ตอนที่ 3 อีกไม่นานก็กลายเป็นชายชรา
ตอนที่ 3 อีกไม่นานก็กลายเป็นชายชรา
คุณย่าโจวมองไปที่เหลนผู้น่าสงสาร จากนั้นก็มองไปที่หลานชายซึ่งกำลังทำหน้าดำคร่ำเครียด นางได้แต่ห่อไหล่งองุ้มลงราวกับว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี
สิ่งสำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าหลินเซี่ยจะรู้สึกเสียใจกับชีวิตแต่งงาน เมื่อเห็นท่าทางของสองพ่อลูกคู่นี้
หลานชายของนางอายุเกือบสามสิบแล้ว ในที่สุดเขาก็แต่งภรรยาใหม่ได้ ฉะนั้นเด็กคนนี้ไม่ควรรบกวนเวลาของทั้งสอง
“หู่จื่อ กลับไปที่ห้องโถงกับย่าทวด” คุณย่าโจวเดินไปจับมือหู่จื่อ
หู่จื่อมองไปที่เฉินเจียเหอราวกับจะถามว่าพ่อจะเลือกผมหรือเลือกผู้หญิงคนนี้?
เฉินเจียเหอสบตาเขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “มัวมองอะไรอยู่? ยังไม่สำนึกผิดอีกหรือไง? ออกไปผิงไฟกับคุณย่าทวดก่อน เดี๋ยวพ่อจะออกไปจัดการกับลูกทีหลัง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หู่จื่อก็เชิดหน้าแล้วเริ่มร้องไห้ประท้วงอีกครั้ง
เฉินเจียเหอเงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นแบบนี้ หลินเซี่ยก็ย่องลงมาจากขอบเตียง และพูดกับเฉินเจียเหอว่า “คุณออกไปกับคุณย่าก่อนได้ไหมคะ? ฉันขอคุยอะไรกับเขาหน่อย”
ดวงตาลึกล้ำของเฉินเจียเหอกวาดมองทั้งสองคน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
หลินเซี่ยส่งยิ้มให้เขา “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่ทุบตีเขาหรอก”
เมื่อมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ เฉินเจียเหอก็สับสนมึนงงไปชั่วขณะ
ในที่สุดเขาก็ดึงมือผู้เป็นย่าออกไปจากห้องแต่โดยดี
เมื่อเห็นพ่อของเขาจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ใบหน้าของหู่จื่อก็ทรุดลง อยากจะร้องไห้
ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะเชื่อฟังผู้หญิงไม่ดีคนนี้มากจริง ๆ
พอเห็นว่าหลินเซี่ยเริ่มเดินเข้ามาใกล้เขา ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลงอย่างระมัดระวังแล้วถอยกรูดไปที่มุมกำแพง ขณะเดียวกันก็กำหมัดแน่นพร้อมชูกำปั้นขึ้น ทำท่าทางไม่พอใจ “อย่าเข้ามานะ”
เมื่อเห็นหู่จื่อตอนที่เขายังตัวเล็ก ๆ แบบนี้ หลินเซี่ยอดรู้สึกปวดแปลบในใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของหู่จื่อตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ชาติที่แล้ว เธอแค่อาศัยเฉินเจียเหอเป็นสะพานเพื่อกลับเข้าไปในเมืองเท่านั้น จึงไม่มีความผูกพันใด ๆ กับพวกเขา
หลังจากเธอแต่งงานแล้วหู่จื่อพยายามสร้างความลำบากใจให้กับเธอ เธอก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีเขาด้วยสารพัดคำพูดจาที่เลวร้าย หรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงอย่างเย็นชา
เป็นการสร้างบาดแผลที่ทำร้ายจิตใจเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างมาก
จนกระทั่งเด็กน้อยซุกซนคนนี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขากลายเป็นคนมีความคิดอ่านและมีเหตุผล เขาคิดด้วยซ้ำว่าสาเหตุที่เธอทอดทิ้งเฉินเจียเหอเป็นเพราะเขา
ดังนั้นเขาจึงพยายามตามหาเธอมาโดยตลอด โดยหวังว่าเธอจะกลับไปใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเฉินเจียเหออย่างที่เคยเป็น
เวลานั้นเองที่หู่จื่อเล่าความจริงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเขาให้เธอฟัง
ตอนที่เธอถูกล่อลวง หลังจากหย่าขาดกับเฉินเจียเหอไปแล้ว เฉินเจียเหอยังคอยช่วยเหลือให้เธอรอดพ้นจากความหายนะหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่เธอยังรู้สึกได้ว่าเฉินเจียเหอนั้นรักเธอจากใจจริง
แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เธอประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายจนเกือบถูกทำลายทั้งชีวิตโดยหวังต้าจ้วง จนเธอไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนได้อีกต่อไป แถมเธอยังมีลูกสาวบุญธรรมที่ต้องเลี้ยงดู จึงล้มเลิกความคิดว่าจะกลับไปหาเขา
พอคิดถึงเรื่องนี้ ภายในใจหลินเซี่ยก็เกิดอารมณ์หลากหลาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าชาติก่อนเธอจะเลี้ยงเด็กปีศาจให้โตมาฆ่าตัวเอง
ในขณะที่หู่จื่อเป็นเทพบุตรตัวน้อยอย่างแท้จริง
เธอมองหู่จื่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก สาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันทอดทิ้งสองพ่อลูกอีกต่อไป
“เธอรู้ไหมว่าพ่อตัวเองจะอายุเท่าไหร่หลังผ่านวันปีใหม่ไปแล้ว?” หลินเซี่ยถาม ก้มมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มกลมโตของหู่จื่อ
หู่จื่อไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงไม่ดีถึงถามคำถามนี้กับเขา จึงส่ายหัวอย่างว่างเปล่า
หลินเซี่ยพูดต่อ “หลังวันปีใหม่เขาจะอายุสามสิบแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะกลายเป็นชายชรา”
ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน ชายหนุ่มจึงคอยแอบฟังอยู่นอกประตู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง “!!!!”
“ถ้าเธอไล่ฉันออกไปจากที่นี่ อีกหน่อยพ่อของเธอก็จะเป็นได้แค่ท่อนไม้โดดเดี่ยว”
หลินเซี่ยมองเขาแล้วถามต่อ “รู้ไหมว่าท่อนไม้โดดเดี่ยวคืออะไร?”
หู่จื่อทำหน้ามุ่ย ไม่สนใจตอบคำถาม
“คือคนโสดที่ไม่มีภรรยาสักที และอาจจะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต”
หู่จื่อหลับตาลง
ลุงเซี่ยก็เป็นคนโสดเหมือนกัน ทุกครั้งที่เขาแวะมาหาพ่อ พ่อจะดุลุงเซี่ยอยู่เสมอ ถามลุงเซี่ยว่าจะครองตัวเป็นโสดไปอีกนานแค่ไหน
แน่นอนว่าเขาไม่เคยอยากให้พ่อกลายเป็นคนโสด
แต่พอลองคิดดูอีกที พ่อก็ยังมีเขาอยู่ทั้งคนนี่นา
เขาไม่สนใจหรอกว่าอีกหน่อยพ่อจะเป็นอย่างไร
อีกอย่าง แม่ของเสี่ยวฮวาที่อยู่ร่วมอาคารเดียวกันในเขตโรงงาน ยังอยากแต่งงานกับพ่อของเขาเลย
“เธอเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วหรือยัง?”
หู่จื่อถูกดึงออกจากห้วงความคิดด้วยเสียงของเธอ เขาตอบอย่างโกรธ ๆ “เข้าแล้ว อยู่อนุบาลสองแล้วด้วย”
พูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
แหงนหน้าจนคางแทบชี้ฟ้า
“แล้วเธอมีแม่ไปรับกลับจากโรงเรียนอนุบาลเหมือนเด็กคนอื่นเขาหรือเปล่าล่ะ”
หูจื่อ “!!!”
หลินเซี่ยจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ถามต่อไปว่า “พวกเขามีเสื้อผ้าชุดใหม่ ๆ ใส่ ห่ออาหารอร่อย ๆ ที่แม่ของพวกเขาทำให้ไปเรียนด้วยไหม? แล้วพวกเขาหัวเราะเยาะเรื่องที่เธอเป็นเด็กไม่มีแม่หรือเปล่า?”
หู่จื่องับปากทันที สะอึกสะอื้นเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง
ใบหน้าของเฉินเจียเหอมืดมนลงทันที ในขณะที่เขายืนอยู่ข้างนอกเพื่อฟังความเคลื่อนไหวข้างใน
ยังไม่ทันจะเปิดประตูและก้าวเข้าไปห้ามทัพ น้ำเสียงเย่อหยิ่งของหลินเซี่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ตราบใดที่เธอเชื่อฟังและยอมรับฉันเป็นแม่ จากนี้ไปฉันจะปกป้องเธออย่างดีที่สุด และจะทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่เพียบพร้อมที่สุดในโรงเรียนอนุบาล”
“เด็กที่เพียบพร้อมที่สุดคืออะไร?” ใบหน้าที่เศร้าหมองของหู่จื่อฟื้นคืนพลังในทันที เขาเงยหน้าขึ้นและมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น
“หมายถึงเด็กที่มีทุกอย่าง จนคนอื่นเห็นแล้วต้องอิจฉา”
หลินเซี่ยกรีดนิ้วนับทีละนิ้ว “มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ห่อของว่างไปโรงเรียนทุกวัน มีกระเป๋าใส่ดินสอเก๋ ๆ ไปอวดเพื่อน มีคุณแม่คนสวยไม่น้อยหน้าใคร พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เราสามคนยังได้ไปเที่ยวสวนสาธารณะด้วยกันอีก…”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นว่าแววตาของเด็กน้อยเป็นประกาย
มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยืนตัวตรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันจะให้เวลาเธอคิดสามวินาที”
หลินเซี่ยเริ่มนับถอยหลัง “สาม… สอง…”
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยทำกระดิ่งลมให้หน่อยได้ไหม?” ทันใดนั้นหู่จื่อก็มองเธอแล้วถาม
กระดิ่งลมที่ว่าเป็นการบ้านที่คุณครูมอบหมายให้ในช่วงวันหยุดฤดูหนาว พ่อของเขาทำไม่ได้ ปู่ทวดและย่าทวดก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน ป่านนี้การบ้านยังไม่เสร็จสักที
นัยน์ตาของหลินเซี่ยวูบไหว จากนั้นเธอก็ยืดคอและตอบว่า “ฉันทำให้ได้อยู่แล้ว”
ดวงตาสีเข้มของหู่จื่อเป็นประกายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ตอนนี้เลยสิ”
“แต่ฉันมือเจ็บเพราะเธอนะ จะทำเลยได้ยังไง? ขอฉันพักสักสองวันแล้วกัน ถ้ามือหายดีแล้วจะทำให้นะ”
สายตาของหู่จื่อจดจ้องไปที่มือซึ่งพันด้วยผ้าก๊อซของหลินเซี่ย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเจือความรู้สึกผิด ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปร้องขอเรื่องอื่น “งั้นคุณช่วยขอหนังสติ๊กคืนจากพ่อให้ผมหน่อยได้ไหม?”
หลินเซี่ยกลอกตา “จะเอาหนังสติ๊กไปทำอะไรอีกล่ะ? เอามายิงฉันอีกแล้วเหรอ?”
หู่จื่อมองมือที่พันด้วยผ้าก๊อซของเธออีกครั้ง ใบหน้าน้อย ๆ แสดงความละอายใจ รีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ ผมจะเอาไปยิงกระต่าย ลุงเอ้อร์เลิ่งบอกว่าในป่ามีกระต่ายหลายตัวเลย”
“เด็กน้อยอย่างเธอยิงกระต่ายเป็นด้วยเหรอ?”
เมื่อเผชิญกับสายตาที่น่าสงสัยของหลินเซี่ย หู่จื่อพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เธอมั่นใจ
“อย่าดูถูกผมเชียวนะ ถ้าคุณเอามันมาคืนผมได้ ผมจะไปยิงกระต่ายมาให้ดู”
“ถ้าช่วงนี้เธอทำตัวดี ฉันจะพาเธอเข้าป่าไปยิงเอง” หลินเซี่ยมองหน้าเขา ตีเหล็กในขณะที่ยังร้อน “เธออยากได้อะไรอีก ถึงจะยอมรับฉันเป็นแม่เลี้ยง?”
หูจื่อเป็นปีศาจตัวน้อย ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะผูกมิตร “ผมยังไม่ยอมรับคุณง่าย ๆ หรอก เว้นแต่ว่าคุณจะขยันขันแข็งให้มากกว่านี้ ไม่ให้ย่าทวดคอยปรนนิบัติอีก”
เมื่อได้ยินคำของ่าย ๆ จากปากเด็กน้อย หลินเซี่ยก็ละอายใจจนอยากประณามตัวเองอีกครั้ง
เธอยกมือขึ้นเพื่อให้สัญญาว่า “จากนี้ไป ฉันสัญญาว่าจะทำงานบ้านให้มากขึ้น เธอจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”
ว่าแล้วหลินเซี่ยก็เอื้อมไปจับมือเล็ก ๆ ของเขา เกี่ยวก้อยสัญญา “เราจะเป็นสหายร่วมรบในการเปลี่ยนแปลงนับจากนี้เป็นต้นไป เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อต้านหรือทำร้ายฉันอีก ไม่งั้นฉันจะจับเธอไปตุ๋นเหมือนกระต่าย”
หู่จื่อ “!!!”
“ไป ไปที่ห้องโถงกันเถอะ”
ขณะที่หลินเซี่ยจับมือหู่จื่อ ดวงตาของหู่จื่อก็เอาแต่จับจ้องมองมือคู่นั้น ในใจอยากสะบัดให้หลุดพ้นซะจริง ๆ
แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้
มือของเธอทั้งนุ่มและอบอุ่นมาก
นี่ใช่ความรู้สึกของการมีแม่หรือเปล่านะ?
ถ้าผู้หญิงไม่ดีคนนี้สามารถกลับใจเป็นคนดีได้แล้วละก็ ดูเหมือนว่าการมีแม่เลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องแย่
เขายอมให้หลินเซี่ยจูงมือออกจากห้อง
ชายร่างสูงเดินวกไปวนมาอยู่ภายในลานบ้าน
เมื่อเห็นหนึ่งคนตัวใหญ่และหนึ่งคนตัวเล็กเดินออกมาโดนจับมือกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
หู่จื่อรับรู้ถึงสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพ่อยืนมอง เขาก็หน้าแดงก่ำ รีบสะบัดมือให้หลุดจากหลินเซี่ยอย่างเคอะเขิน
จากนั้นเด็กชายก็วิ่งนำหน้าไปก่อนใคร
“เขา…”
เฉินเจียเหอชี้ไปที่หู่จื่อซึ่งวิ่งปรู๊ดเข้าห้องโถงไปแล้ว
หลินเซี่ยส่งยิ้มให้เขา พูดน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “ฉันเจรจาสำเร็จแล้วค่ะ”
เฉินเจียเหอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าซึ่งมีรอยยิ้มสดใส ดวงตาลึกล้ำของเขาขยับเล็กน้อย
ทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ?
หรือเป็นเพราะหล่อนกลัวว่าเขาจะกลับคำ แล้วส่งหล่อนกลับไปหาตระกูลหลินแทนที่จะพาหล่อนกลับเข้าเมือง?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มแผนการสมานฉันท์กับคนเล็กก่อน โอกาสสำเร็จน่าจะสูงอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)