กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 211 บะหมี่หอยขมอาจกลิ่นแรงเกินไป

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 211 บะหมี่หอยขมอาจกลิ่นแรงเกินไป

บทที่ 211 บะหมี่หอยขมอาจกลิ่นแรงเกินไป

เซี่ยจื่ออี้หันศีรษะและพูดบางอย่างกับเสิ่นอี้โจว

ทว่าเสิ่นอี้โจวยังอยู่ในท่าทางเดิม เขาไม่ได้หันศีรษะไปมองเธอ ทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

จากนั้นรถก็สตาร์ทและขับออกไปจากหอพักรับรอง

เซี่ยชิงหยวนมองไปยังรถที่กำลังแล่นออกไป ดวงตาของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา

แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเซี่ยจื่ออี้คือใครและทำไมอีกฝ่ายถึงทำเช่นนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคืออีกฝ่ายไม่ได้มีประสงค์ดี

ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับเธออย่างอธิบายไม่ได้

รอยยิ้มที่คลุมเครือปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวน ทำไมกันนะ ผู้ชายของเธอคนนี้ถึงดูเหมือนเนื้อพระถังซัมจั๋ง* หรือไง?

เธอหันกลับไปโดยไม่มองอีกและเดินกลับเข้าไปในห้อง

เมื่อออกไปข้างนอกในตอนบ่าย เซี่ยชิงหยวนก็กินบางอย่างมาบ้างแล้ว ดังนั้นในตอนเย็นเมื่อเสี่ยวหลิวกำลังจะทำอาหารให้ เธอจึงไม่ได้กิน

เวลาประมาณสองทุ่มมีคนกำลังพูดกันอยู่ที่ทางเดิน เธอเลยตั้งใจฟัง ปรากฏว่าเป็นเสิ่นอี้โจวที่กลับมา

หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู และทันเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูพอดิบพอดี

เธอยิ้มแย้มและเอ่ยว่า “ทำไมคุณกลับมาเร็วจัง?”

เธอคิดว่าคนอื่น ๆ จะไม่ปล่อยเขากลับมาก่อนสี่ทุ่มเสียอีก

ในวินาทีต่อมา เสิ่นอี้โจวดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาทันที “ผมคิดถึงคุณมาก ดังนั้นผมเลยกลับมาก่อนน่ะ”

บนตัวของเสิ่นอี้โจวมีกลิ่นเหล้าจาง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเมาเสียแล้ว

ตัวเธออยู่ในอ้อมแขนของเขา มือทั้งสองของเขาเกี่ยวกอดเอวของเธอ พลางถามว่า “คุณดื่มมากไปหรือเปล่า?”

เสิ่นอี้โจวฝังศีรษะของเขาไว้ที่คอของเธอแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ไม่เท่าไหร่ ๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นมาและจูบเธอ “ทำไมคุณยังไม่กินอาหารเย็นล่ะ?”

เขาถามคำถามโดยมีแสงจันทร์อยู่ข้างหลัง น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ทว่าเซี่ยชิงหยวนสัมผัสได้ถึงความกังวลของชายหนุ่ม

เธอตระหนักว่าเสี่ยวหลิวน่าจะบอกเขาเรื่องนี้

เป็นไปได้ไหมว่า เสิ่นอี้โจวรีบกลับมาเพราะเธอไม่ยอมกินข้าว?

ด้วยความเป็นห่วงว่าจะมีใครอยู่ใกล้ ๆ แล้วเห็นฉากนี้ เธอจึงหยิกเอวของเขาเบา ๆ และตอบกลับ “ตอนที่ฉันไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินในตอนบ่าย ฉันกินอะไรไปบ้างแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกอยากกินอะไรตอนกลางคืนแค่นั้นเอง”

เสิ่นอี้โจวรู้สึกเจ็บนิด ๆ และจูบริมฝีปากของเธออีกครั้ง “คุณไม่กินแบบนี้ได้ยังไง ไม่ว่าคุณจะหิวหรือไม่หิวก็ตาม คุณต้องกินเมื่อถึงเวลาสิ ไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นเหมือนผม…”

คำพูดนี้จบลงอย่างกะทันหัน และเปลี่ยนมากุมมือเธอแทน “มาเถอะ ผมจะพาคุณออกไปกินมื้อเย็น”

หลังจากพูดอย่างนั้น ทั้งสองคนก็ออกไป เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูเขาที่กำลังพาเธอไปที่ถนนคนเดิน เธอจึงถามเขาว่า “คุณจะพาฉันไปกินข้าวที่ถนนคนเดินเหรอ?”

เสิ่นอี้โจวมองไปด้านข้างของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มีถนนขายอาหารที่ด้านข้างของถนนคนเดิน เมื่อตอนบ่ายผมลืมบอกคุณไปน่ะ”

เซี่ยชิงหยวนอดสงสัยไม่ได้ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณที่มาที่นี่ใช่ไหม? ทำไมดูคุณคุ้นเคยจัง”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นัยน์ตาของเสิ่นอี้โจวแข็งค้างอยู่วินาทีหนึ่งก่อนจะยิ้ม “เมื่อตอนที่ผมมารับคุณที่เมืองหลวงของมณฑลครั้งล่าสุด ผมได้เดินเล่นนิดหน่อยก็เลยรู้มา”

“อ้อ” เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า เธอไม่สงสัยในคำพูดของเขาเลย

ในไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงถนนอาหารที่เสิ่นอี้โจวกล่าวถึง

ครึ่งหลังของถนนคนเดินจะมีสี่แยก เมื่อพวกเขาเลี้ยวขวาก็คือถึงแล้ว

ถนนอาหารนี้ถูกปูด้วยแผ่นหิน ทั้งสองข้างทางก็มีอาหารทุกประเภท

แต่ส่วนใหญ่จะขายอาหารของมณฑลยูนนานเป็นอาหารหลัก และยังมีอาหารรสเลิศจากทั่วประเทศ เช่น บะหมี่เกี๊ยวฮกเกี้ยน ข้าวขาหมูหลงเจียง ร้านอาหารสไตล์กวางตุ้ง รวมถึงบะหมี่หอยขมหลิวโจวและของปิ้งย่างต่าง ๆ…

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจ

ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าช่องว่างระหว่างเมืองหลวงของมณฑลและเมืองเตียนเฉิงในด้านนี้ช่างกว้างนัก

เสิ่นอี้โจวเอ่ยถามเธอ “คุณอยากกินอะไร?”

เซี่ยชิงหยวนเดิมทีอยากกินบะหมี่หอยขมหลิวโจว แต่เธอกลัวว่ารสชาติจะแรงเกินไป ถ้าเสิ่นอี้โจวแอบจูบเธอในภายหลัง กลิ่นของหน่อไม้เปรี้ยวในปากของเธอคงจะไม่น่าพึงใจเสียเท่าไหร่

เธอจึงชี้ไปที่ร้านน้ำชาที่ตกแต่งสไตล์ฮ่องกง แล้วพูดว่า “กินนี่กันเถอะ”

คงจะดีกว่าถ้ากินของว่างเบา ๆ ที่ไม่มีกลิ่นแปลก ๆ

เมื่อเลยเวลาอาหาร เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ต้องการกินอาหารจานหลักอีกต่อไป เธอจึงสั่งขนมปังสับปะรดกับโซดามาแทน

เธอถามเสิ่นอี้โจว “คุณอยากกินอะไรไหม?”

เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “ผมจะดูคุณกิน”

….

ในช่วงการทานอาหารค่ำคืนนี้ นอกจากตระกูลเซี่ยแล้ว ฉู่ซิงอวี่กับพ่อของเขาก็มาด้วย และยังมีอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมาร่วมโต๊ะ

ตระกูลฉู่ค่อนข้างสุภาพ แต่อีกสองคนรินเหล้าซ้ายขวาก่อนรับประทานอาหารราวกับว่าพร้อมใจกัน

นี่เป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำของตระกูลเซี่ย เสิ่นอี้โจวไม่สามารถปฏิเสธอย่างชัดเจนเกินไปได้นัก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ร่วมดื่มและจนถึงตอนนี้ ท้องของเขาก็ยังเจ็บอยู่

เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มเมา ฉู่ซิงอวี่ก็มาช่วยขวางให้

ในที่สุดเซี่ยเจิ้งก็เป็นคนพูดปรามและทั้งสองก็หยุดลง

แต่เซี่ยเจิ้งยังแสดง ‘ความกังวล’ เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเสิ่นอี้โจว “ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวเสิ่นกับภรรยาของเขามีความสัมพันธ์ที่ดี และครั้งนี้เสี่ยวเสิ่นก็พาภรรยามาที่นี่เป็นพิเศษด้วยสินะ”

เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพูดว่า “ผมทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยเห็นเรื่องตลกแล้ว บังเอิญว่าภรรยาของผมมีธุระต้องทำ ผมก็เลยพาเธอมาที่นี่ด้วยน่ะครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจิ้งก็พยักหน้า “อื้ม ไม่เป็นไรหรอกๆ”

ต่อมาเซี่ยจื่ออี้ก็พูดบางอย่างที่น่าสนใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป

หัวใจของเสิ่นอี้โจวจมดิ่งลงเพราะคำพูดไม่กี่คำเหล่านี้ เซี่ยเจิ้งไม่เคยเป็นคนที่พูดอะไรอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เขาพูดเช่นนี้เพราะเขามีความหมายอื่นที่ลึกซึ้ง

สายตาของเขากวาดไปทั่วใบหน้าที่อ่อนโยนของเซี่ยจื่ออี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

เซี่ยชิงหยวนไม่ได้บังคับเขา

เธอกัดขนมปังไส้สับปะรด เป็นขนมอบกรอบที่กรุบกรอบจริงๆ มีความหอมและรสชาติหวานอร่อย

เธอเลียริมฝีปากอย่างพึงพอใจ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอไปกว่างโจวครั้งที่แล้ว เธอลืมกินซาลาเปาสับปะรดไปเลย

เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกไป และเช็ดมุมริมฝีปากของเธอเบา ๆ และขนมปังสับปะรดก็ติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเขาเล็กน้อย

เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “แมวน้อยจอมตะกละ”

หลังจากพูดจบ เขาก็เปิดริมฝีปากบางของตน ลองชิมขนมปังไส้สับปะรดที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้ว “มันหวานจริง ๆ”

ในประโยคเดียว เขาพูดมันอย่างคลุมเครือและเสน่หา

ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหวานของขนมปังสับปะรดหรือความหวานจากปากของเธอกันแน่

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกตื่นเต้นกับการกระทำของเขาอย่างอธิบายไม่ได้ แก้มของเธอเริ่มแดงก่ำ และหัวใจของเธอก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

เธอเขินอายขึ้นมา และพูดว่า “อื้อ”

หญิงสาวต้องจิบโซดาและเกือบสำลัก

เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกมาอีกครั้ง และเซี่ยชิงหยวนพยายามหลีกเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว

แต่เมื่อเธอเห็นว่ามันเป็นกระดาษทิชชูในมือของเขา เธอก็รับมันด้วยความกระอักกระอ่วน “ขอบคุณ”

เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับคุณงั้นเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนหน้าแดงอีกครั้ง “เปล่าสักหน่อย”

เสิ่นอี้โจวส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธอ และเขาไม่ได้เปิดโปงเธอ

เซี่ยชิงหยวนจู่ ๆ ก็จำเซี่ยจื่ออี้ที่พบที่หน้าหอพักรับรองวันนี้ได้ และถามว่า “ผู้หญิงคนเมื่อบ่ายวันนี้คือใครเหรอ?”

* เหมือนเนื้อพระถังซัมจั๋ง เป็นการเปรียบเปรยถึง เนื่องจากในหนัง ‘ไซอิ๋ว ศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า’ มีพวกปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนถือว่าการไล่ล่าพระถังซัมจั๋งเป็นเป้าหมายอันสูงส่งในชีวิต เพราะเนื้อของพระถังมีมนต์ขลัง

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด!หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท