“โอ้ว ต้องเย่อหยิ่งและเย็นชาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ตู๋กูซิงหลันจับหัวใจตนเองเอาไว้
“ช่างบังเอิญจริงๆ ทั้งอาจารย์ของข้า และเสี่ยวเฉวียนเฉวียนของข้า ก็เย่อหยิ่งและเย็นชาเหมือนกับเจ้าเลย!” นางยังคงพูดต่อไป ขณะที่ในใจก็คิดไปด้วย อืม เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ตอนแรกๆก็เป็นฮ่องเต้สุนัขที่เย่อหยิ่งและเย็นชา
แต่ว่าพอเวลาผ่านไปนานเข้า ก็ไม่ได้เย็นชากับนางอีกแล้ว แถมบางครั้งยังทำตัวโง่งมกับนางเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน
“เจ้าบอกว่าข้าจำคนผิด…. แล้วกล้าให้ข้าเปิดบั้นเอวของเจ้าดูหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันยังคงดื้อดึงดุจลาตัวหนึ่ง ซักไซ้ไม่ยอมลดละ
ทั้งยังไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์เช่นไร ยังจะมีใครหน้าด้านได้กว่านี้อีกไหม?
ต้องขออภัยด้วยจริงๆ …. นางไม่เคยสนใจเรื่องรักษาหน้าตาหรือศักดิ์ศรีอยู่แล้ว!
เพียงแต่ว่าเมื่อพักก่อนต้องสูญเสียทั้งอาจารย์และเสี่ยวเฉวียนเฉวียนไป จิตใจพังทลายจนอุปนิสัยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ก็เท่านั้น
แก่นแท้ของนางก็เป็นคนที่ไม่ปกติอยู่แล้ว
“ไม่ต้องดู” นิ้วมือของอีกฝ่ายวางลงไปบนตัวพิณอีกครั้ง สายตาที่เย็นชาของเขากวาดผ่านเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
ดวงตาหงส์ดูนั้นเหมือนดังสายน้ำที่สงบนิ่ง ไม่ว่าเมื่อใดก็ไร้รอยกระเพื่อมอยู่เสมอ
ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นได้ชัด และยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เหล่าคนที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ต่างก็เกือบจะเป็นลมสิ้นสติล้มลงกันไปแล้ว
ในบรรดาพวกเขา ย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้พบเห็นคนผู้นี้ในสุดยอดการประลอง
โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโส แม้มีวาสนาได้เห็นเพียงครั้งเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถลืมเลือนบุรุษที่ดูงามจนชั่วร้ายผู้นี้ได้
ถึงจะบอกว่าเขาชั่วร้าย แต่เขายิ่งดูเย็นชามากกว่า คำพูดคำจาก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ราวกับว่าหนึ่งคำพันตำลึงทอง
รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเหมือนบุรุษหนุ่มยี่สิบต้นๆ แต่กลับดูสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะยกมือหรือวางเท้าก็ดูสูงส่งสง่างามเกินใครเทียบ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน ได้แต่คิดจะคุกเข่าลงกราบกรานเรียกหาเขาเป็นบรรพชน
ใครบ้างจะไม่รู้ว่า ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่นั้น คือบุรุษโฉมงามที่สุดในใต้หล้า….
อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษด้วยกันเมื่อได้เห็นเขาแล้วต่างก็ต้องเคลิบเคลิ้มอย่างอดใจไม่ไหว
ในดินแดนจิ่วโจวนี้ ไม่ได้มีแต่ซ่งชิงอีเพียงผู้เดียวที่เฝ้าฝันถึงเขา
อย่าว่าแต่จะกล้าไปสัมผัสปลายนิ้วของเขาเลย
แม้แต่จะเปิดเผยออกมาก็ยังไม่มีผู้ใดกล้า
แต่ว่าดูตอนนี้สิ เจ้าเดรัจฉานน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้น ถึงกับนั่งอยู่บนบ่าของเขาอย่างมิได้ละอายใจเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่คิดจะลงไปเช่นกัน
นางโคลงศีรษะ สายตามิได้ละไปจากเขาแม้เพียงชั่วขณะเดียว ทำตัวเป็นอันธพาลน้อยคนหนึ่ง “เจ้าไม่กล้าให้ข้าดู แสดงว่าในใจมีพิรุธ”
“ในใจมีพิรุธจึงต้องปกปิด ปกปิดก็เพราะว่าในใจมีพิรุธ หากว่าเจ้ามีความจำเป็นอะไรทำให้ไม่อาจยอมรับ….”
นางพูดไปยังไม่ทันจบ ก็เห็นเขาคว้าขาของนางเอาไว้ลากลงมาจากบนบ่าทั้งอย่างนั้น
แต่ก็ไม่ได้โยนนางทิ้งลงพื้น
ดวงตาหงส์ของเขาไม่ได้มองมาที่นางแม้แต่น้อย แต่ว่ามือเย็นๆของเขา ไม่รู้ว่าไปเอาหมั่นโถครึ่งใบมาจากที่ใด ยัดเข้าไปในปากนางทันที
จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ไม่มีพิรุธ ไม่ได้ปกปิด หรือมีข้อติดขัดใดๆ เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”
พูดมากนัก หนวกหูจนเขาปวดสมองไปหมด ดังนั้นจึงต้องเอาหมั่นโถครึ่งลูกยัดใส่ปากนาง
เขาใช้มือข้างหนึ่งหิ้วตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งดีดพิณ กลายเป็นสำเนียงหนึ่งดังออกมา เสียงพิณในครั้งนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายสังหาร
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เสียงพิณที่สะท้อนออกไป กลายเป็นแสงทองที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
และแสงทองเหล่านั้นอาบลงไปบนร่างของผีกุ่ยหลัวซา
ในแสงทองยังมีอักขระอยู่ด้วย
อักษรสีทองเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้จักดี นี่คืออักษรสันสกฤต
ที่ใช้เพื่อชำระวิญญาณแค้นทั้งหลายโดยเฉพาะ
อักษรสันสกฤต เป็นอักษรโบราณของโลกปัจจุบัน….โลกโบราณใบนี้ไม่มีทางมี
หรืออย่างน้อยๆ ในดินแดนโบราณก็ไม่มีอย่างแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ โดยไม่ได้ไปรบกวนอะไรเขา
ดูจากการกระทำของเขาแล้ว คงคิดจะปลดปล่อยผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้…..
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จะอย่างไรก็ยังคงน่าสงสาร ….. ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตาย ตายแล้วก็ยังถูกบีบบังคับให้เป็นผีกินผี ก็เหมือนกับการฝึกฝนมือสังหาร พวกมันถูกกักขังเอาไว้ด้วยกัน บังคับให้ฆ่าฟันกันเอง จนถึงตัวสุดท้ายจึงจะมีโอกาสคงอยู่ต่อไป…..
เสียงพิณของเขาสะท้อนออกไป ขณะที่ริมฝีปากก็เอ่ยคาถาภาษาสันสกฤตกำกับไปด้วย
ตู๋กูซิงหลันฟังก็รู้ว่านั้นเป็นบทสวดส่งวิญญาณสู่สันติภพ
ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ จมอยู่ในความคิดฆ่าฟันที่รุนแรง หากมิใช้ผู้สูงส่งที่มีความพิเศษ ย่อมไม่มีทางปลดปล่อยพวกมันได้สำเร็จ
แต่กับเขาแล้วย่อมไม่เหมือนกัน….
ท่าทางยามสวดมนต์ของเขา เหมือนกับท่านอาจารย์อย่างยิ่ง
คนอื่นๆต่างก็มองดูจนตาค้าง ทุกคนได้แต่ลืมตาจ้องมองโดยไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวน
เดิมทีพวกเขาคิดว่า เจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่จะสังหารพวกผีกุ่ยหลัวซาให้หมดสิ้นเสียอีก….
เพราะว่าตอนแรกนั้น แค่เขาสาดเสียงพิณออกมาเพียงครั้งเดียว ผีกุ่ยหลัวซานับสิบตัวก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว
พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่า คนผู้นี้จะมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ทำพิธีชำระวิญญาณให้
เสียงสวดมนต์ส่งวิญญาณของเขาดังสะท้อนออกไปทุกมุมในวังตันติ่งกง แม้แต่ห้องใต้ดินก็ไม่มีเว้น
บทสวดส่งวิญญาณส่งผ่านไปยังกระถางยักษ์ ทำให้แม้แต่เหล่าวิญญาณแค้นที่อยู่ในกระถางยักษ์ก็ยังได้ยิน
ร่างวิญญาณของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยอักขระสันสกฤตสีทอง
อักขระสันสกฤตเหล่านั้นนำพวกเขาออกมาจากกระถางยักษ์
และกระทั่งเหล่าดวงวิญญาณที่ตกตายอย่างอนาถในวังตันติ่งกง ก็ยังได้รับการปลดปล่อยออกมา ทั้งหมดลอยไปหาเขา
ในยามนี้ จนกลายเป็นว่าผีกุ่ยหลัวซาทั้งหลายต่างรวมกันอยู่ตรงกลาง และทั่วทั้งท้องฟ้าก็แออัดไปด้วยเหล่าวิญญาณแค้น
สายลมพัดหวีดหวิว ราวกับเป็นเสียงคร่ำครวญของวิญญาณแค้นเหล่านั้น
ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ภายนอกของซ่งชิงอีคือโฉมงามผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา แม้แต่ในหมู่ศิษย์ต่างก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง
แต่ว่าในยามนี้วังตันติ่งกงกลับปรากฏภูติผีขึ้นมามากมาย……
ขณะที่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานั้น ต่างก็ทยอยกันหันไปมองดูซ่งชิงอีที่อยู่บนตึกสูง’’
ซ่งชิงอีจับจ้องไปที่เหล่าวิญญาณแค้นที่รวมกันจนหนาแน่นทั่วท้องฟ้า สีหน้าของนางซีดขาว
ร่างเดิมที่ยื่นออกมานอกหน้าต่างครึ่งหนึ่งต้องค่อยๆหดกลับไป ไม่รู้เพราะเหตุใดนางเกิดความรู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าปราศจากเรี่ยวแรง จนตอนนี้แทบจะยืนไม่อยู่อีกต่อไป
และเหล่าวิญญาณแค้นที่มารวมกันอยู่ตรงเบื้องหน้าคนผู้นั้น ก็พากันหันศีรษะกลับมา มองขึ้นไปบนยอดตึกสูง
สายตาที่ทั้งหวาดกลัว เคียดแค้น จนแทบจะมองจนซ่งชิงอีทะลุเป็นตะแกรง
ตลอดหลายปีมานี้ ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของนางมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ทุกคนที่ตายไปล้วนถูกนางกักขังเอาไว้ในวังตันติ่งกง เพื่อใช้ฝึกฝนและสร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซา ต่อให้ฝันนางก็คิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่ง ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้จะถูกคนอื่นปลดปล่อยออกมา!
ทั้งยังถูกคนที่นางชื่นชมปลดปล่อยออกมาอีกด้วย
ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนกับว่าเอาความชั่วร้ายและสกปรกโสมมทั้งหมดของนาง ออกมาตีแผ่ลงตรงหน้าเขา …..ทำให้นางได้แต่ละอายใจอย่างที่สุด
“เจ้าสำนักหยินหยาง ตกลงแล้วคืนนี้ท่านร้องงิ้วเรื่องอะไร ฉากไหนกันแน่?”
ซ่งชิงอีจะอย่างไรก็เป็นถึงเจ้าวังตันติ่งกง นางสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว จับจ้องคนผู้นั้นด้วยสายตาเป็นประกาย พลางถามออกไป
“เจ้าหุบปากเสียเถอะ!” ผู้ที่ตอบนางกลับเป็นตู๋กูซิงหลัน
ในปากของนางเดิมยังมีหมั่นโถอยู่ครึ่งใบ ตอนนี้พึ่งจะถูกนางกลืนลงไป แม้แต่มุมปากก็ยังมีเศษหมั่นโถสีขาวติดอยู่เลย
นางชักจะไม่อยากอดทนอีกต่อไปแล้ว “ทุกสิ่งล้วนมีที่มา บุญบาปมีผลตอบแทน เรื่องใดที่ตนเองกระทำลงไป ในใจย่อมรู้ดี อย่าได้ออกมาพูดพล่ามอยู่เลย”
“นายน้อยอย่างข้ายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับคนคุ้นเคย ไม่มีเวลาจะมาสิ้นเปลืองไปกับเจ้าแล้ว
“เจ้า…. ผายลมอันใด!”
………………………….