ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 17 ครอบครัวสามคนอันแสนอบอุ่น

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 17 ครอบครัวสามคนอันแสนอบอุ่น

ตอนที่ 17 ครอบครัวสามคนอันแสนอบอุ่น

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลินเซี่ยหันมองและถามด้วยความกังวล “คุณอยากให้ฉันช่วยไหมคะ?”

เฉินเจียเหอกลบเกลื่อนอาการได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยกมือขึ้นปิดตาพลางตอบกลับ “ไม่ต้อง ไม่เป็นไรแล้ว”

เตียงเตาถูกปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีแดงผืนใหญ่ ผ้านวมเป็นผ้าแพรเนื้อเนียน เตียงก็อุ่นกำลังดี ทำให้นอนสบายมาก

หู่จือยังรู้ด้วยว่านี่คือห้องหอของพ่อและหลินเซี่ย เขาที่มักซุกซนตามปกติ จึงพยายามระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตัวเองทำผิดพลาด

หลินเซี่ยปูผ้าห่มสองผืนบนเตียงเตาและวางหมอนสองใบ จากนั้นหันไปพูดกับเฉินเจียเหอว่า “คุณไปห้องของคุณยายแล้วเอาหมอนใบเล็กของหู่จือมาให้หน่อยค่ะ”

ชายหนุ่มฟังถ้อยคำดังกล่าว สายตาของเขาเลื่อนไปจับจ้องที่หมอนใบใหญ่สองใบบนเตียงเตา

มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างหมอนทั้งสองใบ ซึ่งคงสงวนไว้สำหรับหู่จือ

หมายความว่า ค่ำคืนนี้ เธอยอมให้เขาขึ้นนอนบนเตียงเตา!!

เฉินเจียเหอเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังจัดเตียง ก่อนรีบออกไปที่ห้องหลักเพื่อหยิบหมอนของหู่จือทันที

แม่เฒ่าโจวเตรียมหมอนและผ้าห่มของหู่จือไว้พร้อมแล้ว

เฉินเจียเหอกลับเข้ามาพร้อมกับหมอนและผ้าห่มผืนเล็กเพื่อนำไปวางไว้บนเตียงเตา หลินเซี่ยจัดแจงหมอนของหู่จือพลางบอกว่า “หู่จือ ถอดเสื้อผ้าออกสิ บนเตียงเตาร้อนเกินไป”

หู่จือรู้สึกอายและรีบคว้าซิปเสื้อนวมของเขา “ผมไม่ถอด นอนทั้งแบบนี้แหละ”

ขณะตอบเขาก็มุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม แต่หลินเซี่ยคว้าตัวเขาไว้ ก่อนถอดเสื้อคลุมผ้าฝ้าย กางเกงขายาว และเสื้อสเวตเตอร์ของเขาออก

“คุณทำอะไร? ผู้หญิงใจร้าย อย่ามาถอดกางเกงผมออกนะ” กางเกงนวมของหู่จือถูกถอดออก เขาจึงเตะขาทั้งสองเพื่อประท้วง

หลินเซี่ยมองดูชุดสีขาวนวลของเขาที่มีลวดลายลูกแมวพิมพ์อยู่บนนั้น เธอกลอกตาและพูดว่า “เธอยังใส่เสื้อผ้าทั้งชุดด้านในไม่ใช่หรือไง? ทำไมต้องโวยวายใหญ่โตด้วย? หรือว่าเขินที่ต้องนอนกับฉัน?”

เสื้อนวมและกางเกงขายาวถูกถอดออกไปแล้ว หู่จือกลัวว่าหลินเซี่ยจะถอดชุดเขาออกอีก จึงรีบคว้าลองจอนไว้อย่างแน่นหนา เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว

เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยไม่ได้ยื่นมือออกมาอีก ในที่สุดเขาก็คลายการป้องกันลง

หลินเซี่ยพับเสื้อนวม กางเกงขายาว เสื้อสเวตเตอร์ และวางไว้บนหลังตู้ จากนั้นหันมาห่มผ้าให้เขาบนเตียงอีกครั้ง “เอาล่ะ คราวนี้ก็นอนหลับสบายได้แล้ว”

เฉินเจียเหอผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหันมองใบหน้าขาวนวลของหลินเซี่ยพลางรู้สึกซาบซึ้งใจ

สิ่งที่เธอทำกับหู่จือนั้นเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีการเสแสร้งโดยเจตนา เธอแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และไม่ถือตัวในเวลาเดียวกัน

เป็นเหมือนแม่ของเขาเอง

ขณะหลินเซี่ยห่มผ้าให้หู่จือบนเตียง เธอก็รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาตลอดเวลา เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอพลันสบตากับเฉินเจียเหอที่กำลังมองเธออยู่

สายตาที่จ้องมองมาของเฉินเจียเหอนั้นลึกล้ำมาก ราวกับต้องการมองทะลุผ่านเธอ หลินเซี่ยจึงทัดผมที่หลังหูและพยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติ “เอ่อ คุณนอนริมหน้าต่างแล้วกัน จะได้ปิดไฟก่อนเข้านอน”

“ได้สิ” เฉินเจียเหอระงับหัวใจที่เต้นระส่ำในอก เสียงที่ตอบออกไปแหบพร่า ขณะยังไม่ละสายตาจากใบหน้านวลนั้น

หลังหลินเซี่ยพูดจบ เธอรีบหลีกเลี่ยงสายตาที่เร่าร้อนของเขา ถอดกางเกงกันหนาวชั้นนอกออกอย่างรวดเร็ว สวมแจ็กเกตฤดูใบไม้ร่วงสีแดงตัวใหญ่และกางเกงขายาว ก่อนจะซุกตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่ม

ก่อนหน้าหู่จือยังคงรู้สึกเขินอายและโกรธ แต่ทันทีที่เด็กชายสงบลง หลินเซี่ยสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของบรรยากาศในห้อง เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเฉินเจียเหออย่างไรในแบบที่ไม่อึดอัดเกินไป ท้ายที่สุดเธอไม่ได้ดูแลใครเลยในช่วงสองวันที่ผ่านมา และยังไม่ยอมให้ใครนอนบนเตียงด้วย

การเปลี่ยนแปลงของเธอจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาตกใจจนเกินไป

อย่างไรก็ตามเตียงเตาที่เฉินเจียเหอเผานั้นร้อนเกินไป เธอและหู่จือต่างนอนอยู่บนเตียงไม่ถึงสิบนาที ก่อนที่ทั้งคู่จะเตะผ้าห่มออก

“พ่อ ร้อนเกินไป ผมนอนไม่หลับ”

ขาเรียวทั้งสองข้างของหลินเซี่ยในชุดลองจอห์นสีแดงรัดรูปถูกพาดไว้ด้านนอกผ้าห่มเพื่อรับลม “ฉันก็เหมือนกัน ผ้าห่มหนาเกินไป เนื้อก็แทบสุกแล้ว”

จากนั้นเธอลุกขึ้นนั่ง

เฉินเจียเหอกำลังอ่านหนังสือเทคนิคที่พวกเขาไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาของเขาจะตรึงกับเรือนร่างอันงดงามของหลินเซี่ย

เขาเองก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกัน

หลังจากหู่จือได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาก็เกิดความคิดดี ๆ ทันทีและลุกขึ้นนั่ง เขามองหลินเซี่ยด้วยดวงตาที่เปล่งประกายและพูดว่า

“มือของคุณหายดีหรือยัง? ถ้านอนไม่หลับ งั้นทำกระดิ่งลมให้ผมหน่อยสิ”

หลินเซี่ยไม่รู้วิธีทำกระดิ่งลม เธอจึงทำได้เพียงแก้ตัวต่อไป “มันยังไม่หายดีหรอก เธอไม่เห็นเหรอว่ามันยังถูกพันแผลอยู่เลย?”

หู่จือสังเกตเห็นผ้าพันแผลบนหลังมือของหลินเซี่ยและส่งเสียงรับรู้

“งั้น” เขาชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างของเฉินเจียเหออย่างระมัดระวัง ก่อนชี้นิ้วไปทางเฉินเจียเหอและถามเสียงเบา “แล้วเมื่อไหร่คุณจะเอาหนังสติ๊กของผมคืนมา?”

“คุณสัญญากับผมแล้ว คงจะไม่กลับคำใช่ไหม?” หู่จือมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม ถ้าเธอบอกว่าทำไม่ได้ เขาจะเยาะเย้ยเธอทันที

หลินเซี่ยลังเล “พรุ่งนี้ฉันจะเอามาให้”

หู่จือนอนไม่หลับขณะนอนอยู่บนเตียงเตา เขาอยากจะกลิ้งไปมา แต่ก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายในห้องหอ

หลินเซี่ยมองเด็กชายที่กำลังเบื่อหน่ายด้านข้าง ดวงตาเธอพลันส่องประกายและพูดว่า “ฉันจะเล่านิทานให้เธอฟังแล้วกัน”

เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกน้อย นิทานก่อนนอนถือเป็นสิ่งสำคัญ

หู่จือมีท่าทีสนใจและถามว่า “เรื่องอะไรเหรอ?”

หลินเซี่ยตอบ “เรื่องราวขององค์หญิงหิมะขาว”

หู่จือได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าเขาบึ้งตึงด้วยความผิดหวัง “ผมไม่อยากฟังเรื่องแบบนั้น ผมอยากฟังเรื่องของพ่อมากกว่า”

หู่จือมองแผ่นหลังของเฉินเจียเหอและพูดว่า

“พ่อ เล่าเรื่องสมัยก่อนที่เป็นวิศวกรการรถไฟของพ่อให้ผมฟังหน่อยสิ ผมอยากฟังเรื่องการสร้างทางรถไฟ”

หลินเซี่ยต้องการทราบเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้าของเฉินเจียเหอเช่นกัน เธอจึงพูดว่า “ฉันเองก็อยากฟังเหมือนกัน”

เฉินเจียเหอไม่คิดสนใจคำของหู่จือในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาว เขาหันกลับมาและกล่าวคำเบา “เรื่องราวของชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งที่สร้างทางรถไฟมันน่าเบื่อมากนะ”

เขาไม่คิดว่าเธอจะสนใจ

“พ่อของผมเคยแข็งแกร่งมากเลย”

“เขาถ่ายรูปบนรางรถไฟเยอะมากด้วย คุณคงไม่เคยเห็นรูปบนรางรถไฟใช่ไหม?”

“ไม่เคยเห็นเลย” หลินเซี่ยมองหู่จืออย่างคาดหวังและถามว่า “เธอเอาออกมาให้ฉันดูเร็วสิ”

“ผมจะไปเอาอัลบั้มรูปมาให้”

หู่จือกำลังจะลงจากเตาเตียงด้วยเท้าเปล่า แต่เฉินเจียเหอพูดขัดขึ้นก่อน “ไม่ต้องลงมา พ่อไปเอง”

เฉินเจียเหอหยิบอัลบั้มรูปออกมาจากลิ้นชัก

ก่อนยื่นให้หลินเซี่ย

หู่จือเข้ามาดูรูปถ่ายกับเธอพลางอธิบายให้เธอฟัง

เมื่อเปิดไปยังรูปถ่ายกลุ่มขาวดำของคนหลายคนที่ยืนอยู่บนรางรถไฟ หู่จือก็ถามอย่างภาคภูมิใจ

“คุณดูออกไหมว่าคนไหนคือพ่อของผม?”

หลินเซี่ยโพล่งออกมาโดยไม่ได้คิดว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่หล่อที่สุด”

หู่จือส่ายหัว “ไม่ใช่ คนที่หล่อที่สุดคือคุณอาเซี่ยต่างหาก”

ดวงตาหลินเซี่ยจ้องมองไปยังใบหน้าของชายที่หูจื่อคิดว่าหล่อที่สุด

รสนิยมความชอบของเธอและหู่จือไม่ได้สอดคล้องกันเลย

หลินเซี่ยมองเฉินเจียเหอและพูดติดตลก “ลูกชายคุณบอกว่าคุณไม่หล่อแหละ”

“ก็จริงนี่นา คุณอาเซี่ยหล่อที่สุด”

หู่จือชี้ไปยังรูปของชายคนหนึ่งที่มีคิ้วหนาและตาโต เขากล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม “ดูสิ เสื้อผ้าของคุณอาเซี่ยดูดีกว่าพวกเขาทั้งหมดเลย”

“ฉันคิดว่าพ่อของเธอหล่อที่สุดนะ ส่วนคุณอาเซี่ยของเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่า และเสื้อผ้าของเขาก็ดูดีจริง ๆ”

หลินเซี่ยมองไปที่ร่างสูงในภาพถ่ายพร้อมพูดว่า “ดูคิ้วโก่งและดวงตาที่เป็นประกายของพ่อเธอสิ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ และหล่อเหลามากเลย”

เฉินเจียเหอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินหญิงสาวกล่าวชม

เขาเหลือบมองดูรูปร่างหน้าตาของตัวเองในกระจกทรงกลมขนาดเล็กบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คีพคูลไว้พี่เหอ อย่าให้เขารู้สิว่าเรามันคลั่งรัก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท