บทที่ 165 เขามองเธอด้วยสายตาไม่เหมือนเดิม
บทที่ 165 เขามองเธอด้วยสายตาไม่เหมือนเดิม
เซี่ยชิงหยวนกำผ้านวมแน่น ขณะกัดฟัน “มึนหัวก็เรื่องของคุณสิ”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “ไม่ คุณทนไม่ได้หรอก”
เซี่ยชิงหยวน “งั้นคุณก็ไปปิดไฟสิ!”
เสิ่นอี้โจว “ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำกันตอนสว่างสักหน่อย”
เซี่ยชิงหยวน “!”
หญิงสาวรีบพูดโพล่งว่า “นั่นไม่นับสิคะ ไม่อย่างนั้นก็ตกเตียงกันพอดีสิ”
เสิ่นอี้โจว “อ้อ คุณคงรู้สึกผิดสินะ งั้นผมจะพาคุณไปลองวันพรุ่งนี้แล้วกัน”
ทำไมชายคนนี้ถึงหน้าหนาแบบนี้นะ?
เธอกัดหัวไหล่เขา “ตั้งใจหน่อยสิ!”
…
การค้าขายของร้าน ‘ในตรอกเก่า’ ดีขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนลูกค้ารายวันก็คงที่แล้ว
นอกจากวุ้นถั่วแล้ว เซี่ยชิงหยวนยังเพิ่มเมนูยำปลาคาร์ปไม้กางเขนกับยำหนังหมู
วิธีการทำยำปลาคาร์ปไม้กางเขนเหมือนเดิมกับครั้งก่อน และเธอยังได้ปรับปรุงวิธีการปรุงหนังหมูตามสูตรดั้งเดิม เพื่อให้รสชาติของมันเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากขึ้น อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นคาวแปลก ๆ ด้วย
เซี่ยชิงหยวนเริ่มจากล้างและขจัดไรขนออกจากหนังหมู ลนมันด้วยไฟ จากนั้นขูดรอยไหม้และกรอบเหลืองด้วยมีด ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยขจัดกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากนั้นใส่หนังหมูลงไปในน้ำ ตามด้วยหอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม จากนั้นปรุงรสด้วยเหล้า โป๊ยกั๊ก และส่วนผสมอื่น ๆ ต้มรวมกันในหม้อ
ต้มจนกระทั่งเนื้อหมูเริ่มเปื่อยพอที่จะแทงด้วยตะเกียบ แล้วจึงนำออกจากหม้อ
ถัดมา หญิงสาวคว้านไขมันส่วนเกินจากหนังหมูต้มสุกออกมา หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้ววางผึ่งลมให้แห้ง
ด้วยวิธีนี้ หลังจากผ่านไปสองสามวัน หนังหมูจะแห้งและบางนุ่ม
เวลาทำยำหนังหมู ให้ใส่หนังหมูแห้งลงในกระทะน้ำมัน แล้วทอดช้า ๆ มันจะกลายเป็นหนังหมูสีเหลืองทอง
ด้วยเนื้อหนั่นแน่น เพียงแค่กัดเบา ๆ ก็ได้ยินเสียงกรุบกรอบ ซึ่งเสียงกรุบ ๆ นั่นฟังแล้วเย้ายวนมาก
สุดท้ายจึงคลุกเคล้าหนังหมูกับน้ำยำเท่านี้ก็พร้อมแล้ว
แม้ว่ายำหนังหมูจะใช้เวลาทำนาน หลังจากทำให้แห้งและทอดแล้ว มันจะสูญเสียน้ำหนักไปมาก แต่รูขนาดเล็กที่ดูดซับน้ำยำเข้าไปในภายหลัง จะทำให้มันกลับมามีน้ำหนักอีกครั้ง
ทุกคำที่กัดจะมีน้ำยำเข้มข้นทะลักอยู่ในปาก ทำให้คนกินแทบอยากกลืนลิ้นตัวเอง
เซี่ยชิงหยวนซื้อปลาคาร์ปจากบ้านอาเซียง ส่วนหนังหมูนั้น เธอซื้อมาจากเถ้าแก่ขายเนื้อหมูซึ่งเก็บบางส่วนไว้ให้เธอ หลังจากที่พวกเขาปิดแผงขายในช่วงบ่าย
ยำปลาคาร์ปไม้กางเขนตั้งราคาไว้ที่จินละแปดเหมา และยำหนังหมูมีราคาจินละหกเหมา
เมื่อเพิ่มสองเมนูนี้เข้ามา ทำให้รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อวันมีมากกว่าที่เซี่ยชิงหยวนคิดไว้ประมาณเก้าสิบหยวน
หญิงสาวคิดว่าด้วยความเร็วเท่านี้ เวลาที่เธอจะเดินทางไปยังมณฑลทางใต้เพื่อเริ่มธุรกิจขายเสื้อผ้าน่าจะยิ่งไวขึ้น
…
ในบ่ายวันหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนกำลังทักทายลูกค้าตามปกติ
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณลูกค้าต้องการอะไร…” สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนแข็งทื่อ จากนั้นเธอคลี่ยิ้มบางออกมา “คุณเองเหรอ? บังเอิญจังเลยนะคะ”
เป็นฉู่ซิงอวี่นั่นเองที่เดินเข้ามา อีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว แว่นตากรอบทองขณะส่งยิ้มให้เธอ
เขาพูดว่า “คงงั้นครับ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ”
เขาเพิ่งกลับจากการไปทำธุระที่อีกเมืองหนึ่งมา
เมื่อเดินผ่านตลาด เขาต้องการซื้อผักบางอย่างสำหรับอาหารเย็น
แต่ทันทีที่เดินเข้ามาในตลาด เขาก็เห็นป้ายร้าน ‘ในตรอกเก่า’ แต่มาไกล
ด้วยประตูสีฟ้าอ่อน ผนังสีขาว และดอกไม้ป่าหลากสีสันขนาดเล็ก ซึ่งวางอยู่บนตู้กระจก ร้านเล็ก ๆ ที่อบอวลด้วยกลิ่นอาหารหอมกรุ่นและบรรยากาศอบอุ่นจึงดึงดูดความสนใจของเขาทันที
เมื่อเขาเดินเข้ามาดู จึงพบว่ามันคือร้านข้าวยำขนาดเล็ก
แต่ตอนนี้เวลาเพียงสี่โมงกว่าเท่านั้น คนก็เต็มร้านแล้ว
ตอนแรกเขาไม่ชอบกินยำเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเสียงไพเราะของผู้หญิงแว่วเข้ามาในหูเขา ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักทันใด
ชายหนุ่มหมุนกายอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเดินตามทิศทางเสียงมา
ใบหน้างามของเซี่ยชิงหยวนปรากฏแก่สายตาของเขา
ชั่วขณะหนึ่ง ฉู่ซิงอวี่ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเขา
มันราวกับเขามองหาเธอเป็นพัน ๆ ครั้งในฝูงชน แต่แล้วเมื่อหันกลับไปก็เห็นเธออยู่ในที่ที่มีแสงสลัว
นี่เรียกว่า ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา*[1]
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นตัวเขา เธอยังจำเขาได้ด้วย!
เขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดหลังจากผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมา
เขาดันแว่นตาที่ใกล้จะเลื่อนหลุดจากดั้งให้เข้าที่และส่งยิ้ม พยายามทำให้ตัวเองดูใจเย็น
เขาพูดว่า “ครับ มันบังเอิญจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้เลยว่าภายใต้ท่าทีที่สงบของเขานั้น กระแสอารมณ์ภายในใจของเขากำลังกระเพื่อมไหว
สาเหตุที่เซี่ยชิงหยวนจำฉู่ซิงอวี่ได้ เป็นเพียงเพราะเธอมีความทรงจำที่ดีมากก็แค่นั้น
นอกจากนี้ เขายังอ่อนโยนและดูสุภาพ ซึ่งน่าประทับใจกว่าคนทั่วไป
เซี่ยชิงหยวนทักทายเขา “คุณจะซื้อสลัดเย็นเหรอคะ?”
เขาตกตะลึงไปชั่ววินาทีแล้วพูดว่า “อืม เอาเป็นสลัดเย็นแล้วกันครับ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก “คุณชอบแบบไหนคะ หรือคุณจะลองชิมยำปลาคาร์ปไม้กางเขนกับยำหนังหมูที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ของเราดี?”
ฉู่ซิงอวี่บังคับตัวเองให้ละสายตาจากใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน เบนมองไปยังหม้อสลัดเย็นในตู้กระจก และสั่งเมนูสองสามอย่างสบาย ๆ ด้วยการชี้นิ้ว
แน่นอนว่า ยังมียำปลาคาร์ปไม้กางเขนกับยำหนังหมูที่เซี่ยชิงหยวนแนะนำ
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าฉู่ซิงอวี่เพิ่งมีครอบครัว และจำนวนสมาชิกครอบครัวคงมีไม่มากนัก ดังนั้นเธอจึงตักยำอย่างละน้อย ก่อนชั่งตวงทุกอย่าง ห่อมันแล้วยื่นให้เขา “ทั้งหมดหนึ่งหยวนหกเหมาค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่รับสลัดเย็นและปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับปลายนิ้วของเซี่ยชิงหยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาตกใจมากจนเกือบทำของในมือหล่น แต่เซี่ยชิงหยวนเพียงแค่ยิ้มจาง ๆ
ในสายตาของเธอ เรื่องแบบนี้ไม่ได้ชวนน่าคิดนัก แต่ละวันมีคนมาซื้อสลัดเย็นของเธอเป็นจำนวนมากและเร็วมาก บางครั้งปลายนิ้วของลูกค้าจะสัมผัสกับปลายนิ้วของเธอระหว่างรับส่งของก็เกิดขึ้นบ่อย
เมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้านิ่งสงบของเซี่ยชิงหยวน ฉู่ซิงอวี่ก็ด่าว่าตัวเองโง่อยู่ในใจ
เขาขอบคุณเธอ “ขอบคุณครับ”
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนโค้งขึ้น “ด้วยความยินดีค่ะ คุณสามารถกลับมาอุดหนุนใหม่ได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
ประโยคปิดท้ายนี้เป็นประโยคที่ธรรมดามาก
เซี่ยชิงหยวนจะพูดแบบนี้กับลูกค้าทุกคน
แต่ฉู่ซิงอวี่กลับรู้สึกแตกต่างออกไป
ใบหน้าของเขาแดงจากกกหูลามไปถึงลำคอ จากนั้นเขาพูดว่า “ได้ครับ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะแวะมาอีก”
หลังพูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับถุงสลัดเย็น
เซี่ยชิงหยวนเห็นเขาถือสลัดเย็นไว้ในอ้อมแขนและต้องการเตือนเขา แต่เขาเดินจากไปแล้ว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจียงเพ่ยหลานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เธอพูดว่า “คนคนนี้น่าสนใจจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า แต่ไม่ได้จริงจัง “ก็จริง”
หลินตงซิ่วก็มองตามหลังฉู่ซิงอวี่ไป จากนั้นเธอก็พูดว่า “แม่รู้สึกคุ้น ๆ ชายคนนี้นะ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ตอนที่เราจะไปเก็บหอยขมที่แม่น้ำ พอเรากลับเกือบถึงประตูบ้าน แล้วผักหล่นจากรถ เขาคือคนที่มาช่วยเราเก็บของในวันนั้นยังไงล่ะคะแม่”
หลังจากเซี่ยชิงหยวนพูดจบ หลินตงซิ่วพลันนึกขึ้นมาได้ “โอ้ เป็นเขานี่เอง”
…
เมื่อหลิงเยี่ยกลับมาที่หอพักในคืนนั้น เขาเห็นฉู่ซิงอวี่กำลังทานอาหารเย็น
ตรงหน้าของฉู่ซิงอวี่คืออาหารเย็นสองจาน จานหนึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติและอีกจานเป็นเนื้อ
หลิงเยี่ยประหลาดใจ “นายไม่ชอบสลัดยำไม่ใช่เหรอ?”
ฉู่ซิงอวี่เรียกอีกฝ่ายมาลองชิม “อันนี้แตกต่างกันนะ รสชาติดีมาก มีปลากับหนังหมูด้วย”
หลิงเยี่ยหยิบขวดเหล้าเข้ามา และไปที่ห้องครัวเพื่อเอาถั่วลิสงทอดมาเพิ่ม “มาดื่มกันหน่อย”
เมื่อได้กลิ่นอาหารเย็น หลิงเยี่ยพลันรู้สึกซึมเซาทันที
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยช่วยเธอในอ้อมแขน สายตาของเธอสดใสและตื่นตระหนกเหมือนกวางน้อย
เขาส่ายหัวและดื่มกับฉู่ซิงอวี่ “ภายกิจล่าสุด นายได้ประสบการณ์อะไรดี ๆ บ้าง?”
…
ตั้งแต่นั้นมา ฉู่ซิงอวี่จะไปที่ร้าน ‘ในตรอกเก่า’ เพื่อซื้ออาหารเย็นทุก ๆ สองสามวัน
เขามักจะไปในตอนบ่ายเมื่อร้านกำลังจะปิด และซื้ออาหารครั้งละประมาณสองอย่าง จากนั้นยืนอยู่หน้าตู้กระจกและพูดคุยกับเซี่ยชิงหยวนสองสามคำ
ทั้งสองค่อย ๆ รู้จักกันเหมือนเถ้าแก่และลูกค้าประจำ
แต่เจียงเพ่ยหลานเห็นอย่างอื่นในดวงตาของฉู่ซิงอวี่
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในขณะที่หลินตงซิ่วกำลังเดินออกไป หญิงสาวก็พูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ชิงหยวน เธอไม่คิดบ้างเหรอว่ามีบางอย่างผิดปกติกับผู้ชายคนนั้นที่มาซื้อสลัดเย็นอยู่เสมอน่ะ”
“ผู้ชายคนไหน?” เซี่ยชิงหยวนงงงวย
ตอนนี้ร้านของพวกเธอมีลูกค้าประจำทั้งชายและหญิงอยู่มากมาย
เจียงเพ่ยหลานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอธิบายให้ชัดเจนขึ้น “ผู้ชายที่ใส่แว่น สูงผอมที่ดูหล่อ ๆ คนนั้นน่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนจำได้แล้ว
แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าฉู่ซิงอวี่มีปัญหาตรงไหน
เธอถามอีกครั้ง “เขาผิดปกติตรงไหนเหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของเซี่ยชิงหยวน เจียงเพ่ยหลานก็พูดง่าย ๆ ว่า “เธอไม่คิดว่าเขากำลังสนใจเธออยู่เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนขมวดคิ้ว “หา?”
เธอตกตะลึง “ไม่มีทาง? ทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย”
เซี่ยชิงหยวนประหม่ามากเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง
เจียงเพ่ยหลานอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล “เธอไม่ได้สังเกตเลยเหรอ? ทุกครั้งที่เขามองเธอ แววตาของเขาดูแตกต่างจากคนอื่นใช่ไหมล่ะ?”
เมื่อเจียงเพ่ยหลานพูดอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
ในชีวิตทั้งสองชาติ หญิงสาวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงแค่กับผู้ชายอย่างเสิ่นอี้โจวฉันสามีภรรยาเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย
ทุกครั้งที่พูดคุยกับฉู่ซิงอวี่ เธอก็สนทนาเช่นเดียวกับที่คุยกับลูกค้าคนอื่น เป็นการพูดคุยทั่วไปเพียงไม่กี่คำ
จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของกันและกันด้วยซ้ำ
เรียกว่าแทบไม่รู้จักกันเลยก็ได้มั้ง?
ขณะที่คนทั้งสองคุยกันอยู่ ฉู่ซิงอวี่ก็วกกลับมาอีกครั้ง
ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น เขาก้าวขายาวเดินเข้ามา
ชายหนุ่มส่งยิ้มบางให้แก่เธอและทักทายเช่นเดียวกับที่ผ่านมา “สวัสดีครับ ผมมาซื้อสลัดเย็นน่ะ”
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา หมายถึง เพียรตามหาแทบพลิกแผ่นดิน แต่เมื่อเลิกสนใจ กลับได้รับมาอย่างง่ายดายโดยไม่คาดฝัน
********************************