บทที่ 167 ผมจะอยู่กับคุณทุกที่
บทที่ 167 ผมจะอยู่กับคุณทุกที่
เซี่ยชิงหยวนระงับเสียงอุทานที่โพล่งออกมา จากนั้นโน้มตัวกอดคอของเสิ่นอี้โจวไว้อย่างเชื่อฟัง
เธอเอียงศีรษะไปทางด้านหลัง คอเรียวยาวราวกับหงส์ปรากฏแก่สายตาอย่างเด่นชัด
ขาเรียวขาวที่แกว่งไปมาอยู่ข้างกายเขาสั่นเป็นระยะ ๆ
เธอเม้มปากแน่น ราวกลั้นไม่ไหวแล้ว
ประหนึ่งแมวตัวน้อยกำลังครวญครางอย่างแผ่วเบา
หลังเท้าของเธอเกร็งจนงอและนิ้วเท้าก็งุ้มเข้าหากัน
เล็บมือที่ตัดเรียบกริบแล้วฝากรอยข่วนแดงบนแผ่นหลังของเสิ่นอี้โจวไว้มากมาย
ถ้าไม่ใช่เพราะมีร่มผ้าขวางไว้ แผ่นหลังของชายหนุ่มคงเต็มไปด้วยคราบเลือดแล้ว
น้ำตาเอ่อล้นจากหางตาของเซี่ยชิงหยวน หญิงสาวร้องขอความเมตตาว่า “เรากลับไปที่ห้องกันเถอะนะ”
เธอคงไม่กล้าพูดแบบนี้ ถ้าไม่เกรงว่าคนในห้องข้างเคียงจะสังเกตพบ หรือได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของพวกเธอและเดินเข้ามาดู
ถ้าถูกเจอในสภาพนี้จะทำยังไง?
ฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นอี้โจวโอบเอวเธอไว้ ดึงหญิงสาวเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น
เขาจูบติ่งหูของเธอแผ่วเบา เสียงของเขาทั้งแหบแห้งและทุ้มต่ำ “โต๊ะตัวนี้คุณภาพดีมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณประหม่าแบบนี้ล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนใกล้จะร้องไห้
เธอทุบไหล่ของเขาอย่างแรง “ทำไมคุณถึงทำตัวแย่แบบนี้!”
เสิ่นอี้โจวยิ้มอย่างอ่อนโยน
ด้วยหน้าอกของทั้งสองที่แนบชิดกัน เสียงของเธอจึงราวกับส่งผ่านมาทางร่างกาย
ชายหนุ่มดูจะมีความสุขมาก จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมแย่ตรงไหน?”
ขณะที่กล่าว เขาก็กอดเธอในท่าเดิมเหมือนก่อนหน้านี้
เซี่ยชิงหยวนกัดริมฝีปากของเธอทันที
เธอจ้องมองเขาอย่างกล่าวหาโดยไม่พูดอะไรอีก
เสิ่นอี้โจวมักทำตัวดูจริงจังและดื้อรั้นเสมอ แต่พอเป็นเรื่องอย่างนี้ทีไร เขากลับทำตัวเป็นอันธพาลเสียจริง
เธอไม่อยากจะเชื่อและถามว่า “คุณเป็นแบบนี้มากี่ปีแล้วคะเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวตอบว่า “ผมรอคุณมาตลอด ดังนั้นมันจึงความรักมากมายอยู่ที่นี่เสมอ”
เขาเดินเข้าหาเธอ “ผมจะแสดงให้คุณเห็นทุกวันเลย ดีไหม?”
เซี่ยชิงหยวนพูดอะไรไม่ออกทันที “!”
คราวนี้เธอร้องไห้แล้วจริง ๆ “คราวหลังฉันจะไม่สนใจคุณแล้ว!”
เสิ่นอี้โจวจุ๊บมุมปากของเธอ “งั้นผมจะดูแลคุณเอง”
…
เซี่ยชิงหยวนไปยังร้าน ‘ในตรอกเก่า’ ในวันรุ่งขึ้นด้วยอาการปวดเอว
เมื่ออาเซียงมาถึง เซี่ยชิงหยวนก็เล่าเรื่องการเดินทางไปยังมณฑลทางใต้ให้เด็กสาวฟัง
หลังจากเซี่ยชิงหยวนบอกอาเซียงเรื่องธุรกิจขายเสื้อผ้าเมื่อคราวก่อน อาเซียงก็กลับไปบอกพ่อแม่ของเธอแล้ว
ตอนแรกพวกเขากังวลเกี่ยวกับลูกสาวตัวเอง และเมื่อได้ยินว่าเธอจะไปกับเซี่ยชิงหยวน พวกเขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
เซี่ยชิงหยวนเป็นคนที่สวยมาก ดังนั้นจึงยิ่งตกเป็นเป้าหมายของผู้คนได้ง่าย
เป็นเพราะอิทธิพลของเสิ่นอี้โจวในเมืองเตียนเฉิง เซี่ยชิงหยวนจึงสามารถทำธุรกิจได้อย่างปลอดภัย
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสาวสวยคนอื่น ปัญหาคงมาเยือนถึงหน้าร้านตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านแล้ว
คราวนี้ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเธอเดินทางไปยังมณฑลทางใต้กันเอง?
แต่เมื่อเห็นความโหยหาในดวงตาของอาเซียงแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ไม่อาจทำลายความหวังของลูกสาวได้
เขาครุ่นคิด “เมื่อลูกกับพี่เซี่ยของลูกคนนั้นออกไปข้างนอกต้องระวังตัวกันนะ โดยเฉพาะพี่เซี่ยของลูก ลูกต้องปกป้องเธอให้ดี”
อาเซียงเข้าใจสิ่งที่บิดากล่าวทันที
เธอพยักหน้าอย่างมีความสุขและพูดว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ! หนูจะดูแลพี่เซี่ย และตัวเองอย่างดีที่สุดแน่นอน!”
…
เมื่อพบกับเซี่ยชิงหยวน อาเซียงก็พยักหน้าและพูดว่า “พี่เซี่ย ฉันบอกเรื่องของเรากับพ่อแม่แล้วค่ะ”
เธอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันต้องเตรียมอะไรบ้างคะ พวกเราจะไปกันกี่วัน? อากาศที่นั่นเป็นยังไงบ้าง? ควรเอาเสื้อผ้าแบบไหนไปคะ?”
เมื่อเห็นเด็กสาวตื่นเต้นมาก เซี่ยชิงหยวนก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอพูดว่า “ถ้ารวมเวลาเดินทางบนท้องถนนละก็ เราจะใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงแปดวัน สิ่งที่เราต้องเตรียมไปก็คล้ายกับการเดินทางทั่วไป เตรียมไว้สำหรับหลายวันหน่อยล่ะ ส่วนเสื้อผ้า ถ้าเธอมีชุดฮั่นฝู*[1] ก็เอามาแล้วกัน แต่ถ้าไม่มีก็มายืมพี่ก่อนได้ เดี๋ยวฉันจะปรับแก้ขนาดให้”
อาเซียงพยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปขอให้แม่หาชุดให้ก่อนนะคะ”
ดังนั้นทั้งสองจึงนัดกันเดินทางไปยังมณฑลทางใต้ในอีกสองวัน
เซี่ยชิงหยวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเตรียมยารักษาโรคทางเดินอาหาร ยากันยุงไว้เรียบร้อย
อากาศในพื้นที่ทางตอนใต้ค่อนข้างร้อนชื้น ตอนที่เธอไปถึงที่นั่นเมื่อชาติที่แล้ว หญิงสาวมีอาการปวดท้องปวดไส้อยู่หลายวัน
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังมณฑลทางใต้พอดี
ทว่านอกจากเสิ่นอี้โจวแล้ว หลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินที่อยู่ที่บ้านกลับไม่ค่อยสบายใจนัก
หลินตงซิ่วกล่าวอีกว่า “ให้แม่ไปด้วยเถอะ แม่จะได้ดูแลลูกด้วย”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะและพูดว่า “คุณแม่คะ หนูไปที่นั่นแค่ไม่กี่วันเอง แล้วหนูจะกลับมาในไม่ช้าค่ะ”
เสิ่นอี้หลินมองจากด้านข้างโดยไม่ส่งเสียง
แต่ความกังวลและความสงสัยในแววตาของเขายังชัดเจน
เสิ่นอี้โจวซึ่งยังคงสงบนิ่งหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “ชิงหยวนดูแลตัวเองได้ครับแม่ และผมก็มีคนรู้จักที่นั่นที่สามารถดูแลเธอได้เมื่อถึงเวลาด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ชำเลืองมองไปยังเสิ่นอี้โจวและถามเขาว่าจริงหรือไม่
ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแล้วจับมือเธอไว้
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย หลินตงซิ่วก็หยุดโน้มน้าวทันที
เธอแค่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกสะใภ้เท่านั้น
…
เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอน เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถามเสิ่นอี้โจวว่า “ทำไมคุณดูจะไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับฉันเลยล่ะ?”
นอกจากอาเซียงที่มาบ้านของเธอ ทุกคนล้วนแสดงท่าทีกังวลไม่มากก็น้อย ทว่าเสิ่นอี้โจวกลับดูใจเย็นเหลือเกิน ทั้งยังไม่มีแม้แต่การคัดค้านสักคำ
เสิ่นอี้โจวลูบสายคาดผมของภรรยา “ถ้าผมบอกว่ากังวล คุณจะเปลี่ยนใจไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนแข็งทื่อไป ก่อนจะส่ายหัวพรืด “ม่ายยย”
ท่าทีของเสิ่นอี้โจวดูจะอ่อนลงเล็กน้อย “งั้นคุณต้องทำอะไรล่ะ? ก็แค่ทำมันก็พอ จงพึงระลึกไว้เสมอว่าตราบใดที่คุณต้องการพึ่งพาผม ผมจะเป็นผู้ช่วยเหลือคุณเสมอ”
ตอนที่ผู้เป็นภรรยากล่าวว่าต้องการขายเสื้อผ้าเป็นครั้งแรก เขาก็ตระหนักได้แล้วว่า ภายในใจของเธอมีอิสรเสรีแฝงอยู่
โดยเฉพาะเมื่อเธอบอกว่ากำลังจะไปซื้อของที่มณฑลทางใต้ แม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
ชายหนุ่มค้นพบว่าหลังจากเกิดใหม่ ไม่ได้มีเพียงเขาที่เปลี่ยนไป แต่เธอก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
เธอมีความคิดและวิถีดำเนินชีวิตของตัวเอง ซึ่งเขาไม่ต้องการมัดเธอไว้กับตัวด้วยการนำความรักมาเป็นข้ออ้าง
ดังนั้น สิ่งที่เขาทำได้คือดูแลทุกอย่างเพื่อให้เธอหมดห่วง
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในหัวใจของเธอ ราวกับกระแสน้ำระลอกแล้วระลอกเล่าที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจทั้งดวง
ในเวลาเดียวกันนั้น ปลายจมูกของเธอก็พลันปวดหนึบขึ้นมา
เธอเข้าหาเขาและกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน “อี้โจว ขอบคุณนะ”
เสิ่นอี้โจวสวมกอดเธอเช่นกัน พลางวางคางไว้บนศีรษะของเธอ
ความชื้นบาง ๆ แล่นผ่านในดวงตาของเขา ชายหนุ่มหลับตาลงชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเขาพูดว่า “ถ้าจะขอบคุณ ผมจะมีความสุขมากกว่าถ้าคุณทำในสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้นะ”
จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขา และจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เอวของเธอยังคงมีอาการปวดอยู่เลยนะ “อะไร…รูปธรรมอะไร?”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอแน่น “คุณคิดว่าอะไรล่ะ?”
[1] ชุดฮั่นฝู เป็นชุดประจำชาติของชาวฮั่นในสมัยโบราณจนกระทั่งถึงตอนที่ราชวงศ์หมิงล่มสลาย จากนั้นชาวแมนจูที่ย้ายถิ่นเข้ามาได้นำชุดฮั่นฝูมาดัดแปลงร่วมกับชุดของชาวแมนจูในภายหลัง จึงเรียกว่า ‘กี่เพ้า’