอยู่
เสิ่นอี้หลินมองอย่างโหยหา เขาอยากเข้าไปเล่นด้วยแต่ก็ขี้อายเกินกว่าจะเข้าหา
เซี่ยชิงหยวนลูบหัวของเด็กชายเพื่อเสริมความมั่นใจและพูดว่า “นายไม่ต้องกลัวหรอก และไม่จำเป็นต้องรู้สึกต่ำต้อยกว่าใครด้วย”
เธอหยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋า แสงแดดในยามเช้าส่องลงมาทำให้กระดาษห่อลูกอมที่มีสีสันเป็นประกายสวยงาม
เธอยิ้มและพูดว่า “ทำแบบในหมู่บ้านซีสุ่ยได้เลย ใช้แผนการที่ทำให้นายเคยได้เป็นราชาของเด็ก ๆ เหมือนที่เคยทำนั่นแหละ”
เสิ่นอี้หลินหัวเราะกับคำพูดของเซี่ยชิงหยวน
เขาหยิบลูกอมของอีกฝ่ายมา แน่นอนว่าเขาย่อมรู้วิธีใช้ลูกอมเหล่านี้ให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพวกเด็ก ๆ
เขาพูดว่า “พี่สะใภ้ ผมเข้าใจแล้วฮะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็กำลังจะรีบไปหาเด็ก ๆ คนอื่น
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงหยวนดึงเขากลับมาอีกครั้ง
เธอสั่งว่า “นายจำไว้นะ แม้เราไม่จำเป็นต้องกลัวใครเมื่ออยู่ที่นี่ แต่เราจะรังแกคนอื่นไม่ได้ ถ้ามีใครรังแกนาย นายสามารถตีกลับได้เลยถ้านายคิดว่าตัวเองเอาชนะอีกฝ่ายได้ และวิ่งถ้าเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นายเข้าใจไหม?”
เสิ่นอี้หลินรู้สึกเหลือเชื่อ ปกติแล้วเซี่ยชิงหยวนจะดูอ่อนโยนมาก แต่ตอนนี้เธอกลับสั่งสอนเขาแบบนี้น่ะเหรอ?
เขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เข้าใจแล้วครับ พี่สะใภ้!”
หลังจากพูดจบ เด็กชายก็โบกมือให้เซี่ยชิงหยวนและวิ่งไปทางกลุ่มเด็กคนอื่น ๆ อย่างมีความสุข
เซี่ยชิงหยวนยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้หลินสามารถเข้ากับพวกเด็กคนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงหันหลังและเดินกลับบ้าน
…
ในช่วงบ่าย เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถปฏิเสธการรบเร้าที่จะช่วยเหลือของหลินตงซิ่วได้อีกต่อไป ดังนั้นหลังจากที่จัดการเรื่องของเสิ่นอี้หลินเรียบร้อยแล้ว เธอจึงพาหลินตงซิ่วไปที่ตลาดขายผัก
เมื่อเจียงเพ่ยหลานเห็นหลินตงซิ่ว เธอก็ทักทายหญิงม่ายด้วยรอยยิ้ม “คุณป้า สวัสดีค่ะ”
หลินตงซิ่วยิ้มทักทายกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนได้บอกกับหลินตงซิ่วเอาไว้แล้วว่าเจียงเพ่ยหลานคือคนที่มาช่วยงานอีกคนและรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่สถาบันวิจัย
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าหลินตงซิ่วจัดการกับผู้คนไม่เก่ง แต่อีกฝ่ายเชี่ยชาญในการชั่งน้ำหนัก ดังนั้นเธอจึงมอบหมายงานชั่งน้ำหนักให้กับหลินตงซิ่ว
เมื่อถึงเวลา ผู้หญิงวัยกลางคนที่ตั้งแผงขายสลัดเย็นเลียนแบบก็มาขายสลัดเย็นด้วยรถเข็นเหมือนเดิม
แต่วันนี้เซี่ยชิงหยวนค้นพบว่าราคาขายของอีกฝ่ายลดลงไปเหลือ 2.5 เหมาต่อจิน
เซี่ยชิงหยวนถามเจียงเพ่ยหลาน “ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงลดราคาลงอีกแล้วล่ะ?”
เจียงเพ่ยหลานพูดว่า “ตอนที่เราหยุดร้านไปเมื่อสองสามวันก่อน ผู้หญิงคนนั้นคงคิดว่าลูกค้าของเราจะย้ายไปซื้อร้านของตัวเอง นางก็เลยทำสลัดเย็นมากกว่าเดิม ทว่่ากลับขายไม่หมดเสียเกินครึ่ง อีกทั้งยังมีคนมาบ่นว่าสลัดเย็นที่เธอขายรสชาติไม่ได้เรื่อง บางคนถึงกับมาตำหนิว่าท้องเสียเลยนะ จากนั้นก็ไม่มีใครซื้อสลัดเย็นของเธออีกเลย แม้เธอจะพยายามลดราคาก็ตาม”
แม้จะไม่ได้ขายของมาสองสามวัน แต่เจียงเพ่ยหลานก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ของตลาดอยู่เสมอ
เซี่ยชิงหยวนฟังและพยักหน้า “เป็นแบบนั้นนี่เอง”
เหตุการณ์นี้ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนยืนยันในตอนนั้นถูกต้อง
เนื่องจากหญิงสาวปิดร้านมาสองสามวันแล้ว วันนี้จึงมีคนจำนวนมากที่คิดถึงสลัดผักเย็นของเธอ
ยังไม่ทันที่เซี่ยชิงหยวนจะทันได้ตะโกนขายด้วยซ้ำ ผู้คนก็แห่กันมาที่แผงขายสลัดเย็นที่คุ้นเคยกันแล้ว
ผู้หญิงวัยกลางคนที่ขายสลัดเย็นอยู่ทางด้านข้างเห็นภาพเหล่านั้นแล้วดวงตาพลันแดงก่ำ
แต่เพราะบทเรียนจากคราวที่แล้ว ผู้หญิงคนนี้จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่แรงมือที่กวนสลัดเย็นนั้นกลับแรงขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งลูกค้าที่อยู่หน้าแผงขายของเซี่ยชิงหยวนส่งเสียงไม่พอใจ “คุณกวนผักแรงขนาดนั้น พวกมันก็ช้ำกันพอดีสิ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้หญิงวัยกลางคนถึงได้รู้ตัว
เมื่อครู่เธอลืมตัวเพราะเอาแต่พยายามคิดหาวิธีที่จะเอาชนะเซี่ยชิงหยวน
วันนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของหลินตงซิ่ว พวกเขาจึงขายสลัดเย็นหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนจ่ายค่าแรงของเจียงเพ่ยหลาน จากนั้นเดินไปซื้อของแห้งสำหรับทำสลัดเย็นในวันรุ่งขึ้นกับหลินตงซิ่ว และขี่สามล้อกลับบ้านด้วยกัน
เซี่ยชิงหยวนกำลังถีบรถสามล้ออยู่ทางข้างหน้า ขณะที่หลินตงซิ่วนั่งอยู่เบาะหลัง พวกเธอยิ้มอย่างมีความสุข
เธอมีความสุขมากจริง ๆ
ทว่าเมื่อผ่านทางแยก เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากข้างหน้า
เธอจึงพบว่ามันคือรถบรรทุกขนาดเล็กที่หลุดการควบคุมและชนแผงลอยนับไม่ถ้วนตลอดทาง กำลังมุ่งตรงมาหาเธอ
มีฝูงชนตื่นตระหนกอยู่ข้างหน้าและเธอไม่สามารถขยับตัวบนจักรยานสามล้อได้แม้แต่นิ้วเดียว
เซี่ยชิงหยวนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “แม่คะ กระโดดลงจากรถ!”
หลินตงซิ่วนั่งอยู่ทางด้านหลัง และร่างของเซี่ยชิงหยวนก็บดบังการมองเห็นของเธอ หญิงวัยกลางคนไม่อาจตอบสนองไปชั่วขณะและต้องการมองไปข้างหน้า
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นว่าไม่ทันเวลาแล้วเธอจึงกระโดดลงจากรถ แล้วดึงหลินตงซิ่วออกมาจากรถพร้อมกัน
เมื่อหญิงสาวดึงหลินตงซิ่วออกมา ความเร็วของรถบรรทุกคันเล็กก็ช้าลงแล้ว และมันอยู่ห่างจากเธอมากกว่าสิบเมตร
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังรถสามล้อ หม้อและกระทะบนรถ เธอรู้สึกไม่เต็มใจที่จะเสียไป
เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าคว้าหน้ารถสามล้อและต้องการจะลากไปทางด้านข้าง
ทว่าเธอยังก้าวช้าเกินไป ท้ายรถสามล้อเฉี่ยวเข้ากับกระโปรงหน้าของรถบรรทุกเล็ก!
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ข้างรถสามล้อและสายเกินไปที่จะหลบ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังจะถูกรถสามล้อชน ทันใดนั้นร่างที่แข็งแรงก็พุ่งออกมาจากด้านข้าง
ท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคนและเสียงกรีดร้องของหลินตงซิ่ว ร่างที่แข็งแรงนั้นจับเอวของเซี่ยชิงหยวนไว้ กล้ามเนื้อแขนของเขาปูดขึ้นมา ในชั่วพริบตาเขาก็พาเซี่ยชิงหยวนไปยังตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปสองเมตร
ผิวของชายคนนั้นเป็นสีข้าวสาลีดูมีสุขภาพดี และเหงื่อยังคงไหลหยดลงมาจากหน้าผากของเขา
ดวงตาของเขาดูเฉียบแหลม ใบหน้าของเขาเย็นชาและแข็งกระด้าง สรุปโดยรวมคือเขาเป็นผู้ชายที่ดูสมเป็นชายชาตรีมาก
เขาเอ่ยถามขึ้นมา “คุณเป็นอะไรไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนเพิ่งฟื้นจากอาการตกใจเมื่อครู่นี้
เธอพูดด้วยความงุนงงว่า “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร”
ขณะที่เธอพูด เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา
ชายคนนั้นเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยังคงจับตัวอีกฝ่ายอยู่ เขาจึงรีบปล่อยมือทันที
เอวที่นุ่มนวลและกลิ่นกายของผู้หญิงคนเมื่อครู่ดูจะยังติดอยู่ที่ปลายนิ้วและจมูกของเขา จากนั้นชายคนนั้นก็หน้าแดงเล็กน้อย
เขาพูดว่า “ผมขอโทษครับ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณเพิ่งช่วยฉันไว้นี่”
หลินตงซิ่วผลักฝูงชนและรีบวิ่งเข้ามาหา
เธอตรวจดูเซี่ยชิงหยวนอย่างกังวล จากนั้นโค้งคำนับให้ชายผู้นั้นด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณนะคะ!”
ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าและช่วยหลินตงซิ่วประคองให้ลุกขึ้น “คุณป้าไม่ต้องเกรงใจครับ มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว”
หลินตงซิ่วตกใจจนน้ำตาไหล
เธอไม่สนใจที่จะเช็ดมันออกก่อนจะถามว่า “ขอโทษนะคะ คุณชื่ออะไรเหรอ? วันหลังเราจะไปขอบคุณคุณแน่นอน”
ชายหนุ่มคิดในใจว่าการช่วยเหลือผู้คนไม่จำเป็นต้องทิ้งชื่อไว้
แต่เมื่อเขาสบกับดวงตาที่ใสราวกับดวงแก้วของเซี่ยชิงหยวน เขาก็พูดทันทีว่า “ผมชื่อหลิงเยี่ยครับ”