ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 63 ผมรอให้คุณโตขึ้นอีกหน่อยก็ได้

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 63 ผมรอให้คุณโตขึ้นอีกหน่อยก็ได้

ตอนที่ 63 ผมรอให้คุณโตขึ้นอีกหน่อยก็ได้

เสียงของเขาทุ้มต่ำ ทั้งยังแฝงความคลุมเครือแปลก ๆ รวมถึงอาการสองแง่สองง่ามระหว่างทั้งสองในขณะนี้ ทำให้จิตวิญญาณของป้าวัยสามสิบกว่าอย่างเธอตื่นตัวและร้อนรุ่มเกินจะหักห้าม

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เธออาจไม่เหลือสติพอที่จะห้ามปรามเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ดูเหมือนว่าประตูห้องทิศตะวันออกจะเปิดแล้ว

เธอกลัวว่าหู่จืออาจจะพรวดพราดวิ่งเข้ามา

เธอพูดหยอกล้อเขา “คุณทนไม่ได้แล้วเหรอคะ?”

เสียงของเธอทำให้ร่างกายของเฉินเจียเหอสั่นสะท้าน ลมหายใจของเขายิ่งหนักหน่วงเข้าไปใหญ่ สายตาจ้องมองหญิงสาวอย่างใคร่ครวญ ก่อนที่ลมหายใจอันร้อนแรงจะพ่นปะทะลำคอของเธอในขณะที่พูดว่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ตบะแตกเมื่ออยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองชอบสองต่อสองหรอกนะ เว้นแต่เขาจะไม่ปกติ”

“แต่ฉันยังเด็กอยู่เลย” หลินเซี่ยไม่กล้ามองเขาอีกต่อไป เธอหันหน้าหนีอย่างไม่สบายใจ รีบหาข้อแก้ตัวเพื่อให้เขายอมลุกออกไปจากร่างของตัวเองสักที

ทันทีที่เธอพูดแบบนั้น เฉินเจียเหอก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพลิกตัวออกไปนอนอยู่ด้านข้างแทน “ถ้าอย่างนั้นผมจะอดทนให้มากขึ้น”

หลินเซี่ย “???”

คุยง่ายขนาดนี้เชียวเหรอนี่?

ทำอย่างกับอดทนแล้วภรรยาตัวเองจะโตขึ้นอย่างนั้นแหละ?

เฉินเจียเหอวางแขนหนุนหลังศีรษะตัวเองไว้ มองดูคานไม้บนเพดาน แล้วถอนหายใจออกมา “จริง ๆ แล้วผมเองก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ผมมักจะรู้สึกเสมอว่าตัวเองเหมือนทำผิดจริยธรรมยังไงไม่รู้ เหมือนเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน”

เขานอนตะแคง มองหน้าเธออีกครั้ง พลางเอื้อมมือออกไปไล้ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเปล่งปลั่งของวัยสาว “เซี่ยเซี่ย ผมรอให้คุณโตกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ ผมจะให้เวลาคุณได้เตรียมความพร้อมทางจิตใจ จะได้ยอมรับผมจากใจจริง”

“ที่จริง…”

หลินเซี่ยอยากบอกเหลือเกินว่าเธอสามารถยอมรับพฤติกรรมระหว่างสามีและภรรยาได้ แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประทัดก็ดังขึ้นจากกลางลานโดยไม่คาดคิด

จากนั้นผู้เฒ่าโจวก็บ่นว่า “หู่จื่อ ออกไปเล่นข้างนอกบ้านเถอะ อย่ารบกวนเวลานอนของพ่อเธอกับคนอื่น ๆ”

วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มจุดประทัดกันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว หู่จื่อเองก็ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเล่นประทัดโดยเฉพาะ ความจริงเขาอยากเล่นประทัดยักษ์ด้วยซ้ำแต่ไม่กล้า

เสียงประทัดทำให้เฉินเจียเหออดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้

เขาลุกขึ้นมาแต่งตัวอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เขาหันหลังให้กับหลินเซี่ย โดยที่หันแผ่นหลังกว้างของเขาไปทางเธอ เธอมองดูกล้ามเนื้อล่ำสัน ไหล่กว้างผึ่งผาย รวมถึงเอวสอบที่แข็งแรงของชายตรงหน้า ทันใดนั้นริมฝีปากของเธอก็แห้งผาก

เขาดูแลตัวเองอย่างวินัยมากตั้งแต่แรกเห็น

หลังจากที่เขาออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็ลุกขึ้นนั่ง ตบใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรีบลุกขึ้นแต่งตัวบ้าง

หู่จื่อถือประทัดยืนอยู่กลางลาน เรียกหลินเซี่ยให้ออกมาจุดประทัดกับเขาเร็ว ๆ

หลังจากที่หลินเซี่ยออกมา เธอไม่เพียงไม่เล่นเป็นเพื่อนเขา แต่ยังยึดประทัดยักษ์ที่เขาแอบขโมยมา เหลือกล่องประทัดเล็กไว้ให้เขาแค่อย่างเดียว

วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า บรรยากาศรอบข้างจึงแตกต่างออกไป ตลอดเช้าตรู่ เสียงประทัดยักษ์ก็ดังอย่างต่อเนื่องจากภายในหมู่บ้าน

หลังจากที่หลินเซี่ยอาบน้ำเสร็จ เธอก็เข้าไปในห้องหลัก เห็นว่าทุกคนกำลังดื่มชาและกินแป้งทอด

คุณยายโจวทักทายว่า “เซี่ยเซี่ย มากินแป้งทอดด้วยกันสิ วันนี้พวกเราไม่ทำอาหารเช้า กินแป้งทอดรองท้องไปก่อน จากนั้นก็จะทำหมาฮวา(1) แล้วทำเกี๊ยวในช่วงบ่าย จะได้เหลือพื้นที่ในท้องไว้ไปกินอาหารมื้อเย็นส่งท้ายปีเก่ากับครอบครัว”

“ค่ะ”

หลินเซี่ยหักแป้งทอดออกครึ่งชิ้นสำหรับตัวเอง หยิบแก้วน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วนั่งลงบนม้านั่ง

คุณยายโจวมองหู่จื่อด้วยใบหน้าใจดี ถามว่า “หู่จื่อ วันนี้เธอตื่นเช้าเป็นพิเศษนะ เมื่อคืนนอนกับคุณลุงคุณป้าหลับสบายดีไหม?”

“นอนหลับสบายมากฮะ”

หลังจากที่หู่จื่อพูดจบ เขาก็มองไปที่เฉินเจียเหอด้วยสีหน้างุนงง

“พ่อครับ ทำไมคุณลุงคุณป้าถึงนอนกอดกัน ในขณะที่พ่อกับป้าเซี่ยเซี่ยนอนตะแคงหันหลังให้ผมทั้งสองข้างล่ะ?”

เฉินเจียเหอ “…”

หลินเซี่ย “…”

คำถามไร้เดียงสาของหู่จื่อเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ทำหน้าตาแปลก ๆ

แม้แต่ผู้ใหญ่วัยกลางคนอย่างโจวเจี้ยนกั๋วและหวังอวี้เสียก็แทบเอาหน้ามุดดิน

หวังอวี้เสียเกือบสำลักหลังจากกินแป้งทอดเข้าไปคำใหญ่ ส่วนสามีของหล่อนผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกและอับอาย “ผมขอไปดูหน่อยว่าโกนหนวดโกนเคราแล้วหรือยัง”

จากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แทบจะสะดุดธรณีประตูด้วยซ้ำ

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็รู้สึกเขินอายเช่นกัน

ใครว่าเราสองคนไม่ได้นอนกอดกัน? เมื่อคืนนี้พวกเขาก็เพิ่งจะนอนกอดกันไปหมาด ๆ?

หลินเซี่ยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สิ่งสำคัญคือผู้อาวุโสสองคนของตระกูลโจวกำลังจ้องมองพวกเขาราวกับกำลังรอคอยคำตอบ

สายตาของเขาดูเหมือนต้องการถามว่าทำไมคู่รักหนุ่มสาวที่แต่งงานกันถึงได้น้อยหน้าสามีภรรยาสูงวัยคู่อื่น?

เฉินเจียเหอกระแอมไอเบา ๆ แล้วอธิบายว่า “พวกเรากลัวว่าลูกอาจจะนอนดิ้นจนกลิ้งตกจากเตียง ก็เลยนอนประกบลูกไว้ตรงกลางไงล่ะ”

หู่จือได้ยินแล้วก็เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ “อ๋อ พ่อดีต่อผมมาก ๆ เลยครับ”

โจวเจี้ยนกั๋วพรวดพราดออกไปโดยที่ใบหน้าแดงก่ำ โจวลี่หรงและหวังอวี้เสียกำลังยุ่งอยู่กับการทำแป้งทอดอยู่ในครัว

หลินเซี่ยถาม “คุณยาย วันนี้ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ? เราจะเริ่มทำเกี๊ยวกันกี่โมง?”

แม่เฒ่าโจวเริ่มแบ่งงานให้พวกเขา “ก่อนอื่นให้เจียเหอไปขุดหัวไชเท้าในสวนหลังบ้านก่อน หลังจากนั้นเธอก็จัดการทำความสะอาดหัวไชเท้าแล้วเอาไปลวกบนเตา เตรียมทำเป็นไส้ ถ้าทอดหมาฮวาเสร็จแล้วถึงจะเริ่มทำเกี๊ยวกัน วันนี้เราจะทำเกี๊ยวไส้เนื้อกับหัวไชเท้าสับ”

หู่จื่อวิ่งไปถาม “คุณยายทวด แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ?”

“เธอตามปู่ทวดของเธอไปแงะกลอนคู่อันเก่าตรงประตูออกก็แล้วกัน พ่อของเธอจะได้ติดกลอนคู่อันใหม่”

แม่เฒ่าโจวเป็นแม่บ้านที่ดี ทั้งยังซอยเท้าเล็ก ๆ จัดแจงงานในครัวเรือนให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว ในไม่ช้าทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

หลินเซี่ยอยากรู้มากว่าทำไมคุณยายถึงพูดว่าขุดหัวไชเท้า ฤดูหนาวจัดอย่างนี้ยังปลูกพืชประเภทหัวใต้ดินขึ้นอีกเหรอ?

ดังนั้นเธอจึงเดินตามเฉินเจียเหอไปที่สวนหลังบ้าน

เฉินเจียเหอถือพลั่ว ยื่นตะกร้าให้เธอ ก่อนจะเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาจากหน้าผากไปทัดไว้ด้านหลังใบหู

เนื่องจากพฤติกรรมใกล้ชิดของพวกเขาในตอนเช้า บรรยากาศจึงเกิดความคลุมเครือเล็กน้อยเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

หลินเซี่ยเขินอายเกินกว่าจะมองสบตาเขา

เมื่อมาถึงสวนหลังบ้าน เฉินเจียเหอยืนอยู่เหนือเนินดินที่เป็นแปลงยกสูงขึ้นมาในสวนผักหลังบ้าน แล้วเริ่มขุดลงไป

หลินเซี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูด้วยความสงสัยใคร่รู้

หลังจากขุดหลายครั้ง ก็ยังไม่มีหัวไชเท้าโผล่ออกมาเหนือดิน

หลินเซี่ยทัดทานเขา “ตรงนี้คงไม่มีหัวไชเท้าหรอกมั้ง คุณขุดผิดที่หรือเปล่า?”

“ไม่ผิด ผมทำเครื่องหมายเอาไว้” เฉินเจียเหอตอบ “ดินที่เป็นจุดฝังของหัวไชเท้าค่อนข้างร่วน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะใช้เวลาสักพักเพื่อขุดลงไปลึกหน่อย”

ในที่สุดหลินเซี่ยก็เข้าใจ “ที่แท้มันก็ฝังอยู่ในพื้นดินนี่เอง”

เฉินเจียเหอมองดูดวงตาที่ฉายความกระจ่างเหมือนเพิ่งรู้แจ้งของเธอ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ทำไม? คุณคิดว่ามันผลิดอกออกผลบนต้นเหมือนพืชทั่วไปใช่ไหมล่ะ? เพราะแบบนี้ถึงเรียกว่าขุดหัวไชเท้า ผลผลิตงอกใต้ดิน ส่วนใบโผล่ขึ้นเหนือผิวดิน ปกติมักจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่ควรรอจนถึงฤดูหนาว”

“ฉันพอรู้อยู่บ้าง” แม้ว่าเธอจะไม่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทมาก่อน แต่ก็ยังพอมีความรู้ขั้นพื้นฐาน

“รีบขุดเถอะ”

เฉินเจียเหอขุดดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง ทันใดนั้นหัวไชเท้าสีขาวก็โผล่ออกมาให้ยลโฉม เฉินเจียเหอเริ่มออกแรงน้อยลง ระมัดระวังไม่ให้พลั่วสับโดนหัวไชเท้า

หัวไชเท้าถูกคลุมไว้ด้วยซังข้าวโพด มองเผิน ๆ แล้วมีลักษณะเหมือนเป็นตู้ถนอมอาหารใต้ดิน ไม่ได้มีแค่หัวไชเท้าสีขาว ๆ อย่างเดียว ยังมีแครอทอีกด้วย

หลินเซี่ยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่คือกรรมวิธีที่หมู่บ้านนี้ใช้สำหรับเก็บรักษาหัวไชเท้าเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว กรรมวิธีนี้ช่วยให้ผักไม่สูญเสียความชุ่มชื้น และยังคงดูสดใหม่เสมอเมื่อฝังไว้ในดิน”

เฉินเจียเหอหยิบตะกร้ามาใส่หัวไชเท้าและแครอทลงไป ในดินยังมีผลผลิตอีกหลายหัว เขาจึงฝังกลบมันลงไปอีกครั้ง

หลินเซี่ยอาสาจะยกตะกร้า แต่เขาบอกว่ามันหนักมาก จึงยื่นพลั่วให้เธอถือแทน

เขาหยิบตะกร้าแล้วเดินลิ่วนำไปข้างหน้า

หลินเซี่ยเดินถือพลั่วตามเขาไป

เธอรู้สึกว่าวิถีชีวิตแบบนี้ช่างเป็นอะไรที่น่ารื่นรมย์มาก เรียบง่าย และมีความสุขอย่างแท้จริง

แต่เมื่อนึกถึงปีศาจในคราบคนพวกนั้นในไห่เฉิง เลือดลมแห่งความโกรธก็ไหลย้อนขึ้นมาอีกครั้ง

……………………………………………………………………………………………………………..

(1) หมาฮวา 麻花 ขนมแป้งทอดแบบจีนที่ทำจากการนวดแป้งและนำไปทอด คล้าย ๆ ปาท่องโก๋ แต่ลักษณะจะเป็นแป้งที่บิดพันกันเป็นเกลียว เนื้อกรอบ แข็ง และแน่น

สารจากผู้แปล

รอหน่อยก็ได้ แต่อย่ารอนานนะพี่เหอ เดี๋ยวเซี่ยเซี่ยจะเป็นฝ่ายจัดการเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท