ตอนที่ 69 ในที่สุดพี่เฉินก็มีเมียแล้ว
ตอนที่ 69 ในที่สุดพี่เฉินก็มีเมียแล้ว
หลินเซี่ยสวมกอดหลิวกุ้ยอิง พลางทำท่าออดอ้อน “ก็ฉันอยากรู้เรื่องของแม่มากกว่านี้นี่นา”
“อย่า… พูดถึงเขาอีกเลย”
หลิวกุ้ยอิงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเธอ “รีบนอนซะ พรุ่งนี้ลูกยังต้องตื่นแต่เช้า”
จากนั้นหล่อนก็พลิกตัวไปอีกข้าง อ้าปากหาว ก่อนจะผล็อยหลับไป
“แม่?” หลินเซี่ยนอนไม่หลับ ยังมีเรื่องอยากคุยกับหล่อนต่อมากมาย จึงร้องเรียกหล่อนเบา ๆ
หลิวกุ้ยอิงไม่ตอบสนอง ดูเหมือนว่าหล่อนจะผล็อยหลับไปจริง ๆ
จากปฏิกิริยาของหลิวกุ้ยอิงเมื่อครู่นี้ ทำให้หลินเซี่ยรู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวมีบางอย่างผิดปกติ
สักวันหนึ่ง เธอจะหาทางขุดคุ้ยความลับที่ซ่อนอยู่ภายในใจหลิวกุ้ยอิง และตามหาความจริงทุกอย่างให้เจอ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิวกุ้ยอิงตื่นแต่เช้า รวบรวมแป้งเหลียงผีที่ทำไว้สองสามแผ่นเมื่อคืนนี้ แล้วฝากให้หลินเซี่ยเอาไปมอบให้ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลโจว
เมื่อคืนพวกเธอทำอาหารในปริมาณมากเกินไป หล่อนกับหลินเยี่ยนแบ่งกินหลายมื้อก็ไม่หมด
หลินเซี่ยเพิ่งล้างหน้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
หลิวกุ้ยอิงวิ่งไปเปิดประตูให้ พบว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือเฉินเจียเหอ “คุณแม่ ผมมารับเซี่ยเซี่ยครับ”
“เซี่ยเซี่ยตื่นแล้ว เข้ามาก่อนเถอะ” หลิวกุ้ยอิงเชิญให้เขาเข้าไป
หลินเซี่ยยังสวมผ้าพันคอไม่ทันเสร็จ เธอก็เดินออกมาจากห้องหลัก เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอมารับแล้ว จึงถามว่า “คุณมาแล้วเหรอ ฉันไม่ได้ตื่นสายเกินไปใช่ไหม?”
“ไม่สาย” เฉินเจียเหอพันผ้าพันคอให้เธอ “ไปกันเถอะ”
ก่อนออกเดินทาง หลินเซี่ยจับมือหลิวกุ้ยอิงแล้วกำชับกับหล่อนอีกครั้งว่า “แม่ จำสิ่งที่ฉันพูดไว้นะ อย่าเปิดประตูให้ใครโดยไม่จำเป็น และต้องปกป้องตัวเองให้ดี หลังจากเราแจ้งความเรียบร้อย แม่กับเสี่ยวเยี่ยนค่อยเดินทางไปที่ไห่เฉิง ฉันจะล่วงหน้าไปที่นั่นก่อน จะได้หาที่อยู่ให้”
“อืม”
หลินเยี่ยนยื่นแป้งเหลียงผีที่พวกเธอทำเมื่อคืนนี้ให้หลินเซี่ย จากนั้นสองแม่ลูกก็ส่งพวกเขาออกไป
โจวลี่หรงไม่มีกะจิตกะใจจะต่อต้านการแต่งงานของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยอีก ตอนนี้หล่อนกำลังกังวลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของเฉินเจียวั่ง และผู้เฒ่าโจวก็ได้อบรมปรับทัศนคติกับหล่อนตลอดทั้งคืน โดยบอกให้หล่อนปล่อยวางและหยุดเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย
ไม่อย่างนั้น สักวันหนึ่งหล่อนคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยที่ลูกหลานไม่ยุ่งเกี่ยวจริง ๆ
โจวลี่หรงแทบไม่อยากฟังสิ่งเหล่านี้ เมื่อนึกถึงอาการป่วยของลูกชายคนเล็ก หัวใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด
ทั้งโทษตัวเอง ทั้งรู้สึกผิด อารมณ์ต่าง ๆ ผสมปนเปกัน ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับเพราะความวิตก
โจวเจี้ยนกั๋วว่าจ้างรถสี่ล้อคันหนึ่งจากในหมู่บ้าน แล้วพาพวกเขาไปที่ตัวอำเภอ จากนั้นก็เดินทางไปที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋ว
ก่อนขึ้นรถ หู่จื่อสวมกอดผู้เฒ่าสองคนของตระกูลโจว พร้อมกับกล่าวคำอำลาพวกเขา
“คุณปู่ทวด คุณย่าทวด คุณปู่เล็ก คุณย่าเล็ก ถึงวันหยุดฤดูร้อนอีกเมื่อไหร่ผมจะกลับมาเยี่ยมทุกคนนะฮะ”
“อืม เจ้าหนู ถึงวันหยุดแล้วอย่าลืมกลับมาล่ะ พวกเราจะรอเธออยู่ที่บ้านเกิดของเรา”
เอ้อร์เลิ่งวิ่งออกจากบ้าน ก่อนจะยื่นมันเทศต้มสองลูกให้เฉินเจียเหอสำหรับเอาไว้กินระหว่างทาง
“หู่จือ ถ้าเธอกลับมา ฉันจะพาเธอไปปีนเก็บไข่นกนะ”
“เยี่ยมเลยครับ ลุงเอ้อร์เลิ่ง”
ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลโจวและครอบครัวโจวเจี้ยนกั๋วมองตามรถสี่ล้อที่ค่อย ๆ เคลื่อนจากไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย น่าเสียดายที่ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ราบรื่น
แม่เฒ่าโจวตะโกนว่า “อย่าลืมเขียนจดหมายมาด้วยล่ะ”
วันที่หกของช่วงปีใหม่มีคนเดินทางไม่มากนัก สถานีรถไฟจึงไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เฉินเจียเหอซื้อตั๋วนอนสามที่ ถึงเวลาแล้วครอบครัวทั้งสี่คนก็ขึ้นไปบนรถไฟ
ทันทีที่โจวลี่หรงขึ้นรถ หล่อนก็เอนหลังนอนโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยนอนไม่หลับ พวกเขานั่งมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถไฟ
หู่จือยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็รู้กาลเทศะ เมื่อรู้ว่าอาสามป่วย ย่าและพ่ออารมณ์ไม่ดี เขาจึงนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเฉินเจียเหออย่างเงียบ ๆ
จนกระทั่งเฉินเจียเหอเริ่มคุยกับหลินเซี่ย เขาจึงดันตัวขึ้นมาจากอ้อมแขน อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามด้วยความสงสัย
“พ่อครับ พ่อเป็นคนสร้างรถไฟขบวนนี้เหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วรถไฟที่โรงงานเครื่องจักรของพ่อผลิตคือขบวนไหนเหรอ?”
เฉินเจียเหอลูบหัวเขา “ไว้มีโอกาสพ่อจะพาลูกไปนั่งนะ”
เฉินเจียเหอมองไปที่หญิงสาวซึ่งเอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ถามเบา ๆ ว่า “ได้กลับไปไห่เฉิงคราวนี้ คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
หลินเซี่ยยิ้มบิดเบี้ยว “หลังจากฉันกลับไปแล้ว ชีวิตอาจไม่สงบสุขอีกต่อไป”
เขาจับมือเธอไว้ ดวงตาของเขามั่นคงและทรงพลัง “ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
รถไฟแล่นตะลุยไปข้างหน้าทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้าวันที่เจ็ดของช่วงปีใหม่ ลำโพงบนรถก็ส่งเสียงประกาศว่าขณะนี้มาถึงสถานีไห่เฉิงแล้ว
โจวลี่หรงล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง ตอนนี้หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะทะเลาะกับเฉินเจียเหอ จึงไม่พูดจาเหน็บแนมอะไรในเชิงไม่อนุญาตให้เขาพาหลินเซี่ยเข้าไปที่บ้านตระกูลเฉิน
หล่อนรู้แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถห้ามปรามเขาได้
สถานีไห่เฉิงมีขนาดกว้างใหญ่มาก ช่วงวันหยุดปีใหม่แบบนี้มีผู้โดยสารเดินทางกันน้อยมาก จัตุรัสด้านนอกจึงว่างเปล่า
ทางด้านทิศใต้หน้าประตูสถานีมีป้อมตำรวจตั้งอยู่ ชายหนุ่มในชุดตำรวจเดินลาดตระเวนกลับไปกลับมาด้วยความเบื่อหน่าย
หู่จือมีสายตาที่เฉียบคมมาก ทันทีที่เขาเห็นร่างนั้น ก็ตะโกนเสียงดังว่า “อาจวิ้นเฟิง”
“พ่อครับ อาจวิ้นเฟิงทำงานอยู่ตรงนั้น”
ถังจวิ้นเฟิงได้ยินเสียงของหู่จือก็หันมองไปด้านข้าง และเห็นว่าเฉินเจียเหอและผู้ติดตามของเขากำลังเดินมาทางนี้
เขาอุ้มหู่จือขึ้นมาตัวปลิว
จากนั้นก็ทักทายโจวลี่หรงก่อนใคร
“สวัสดีครับป้าโจว”
เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดตำรวจตรงหน้า โจวลี่หรงก็ตอบกลับเบา ๆ “เสี่ยวถัง สุขสันต์วันปีใหม่จ้ะ วันนี้เธอยังมาทำงานอยู่เหรอ?”
“ป้าโจว ผมยังต้องปฏิบัติหน้าที่ครับ”
ขณะที่ถังจวิ้นเฟิงอุ้มหู่จื่อ สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ผู้หญิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่เฉิน นี่ใครเหรอ?”
เฉินเจียเหอ “แฟนฉันเอง”
“อะไรนะ?” ถังจวิ้นเฟิงถึงกับสะดุ้ง รีบวางหู่จือลง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ระหว่างนั้นก็มองหน้าเฉินเจียเหอด้วยความไม่เชื่อ
“ฉันแต่งงานแล้ว” เฉินเจียเหอแนะนำเขา “หล่อนชื่อหลินเซี่ย นายควรเรียกหล่อนว่าพี่สะใภ้”
จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินเซี่ย “นี่คือถังจวิ้นเฟิง อดีตสหายร่วมรบของผม ตอนนี้เขาทำงานในสำนักสันติบาลประจำการจุดสถานีรถไฟ”
หลินเซี่ยพยักหน้าให้เขาพร้อมส่งยิ้ม “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” ถังจวิ้นเฟิงทักทายกลับอย่างเงอะงะ จากนั้นก็มองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าแปลก ๆ “พี่เฉิน อย่ามาอำกันเล่นนะ”
เฉินเจียเหอพูดเสริมว่า “ฉันจัดงานแต่งที่บ้านเกิดจริง ๆ”
“นี่…” ถังจวิ้นเฟิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ “จัดที่บ้านเกิดเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
เฉินเจียเหอไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาพูดว่า “ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน ที่บ้านยังมีธุระรออยู่ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
หู่จื่อโบกมือให้เขา “อาจวิ้นเฟิง บ๊ายบาย”
ครอบครัวสี่คนหิ้วกระเป๋าเดินทางจากไป ทิ้งให้ถังจวิ้นเฟิงนิ่งงันอยู่ตามลำพังท่ามกลางสายลมหวีดหวิว
เมื่อมองจากระยะไกล เขาเห็นเฉินเจียเหอจับจูงมือของหญิงสาวไว้จริง ๆ
พอเห็นภาพน่าประทับใจนั้น ถังจวิ้นเฟิงก็ถึงกับหลั่งน้ำตาทันที
พี่เฉินมีเมียแล้วจริง ๆ!!
ในที่สุดเขาก็เต็มใจแต่งภรรยาสักคน
เขาต้องรีบไปบอกข่าวดีที่เป็นเหมือนระเบิดสั่นสะเทือนวงการให้สหายพี่น้องรู้โดยทั่วกัน
โจวลี่หรงร้อนใจรีบกลับบ้าน เดินฉับ ๆ อย่างรวดเร็วไปที่ป้ายรถเมล์โดยไม่หยุดโบกรถข้างถนน
เฉินเจียเหอสะพายกระเป๋าเดินทางไว้บนไหล่ มือข้างหนึ่งจับมือหลินเซี่ย มืออีกข้างจูงมือหูจือ เดินตามหลังโจวลี่หรงไปตามทาง
หลังจากนั่งรถเมล์ไปได้ประมาณยี่สิบนาที พวกเขาก็ลงป้ายใกล้บ้าน
คุณปู่ของตระกูลเฉินเป็นทหารผ่านศึก ดังนั้นครอบครัวจึงอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการของเขตทหาร
โดยปกติแล้วพ่อแม่ของเขาจะแยกบ้านอยู่คนละที่กับปู่และย่า อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงปีใหม่ พวกเขาทั้งหมดจึงมาที่นี่เพื่อรวมญาติ
เช้าตรู่แบบนี้ ผู้สูงอายุหลายคนมาออกกำลังกายยามเช้าในบริเวณเขตทหาร ประตูบ้านตระกูลเฉินยังคงปิดอยู่ โจวลี่หรงเคาะประตูโดยไม่หยิบกุญแจออกมา จากนั้นเฉินเจียซิ่งก็เป็นคนมาเปิดให้
ดูเหมือนว่าเฉินเจียซิ่งเพิ่งตื่น ผมของเขาฟูยุ่งเหยิงจนเหมือนรังนก สารคัดหลั่งเป็นก้อนห้อยอยู่ที่มุมตา
ทันทีที่เขาเห็นหลินเซี่ยจับจูงมืออยู่กับเฉินเจียเหอ สีหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
แม่เขาบอกว่าจะอยู่ที่บ้านเกิดต่อเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?
หลายวันมานี้จัดการอะไรได้บ้าง?
ทำไมยังปล่อยให้เขาพาเธอกลับมาที่นี่อีกล่ะ!
แต่ตอนนี้เฉินเจียซิ่งไม่มีแก่ใจจะออกปากพล่ามถึงเรื่องส่วนตัวของเฉินเจียเหอ
เขาก้าวออกไปอย่างรู้สึกผิด “แม่ กลับมาแล้วเหรอ?”
“เจียวั่งเป็นยังไงบ้าง?” โจวลี่หรงรีบถาม
ดวงตาของเฉินเจียซิ่งกะพริบวูบไหว “ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้ชักเพิ่มอีก ตอนนี้น่าจะยังหลับอยู่”
เฉินเจียซิ่งเหลือบมองเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา และเดินตามโจวลี่หรงเข้าไปในบ้าน
เฉินเจียเหอจับมือหลินเซี่ยไว้แน่น พลางพูดปลอบใจเธอเบา ๆ “ไม่ต้องกลัวนะ ปู่ ย่า รวมถึงพ่อของผมเป็นคนใจกว้างและเป็นกันเองมาก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สงบศึกชั่วคราว ดูอาการของเจียวั่งก่อนนะ
ไหหม่า(海馬)