บทที่ 177 เซี่ยจื่ออี้
บทที่ 177 เซี่ยจื่ออี้
หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยจื่ออี้ก็เดินตามฉู่ซิงอวี่เข้ามา
เธอสูงประมาณ 160 เซนติเมตร และรูปลักษณ์หน้าตาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ข้อดีคือผิวของเธอขาวมาก ทำให้เธอดูสะอาดสะอ้านและน่าทะนุถนอม
ใบหน้าของเธอจัดอยู่ในประเภทที่สง่างาม มีคิ้วกับดวงตาเรียวยาว และผมที่ยาวสลวยเป็นสีน้ำหมึกของเธอถูกรวบไปข้างหลังอย่างพิถีพิถัน แสดงให้เห็นถึงความงามที่สง่าของสตรีชาวเจียงหนาน
เมื่อเธอเห็นเสิ่นอี้โจว เธอโค้งริมฝีปากและยิ้ม “เลขาธิการเสิ่นสวัสดีค่ะ”
เสิ่นอี้โจวยืนขึ้นและพูดว่า “คุณเซี่ยสวัสดี”
ปลายนิ้วสัมผัสกัน ซึ่งเป็นการจับมือกันตามปกติ
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มเบา ๆ “คุณกับพ่อของฉันพูดได้ว่าเป็นคนรู้จักเก่ากัน และฉันกับคุณก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทักทายกันอย่างเป็นทางการขนาดนี้ก็ได้ค่ะ”
เธอใช้นิ้วก้อยทัดผมไปข้างหู “จากนี้ไปเรียกฉันว่าจื่ออี้อย่างเดียวก็ได้ ส่วนฉันก็จะเรียกคุณว่าอี้โจวเป็นการส่วนตัว คุณคิดเหมือนกันไหมคะ?”
เสิ่นอี้โจวยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ไม่มีคำสัญญาที่น่าพอใจหรือการปฏิเสธที่ชัดเจน
มีเพียงสีหน้าของเขาที่ดูเย็นชา พานทำให้ผู้คนไม่กล้าทำอะไรผิด
…
เซี่ยจื่ออี้เป็นลูกสาวคนเดียวของผู้อำนวยการเซี่ย เธอไม่เพียงมีคนตามใจมาตลอด แต่เธอยังมั่นใจในตัวเองมากด้วย
เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง จากนั้นเริ่มทำงานในระดับล่างสุดของหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค
เวลาเพียงแค่สองปี เธอก็ได้เป็นกระดูกสันหลังของแผนกแล้ว
ในครั้งนี้เธอมาที่นี่ เพื่อตรวจสอบงานในนามของทีมตรวจสอบ และต้องการถ่ายทอดความตั้งใจของเซี่ยเจิ้ง ผู้เป็นพ่อของเธอ
ส่วนประเด็นที่สาม มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้
….
เซี่ยจื่ออี้ไม่ได้สนใจอะไรมาก ดูเหมือนว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นเพียงแค่คำพูดสุภาพต่อหน้าก็เท่านั้น
เธอเอ่ยว่า “คราวนี้ฉันมาที่นี่ นอกจากตรวจงานแล้ว ฉันยังต้องการส่งต่อความตั้งใจของพ่อฉันด้วย”
มือของเธอวางอยู่บนโต๊ะ แสงที่กระทบกับโต๊ะไม้ลูกแพร์ที่เก่าแก่ ยิ่งสะท้อนให้เห็นนิ้วที่ขาวละเอียดของเธอ
เซี่ยจื่ออี้กล่าวต่อ “พ่อของฉันพอใจกับผลงานของคุณในเมืองเตียนเฉิงมาก สิ่งที่เขาคิดคือ แผนกมณฑลต้องการผู้มีความสามารถแบบคุณอย่างเร่งด่วน และเขาหวังว่าหลังจากที่คุณทำงานที่นี่สักครึ่งปี เขาจะเลื่อนตำแหน่งคุณให้ไปอยู่ในแผนกมณฑล ถือเป็นการแบ่งเบาภาระให้เขาได้ ฉันไม่รู้ว่าเลขาธิการเสิ่นมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
เสิ่นอี้โจววางมือข้างหนึ่งบนเข่าของเขาแล้วเคาะเบา ๆ อยู่พักหนึ่ง
เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ การเคลื่อนไหวมือของเขาหยุดลงทันที จากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มและพูดว่า “ความต้องการของผู้อาวุโสเซี่ยโดยปกติแล้วผมย่อมเคารพและเชื่อฟัง”
เนื่องจากเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ วันนี้จะมาถึงไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
ไม่เพียงแต่แผนกมณฑลเท่านั้น แต่แม้แต่ระดับสูงสุดของเมืองหลวง เขาจะปีนขึ้นไปทีละขั้น
เซี่ยจื่ออี้ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับไปแจ้งกับคุณพ่อ ให้ท่านสบายใจเองค่ะ”
เสิ่นอี้โจวกล่าวเสริมว่า “ผมเป็นคนที่ผู้อาวุโสเซี่ยชักชวน ถ้าเขาต้องการผม ผมก็ยินดีอย่างแน่นอน”
เมื่อทั้งสองคนคุยกันเรื่องแรกเสร็จแล้ว เซี่ยจื่ออี้ก็พูดว่า “มีอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือฉันต้องการขอโทษคุณในนามของซูอวี้”
ตอนที่เธออยู่ที่สถาบันธรณีวิทยา เธอไม่รู้จักเหตุผลและทำผิดไป “โชคดีที่สวรรค์อวยพรและคุณไม่เป็นอะไร”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วขึ้น “คุณกับเธอรู้จักกัน?”
เซี่ยจื่ออี้กล่าวว่า “เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาพ่อของฉันได้เลื่อนตำแหน่ง ทำให้มีโอกาสเจอกันน้อยลง เธอเพิ่งถูกย้ายกลับไปที่เมืองหลวงของมณฑลเมื่อไม่นานมานี้ เธอก็ได้บอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ เธอบอกว่าเธอเสียใจมากและฝากให้ฉันมาพูดขอโทษแทนเธอ”
รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
เขายิ้มด้วยท่าทางที่มีความหมาย “คุณเซี่ยก็จริงจังเกินไป เรื่องของฉินซูอวี้ได้รับการสอบสวนและจัดการโดยหน่วยงานแล้ว เธอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม ดังนั้นผมจึงต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของเธอเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องขอโทษระหว่างกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้ก็แข็งค้าง เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของพวกคุณนะคะ”
แววตาของเธอกลับมาเป็นปกติ “แต่ถึงอย่างนั้น เลขาธิการเสิ่นก็เป็นอย่างที่ลือกันจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วแสดงความสับสน
เซี่ยจื่ออี้ไม่ได้พูดอะไรอีก
เธอส่ายหัว “มันเป็นแค่คำบอกเล่าน่ะ”
เธอคิดอยากกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย เพื่อสานต่อหัวข้อคุยต่อ
ทว่าเสิ่นอี้โจวทำเพียงแค่เม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรเช่นกัน
เซี่ยจื่ออี้ยอมรับสภาพ “นี่มันก็สายแล้ว ฉันคงต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวงของมณฑลแล้วล่ะ”
เธอยืนขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณเลขาธิการเสิ่นสำหรับการต้อนรับของคุณนะ”
เสิ่นอี้โจวลุกขึ้นและส่งเธอออกไป “ผมจะเดินไปส่งด้วย”
เซี่ยจื่ออี้ปฏิเสธและพูดว่า “เลขาธิการเสิ่นงานยุ่งมาก ฉันขอไม่รบกวนคุณดีกว่า แต่ฉันรู้จักซิงอวี่ โปรดให้เขาพาฉันไปส่งที่ประตูแทนได้ไหมคะ?”
เฉินอี้โจวรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่เคยอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้จักกัน
เขาพูดว่า “ตกลง ผมจะให้เขาพาคุณไปส่ง”
เมื่อฉู่ซิงอวี่ลงไปส่งเซี่ยจื่ออี้ที่ชั้นล่าง เซี่ยจื่ออี้ก็พูดว่า “ฉันได้ยินจากลุงหยวนว่านายและหลิงเยี่ยมาที่นี่ เพื่อนัดดูตัวผู้หญิงคนหนึ่งเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่องรอยของความไม่สบายใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่ซิงอวี่
เขาดันกรอบแว่นขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันได้รับการบอกมาอย่างนั้นจริง แต่เลขาธิการเสิ่นบอกตอนหลังว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานไปแล้ว”
“โอ้” เซี่ยจื่ออี้พยักหน้าอย่างใช้ความคิด
เธอพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสาวสวยที่หย่าร้าง ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเสียอีก ท้ายที่สุดก็มีข่าวลือว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาไม่ดีนัก”
เธอปิดปากและยิ้ม “เรื่องนี้ฉันแค่ได้ยินมาผ่าน ๆ มาน่ะ ดังนั้นอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเชียวนะ”
ฉู่ซิงอวี่คิดว่าเซี่ยจื่ออี้เคยได้ยินมาจากฉินซูอวี้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “อย่าฟังเรื่องไร้สาระของซูอวี้เลย ยัยบ้านั่นตลอดทั้งวันคิดว่าตัวเองเป็นภรรยาของเลขาธิการเสิ่น จริง ๆ แล้วเลขาธิการเสิ่นกับภรรยาก็สนิทกันมาก”
“จริงเหรอ?” เซี่ยจื่ออี้จับราวบันไดและลงไปชั้นล่างพร้อมกับรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเธอ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง”
ฉู่ซิงอวี่พยักหน้า “ใช่ เพราะงั้นเธอแนะนำให้ซูอวี้เลิกเรื่องคิดยุแยงตะแคงรั่วให้สามีภรรยาแยกกันได้แล้ว”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้ม “นี่นายนับถือเลขาธิการเสิ่นจริง ๆ หรือนายถูกภรรยาของเขาร่ายมนต์เสน่ห์ใส่กันแน่? นายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแต่กลับช่วยพูดให้พวกเขาซะแล้ว?”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลราวกับมันเป็นเรื่องตลกที่เธอชอบพูดนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต
ฉู่ซิงอวี่กล่าวว่า “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? ความสามารถของเลขาธิการเสิ่นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนในศาลากลาง สำหรับภรรยาของเขา ฉันไม่เคยพบเธอ แค่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอหลายครั้งจากเพื่อนร่วมงานก็เท่านั้น”
เขาเหยียดนิ้วเรียวยาวออกและดีดหน้าผากของเซี่ยจื่ออี้เบา ๆ “กลับไปได้แล้ว อย่าไปฟังสิ่งที่คนอื่นพูดให้มาก”
เซี่ยจื่ออี้ปิดหน้าผากของเธอก่อนจะเชิดคางยิ้มพร้อมพูดว่า “เข้าใจแล้วน่า”
ทั้งสองเดินไปที่ประตูและโบกมือลา
หลังจากที่เซี่ยจื่ออี้เข้าไปในรถแล้ว เธอก็โผล่หัวออกมาจากหน้าต่างรถแล้วพูดว่า “ลุงกับป้าเป็นห่วงนายมาก รีบหาลูกสะใภ้ให้พวกเขาสักที!”
เธอกำกำปั้นแล้วทุบหน้าอกตัวเอง “ให้ได้เรื่องสักทีเถอะ!”
หลังจากพูดจบ เธอก็โบกมือให้คนขับรถ
ฉู่ซิงอวี่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีในขณะมองไปยังรถที่ขับออกไป
เขาหันหลัง และเดินกลับเข้าไปในตึก
คงถึงเวลาที่เขาจะต้องคิดเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวแล้วสินะ