ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 64 ชมความหล่อ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 64 ชมความหล่อ

ตอนที่ 64 ชมความหล่อ

หลังจากได้หัวไชเท้ากลับมาแล้ว หลินเซี่ยก็เปลี่ยนถ่านใหม่ใส่เตาถ่าน จากนั้นจึงต้มน้ำ ตั้งใจว่าจะรอให้น้ำร้อนกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยใช้น้ำนั้นล้างหัวไชเท้า

เฉินเจียเหอเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมล้างเอง สัมผัสน้ำเย็น ๆ หน้าหนาวแบบนี้ระวังจะโดนความเย็นกัดเอา”

“ฉันต้มน้ำร้อนไว้สำหรับล้างแล้วค่ะ”

“ผมล้างผ่านน้ำสองรอบก็เสร็จแล้ว”

เฉินเจียเหอเป็นผู้ชายผิวหนังหนาหยาบกร้าน แน่นอนว่าไม่กลัวความเย็น เขาเทน้ำเย็นลงในอ่าง แล้วช่วยเธอล้างหัวไชเท้าอย่างขะมักขะเม้น

หลินเซี่ยรับหัวไชเท้าที่ล้างแล้วมาปอก แต่เปลือกหัวไชเท้าหนาเกินไป ใช้สองมือประคองแล้วก็ยังทุลักทุเลอยู่

เฉินเจียเหอหยิบหัวไชเท้าจากมือของเธอพลางพูดว่า “ผมปอกเอง ผมมีแรงเยอะกว่า งานจะได้เสร็จไว ๆ”

หลินเซี่ยปฏิเสธ “นี่เป็นงานที่คุณยายมอบหมายให้ฉันทำ คุณไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะค่ะ”

เฉินเจียเหอมองเธอแล้วอธิบายว่า “ผมว่าจะต้มแป้งเปียก ตอนนี้เตาใหญ่ถูกใช้ทอดแป้ง ส่วนเตาถ่านก็ใช้ต้มน้ำเดือด ผมก็เลยมาช่วยทำงานในส่วนของคุณก่อน แล้วจากนี้คุณค่อยเปลี่ยนมาช่วยผม”

เฉินเจียเหอหมายความว่าสองคนช่วยกันคนละไม้ละมือเร็วกว่า หลินเซี่ยพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด

“ดีเหมือนกัน ผู้ชายผู้หญิงช่วยกันทำงาน จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป มาช่วยกันทำงานดีกว่า”

เขาหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ผู้ชายผู้หญิงช่วยกันทำงาน จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป”

เฉินเจียเหอนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ถือมีดปอก แล้วปอกหัวไชเท้าสีขาวขนาดใหญ่สองหัวอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่น้ำเดือดแล้ว ก็โยนลงไปในหม้อทั้งหัว

พอสุกแล้วก็บีบน้ำออกให้ได้มากที่สุด แล้วสับด้วยมีดทำครัว

เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ทอดโหย่วปิ่ง หั่นเนื้อเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสำหรับผสมทำเป็นไส้เกี๊ยว

หลังจากที่หลินเซี่ยทำงานเสร็จ เตาถ่านก็ว่างเปล่า เฉินเจียเหอเริ่มทำแป้งเปียก

จากนั้นหลินเซี่ยก็ออกไปพร้อมกับเขา เพื่อช่วยเขาติดกลอนคู่สีแดงและเทพทวารบาลเข้าด้วยกัน

“ขยับไปทางซ้ายหน่อย อีกนิด อีกนิด”

“โอเค ตรงแล้ว”

“ว้าว เฉินเจียเหอ คุณตัวสูงมากเลย แค่ยกมือขึ้นอย่างสบาย ๆ ก็แตะขอบประตูได้แล้ว”

ผู้ชายเวลาตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรอย่างจริงจังเป็นภาพที่น่ารักที่สุด เฉินเจียเหอสวมเสื้อสเวตเตอร์ตัวหลวมโคร่ง กางเกงทรงช่าง และรองเท้าผ้าใบ สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งยังหยิบจับทำงานคล่องแคล่ว ส่งเสริมให้ร่างกายยิ่งดูสะดุดตาเข้าไปใหญ่ จนเธออดไม่ได้ที่จะชมเขา

หลินเซี่ยพูดชมเขาไม่หยุด มุมปากของเฉินเจียเหอเองก็ไม่หยุดกระตุกเป็นรอยยิ้มเหมือนกัน

หู่จื่อกำลังเล่นประทัดเล็กอยู่กลางสนาม

เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอกำลังติดป้ายไว้ที่หน้าบานประตู เขาก็ยกมือขึ้นจนสุดแขน แล้วลดแขนลง ก่อนจะอุทานว่า “พ่อครับ พ่อตัวสูงมากจริง ๆ ผมคิดเหมือนกับน้าเซี่ยเซี่ยเลย พ่อหล่อกว่าลุงเซี่ยอีก แต่ลุงเซี่ยตัวไม่สูงเท่าพ่อ งั้นคงเปรียบเทียบกันไม่ได้”

“ใช่ พ่อของเธอหล่อมากจริง ๆ”

เฉินเจียเหอเพิ่งติดกลอนคู่ลงไปบนประตู ในขณะที่หลินเซี่ยและหู่จื่อยืนเคียงข้างกัน พร้อมกับผลัดกันชมเชยไปมา สมาชิกครอบครัวทั้งสามสนุกสนานมาก

ลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข

ผู้อาวุโสทั้งสองเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขของพวกเขาก็ปลื้มปริ่มและโล่งใจ

หวังอวี้เสียทำงานอยู่ในครัว พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“เจียเหอโชคดีจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับเซี่ยเซี่ย ดูสายตาที่น่ารักของเธอเวลามองเจียเหอด้วยความชื่นชมสิ จากนี้ไปเจียเหอก็จะมีผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลเขา และรักเขาในที่สุด”

แม่เฒ่าโจวที่กำลังจุดไฟปาดน้ำตาอย่างมีความสุข “ใช่แล้ว ครอบครัวจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีผู้หญิงมาเติมเต็ม เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เจียเหอเลี้ยงดูลูกชายตัวคนเดียว พวกเราเองก็ไม่สามารถช่วยเขาได้มาก ที่ผ่านมาคงยากสำหรับเขาไม่น้อย ฉันดีใจจริง ๆ ที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คือสนับสนุนให้เจียเหอแต่งงานกับเซี่ยเซี่ย”

“แม่ เบาไฟลงหน่อยค่ะ น้ำมันควันโขมงหมดแล้ว” โจวลี่หรงขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มลึก

“ฉันทำเองดีกว่า” โจวลี่หรงพูดกับผู้เป็นแม่อย่างเย็นชา หญิงชราจึงยอมวางมือจากงานตรงหน้าและจากไป

ถึงอย่างนั้นก็ยังออกไปรวมกลุ่มกับคนด้านนอกเพื่อชมเชยเฉินเจียเหออีกคน

หลังจากที่โจวลี่หรงและหวังอวี้เสียทอดโหย่วปิ่งเสร็จแล้ว พวกหล่อนก็ทอดมันฝรั่งแผ่นลงในกระทะ เตรียมทำผักตุ๋นหม้อใหญ่สำหรับช่วงปีใหม่

หู่จื่อได้กลิ่นมันฝรั่งทอดหอมกรุ่น จึงเดินไปที่ประตูห้องครัวอย่างตะกละตะกลาม และมองเข้าไปข้างใน

พอเห็นว่าโจวลี่หรงอยู่คนเดียวในห้องครัวกำลังตักมันฝรั่งทอดพักไว้ในกะละมัง โดยที่ไม่เห็นนอาสะใภ้หรือน้าของเขา จึงได้แต่เลียปากเงียบ ๆ ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วหันหลังกลับ

ยังไม่ทันที่เขาจะจากไป ทันใดนั้น ชามใบเล็กที่เขามักจะใช้กินข้าวเป็นประจำก็ถูกผลักมาอยู่ตรงหน้า

หู่จือเงยหน้าขึ้น เห็นโจวลี่หรงเลื่อนชามใส่มันฝรั่งทอดมาให้เขา เขาตกตะลึงด้วยความประหลาดใจและยังมีท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ

เขาตั้งใจจะวิ่งหนี แต่มันฝรั่งทอดแสนอร่อยตรงหน้าก็เย้ายวนเสียเหลือเกิน

“เอาไปกินในบ้านไป” โจวลี่หรงมองเด็กน้อยอย่างเย็นชา หยิบชามมายัดใส่ในมือหู่จือ

จากนั้นก็หันหลังกลับ เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำงานต่อ

หู่จือยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวพร้อมกับชามมันฝรั่งทอด เขาขอบคุณคุณย่าอย่างเคอะเขิน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหลักด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า

หลินเซี่ยกำลังผสมไส้เกี๊ยว เมื่อเธอเหลือบไปเห็นมันฝรั่งทอดที่หู่จือยกออกมาจากในครัวก็เกิดน้ำลายสอขึ้นมา

แต่เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงค่อนข้างกระดากอายอยู่บ้างเมื่อต้องแย่งชิงอาหารกับเด็ก ๆ

เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “หูจือ อร่อยไหม?”

“อร่อยมากเลยครับ” หู่จื่อพูดขณะเคี้ยวเต็มปาก

หลินเซี่ย “จริงเหรอ? ไม่เชื่อหรอก”

“ถ้าไม่เชื่อก็ลองชิมดูสิ” หู่จือหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้

สองมือหลินเซี่ยกำลังยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า เธอกลั้นยิ้มแล้วโน้มตัวไปหาพร้อมกับอ้าปาก หู่จื่อจึงยัดมันฝรั่งชิ้นนั้นเข้าไปในปากเธอ

“อร่อยจริง ๆ ด้วย”

นานแล้วที่เธอไม่ได้กินมันฝรั่งทอดสดใหม่จากเตาแบบนี้

หู่จื่อหยิบเข้าปากอีกหนึ่งคำ จากนั้นก็นั่งลงข้างเธอ ฮัมเพลงร้องเล่นตามประสาเด็กโดยที่ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ

หลินเซี่ยเหลือบมองเขาแล้วถามว่า “วันนี้อารมณ์ดีมากเลยเหรอ?”

“แน่นอน”

คุณย่าแม่มดเฒ่ายอมแบ่งของอร่อยให้เขา อีกทั้งนี่ยังเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ดังนั้นเขาจึงมีความสุขมาก

เนื่องจากต้องทำเกี๊ยว หลินเซี่ยผสมไส้เสร็จก็วิ่งเข้าไปในครัวเพื่อเป็นลูกมือ

หวังอวี้เสียหลงใหลได้ปลื้มหลานสะใภ้คนนี้มาก ส่วนโจวลี่หรงก็เงียบขรึมเย็นชา แต่พวกหล่อนก็ยังทำงานประสานกันได้ดี บรรยากาศไม่แย่เกินไป

หลินเซี่ยห่อเกี๊ยว ขณะที่โจวลี่หรงและหวังอวี้เสียผลัดกันเอาเกี๊ยวลงทอด

หู่จื่อกินมันฝรั่งทอดที่ฝานเป็นชิ้นหมดแล้ว ก็เดินกลับเข้าไปในครัวพร้อมกับชามเปล่า

หวังอวี้เสียเห็นว่าปากของหู่จื่อมันเยิ้มไปหมด จึงถามด้วยรอยยิ้มใจดี “นี่แน่ะ หู่จือ ใครแบ่งมันฝรั่งทอดให้หนูจ๊ะ? เดี๋ยวเย็นนี้ก็อิ่มจนกินเกี๊ยวไม่ลงหรอก?”

หู่จื่อเหลือบมองโจวลี่หรงอย่างเคอะเขิน แล้วตอบกลับ “คุณย่าแบ่งให้ผมครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหู่จื่อ หลินเซี่ยก็เหลือบมองไปทางโจวลี่หรงโดยไม่รู้ตัว

ป้าแก่คนนี้ที่มักจะทำหน้าตาถมึงทึงอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ยังพอมีน้ำใจกับเด็กอยู่บ้าง

หล่อนอาจจะไม่ได้เกลียดหู่จื่อจากใจจริง แต่อาจไม่ชอบหน้าเขาเพราะเห็นแล้วทำให้นึกย้อนไปถึงอุบัติเหตุของลูกชายคนเล็กขึ้นมา

หวังอวี้เสียหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “คุณย่าเธอนี่เมตตาหลานตัวน้อยจริง ๆ แอบแบ่งขนมให้ลับ ๆ ไม่บอกใครเลย”

หู่จืออิ่มหนำสำราญแล้วเมื่อได้กินของที่อยากกิน เขาวางชามลงแล้ววิ่งหนีไป

โจวลี่หรงรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของหวังอวี้เสีย เร่งเร้าว่า “ห่อให้มันเร็วหน่อยสิ”

“อ้อ” ได้ยินแล้วหวังอวี้เสียก็เร่งมือให้เร็วขึ้น

มือของหลินเซี่ยก็รีดแป้งอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน สองแรงแข็งขันจนแป้งมีจำนวนเพียงพอ

หวังอวี้เสียเงียบไปสักพัก ไม่นานเธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากคุยกับหลินเซี่ย

“เซี่ยเซี่ย ตอนที่เธออยู่ในเมือง เธอเคยรู้จักกับแม่สามีของตัวเองมาก่อนหรือเปล่า?” หวังอวี้เสียถามโดยไม่อายแม้จะอยู่ต่อหน้าโจวลี่หรง ถามอย่างตรงไปตรงมา

หลินเซี่ยส่ายหน้า “ไม่รู้จักค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเธอกับเจียเหอรู้จักกันได้ยังไง?” หวังอวี้เสียถามด้วยสีหน้าซุกซน

พวกเขารู้จักกันได้อย่างไรกันนะ ทำไมเฉินเจียเหอถึงทุ่มเทให้กับผู้หญิงคนนี้มาก

หลินเซี่ยตอบกลับ “ฉันเคยช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง เราก็เลยได้รู้จักกันค่ะ”

“งั้นเหรอ หมายความว่าเธอเป็นสาวงาม แถมยังเป็นสาวงามขี่ม้าขาวอีกเหรอเนี่ย? เธอไปช่วยเขาได้ยังไง? ทำไมถึงได้มีความสามารถมากขนาดนั้นกัน?” หวังอวี้เสียเริ่มสนใจ มือที่กำลังทำงานพลอยหยุดขยับไปด้วย จ้องมองไปที่หลินเซี่ยอย่างกระตือรือร้น ตั้งตารอฟังเรื่องซุบซิบ…

ดวงตาของโจวลี่หรงขยับเล็กน้อย การเคลื่อนไหวขณะทำเกี๊ยวก็ช้าลงตาม ราวกับว่าหล่อนเองก็อยากรู้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ป้าเริ่มเปิดใจกับเซี่ยเซี่ยแล้วหรือยัง สะใภ้คนนี้ดีมากนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท