เขาไปเอาตาข้างไหนมาดูถึงได้กล้าพูดว่าเจ้าสำนักหยินหยางจะคุ้มครองเขากัน?
ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคงจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของวังตันติ่งกงยังมีเซียนที่แท้จริงอยู่ ถึงได้ตันสินใจเอ่ยออกไปว่าใครก็ไม่อาจแตะต้องเขา มาตอนนี้ยังคิดว่าจะได้อยู่อีกหรือ?
ต้าซือมิ่งและเจ้าแคว้นทองเดิมทีก็ชิงชังตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นนางพูดออกมาเช่นนั้น ในใจก็ยิ่งเกิดความชิงชังกว่าเดิม
เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้คิดจะสร้างความแตกร้าวแท้ๆ นี่มิเท่ากับว่าลากท่านเจ้าสำนักหยินหยางและพวกเขาที่เป็นคนในสำนักหยินหยางไปงัดข้อกับชาวจิ่วโจวทั้งหมดหรอกหรือ?
แต่ถึงแม้จะมีความไม่พอใจอยู่เต็มท้องก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่เห็นหรือว่าท่านเจ้าสำนักมีไอสังหารอยู่เต็มร่าง? ราวกับว่าหากใครกล้าด่าว่าเจ้าหนุ่มนั้นเพียงครึ่งคำ คงต้องถูกไอสังหารของเขาทิ่มแทงจนเป็นรูพรุนอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจึงได้แต่ก้มศีรษะลงไป สนใจไยกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงส่งกว่ารับเอาไว้ หากชาวจิ่วโจวบุกเข้ามา ท่านเจ้าสำนักก็ต้องขึ้นสวรรค์ไปเป็นคนแรก ส่วนพวกเขาอย่างมากก็คงต้องร่วมกลบฝังเท่านั้นเอง
เมื่อไม่มีหัว ตัวก็ต้องมีแผลถลอก….คิดๆดูแล้วช่างน่าอนาถใจจริงๆ
ว่าแล้วต่างก็ได้แต่คร่ำครวญกันอยู่ในใจ
ตู๋กูซิงหลันค่อยๆละเลียดริมฝีปากตนเองอย่างช้าๆ นางเหลือบตามองดูต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอยู่หลายครั้ง ว่าไปแล้ว ตอนที่นางยังเป็นไทเฮาน้อยอยู่…..ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนี้ ก็คอยหาเรื่องกับนางอยู่ไม่น้อย
ท่านราชครู ซิ่วเออร์….ใช่แล้ว ซิ่วเออร์ผู้นั้นก็คือคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนบนดินแดนจิ่วโจวอย่างไร ถึงได้คอยหาเรื่องแทงหลังจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งสุดท้ายก็ยังปั้น ‘ฉางซุนอิง’ ตัวปลอมนั่นออกมาอีกคน
เนื่องเพราะดินแดนจิ่วโจวนี้อยู่ห่างแสนไกล ข้อมูลที่ตู๋กูซิงหลันได้มาจึงยังมีน้อยไปอยู่บ้าง ทั้งยังไม่ทราบเรื่องของซิวหลัวเตี้ยนอย่างละเอียดนัก ตกลงแล้วพวกเขากับต้าโจว กับจีเฉวียนมีความแค้นใดกันแน่
ถึงขนาดที่ทำให้ แม้อยู่ห่างไกลกันด้วยพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นกลาง ก็ยังไม่อาจขัดขวางได้
เพราะรู้สึกถึงแววตาของนาง ต้าซือมิ่งถึงได้มองกลับไป ยามที่เขามองไปนั้น แววตาของตู๋กูซิงหลันก็มิได้หวั่นไหว ทั้งยังคมกริมประดุจเข็มที่สามารถทิ่มแทงผู้คนได้ตลอดเวลา
ที่นางมายังดินแดนจิ่วโจว เพราะตอนแรกมีจุดประสงค์จะตามหาพี่รอง …..กับบางที ชือหลีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
บิดาคนงามได้บอกกับนางแล้ว ว่า พี่รองยังไม่ตาย และบางทีอาจจะอยู่ในดินแดนจิ่วโจว หากนางไม่มีเป้าหมายในการตามหา ก็คงจะไม่ได้มาแล้ว
มิสู้เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของตนเองออกไป หากว่าพี่รองได้รู้ จะต้องเดินทางมาหานางเอง
ตอนนี้ มิใช่ว่ามีคนเหล่านี้เร่งรุดมาช่วยงานอยู่พอดีหรอกหรือ?
“ท่านเจ้าสำนัก ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่มาตราฐานในการรับศิษย์ของท่านต่ำต้อยจนถึงเพียงนี้?” ต้าซือมิ่ง ไม่ค่อยพอใจกับสายตาของตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร สีหน้าจึงดำทะมึนอยู่ตลอดเวลา “คนเป็นอาจารย์ยังไม่ทันเอ่ยวาจา เขาก็กระโดดโลดเต้นออกมาแล้ว”
สถานที่อย่างตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั้น ให้ความสำคัญกับกฏระเบียบและมารยาทอย่างที่สุด และตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นมาจากบรรยากาศเช่นนี้ตั้งแต่เล็กๆ โดยรักษาและทำตามกฏของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาโดยตลอด เขาจึงไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าคนอย่างตู๋กูซิงหลันที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ ทำไมท่านเจ้าสำนักหยินหยางถึงได้เห็นดีเห็นงามไปได้
เพราะว่า คนเช่นนี้ หากไปอยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ร้อยกี่พันหนตั้งแต่แรกแล้ว
อันที่จริงท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่นิยมพูดจามากความ และไม่ชอบคนมากและความครึกครื้น
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ที่พึ่งจะรับเข้ามาใหม่ผู้นี้ เขากลับชื่นชอบเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบให้คนมาเอ็ดตะโรโวยวายอยู่ที่ข้างหู แต่ว่าคำพูดคำจาของนางกลับฟังดูแล้วลื่นหูเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้อยของข้าบอกไม่ผิดแล้ว ข้าจะปกป้องเขา ชาวจิ่วโจวที่คิดไม่ตก อยากจะมาตาย ประตูใหญ่ของสำนักหยินหยางเราก็พร้อมต้อนรับ”
ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองถึงกับพูดอะไรไม่ออก…..
ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปาก ท่านเจ้าสำนักก็คิดจะจัดการกับผู้คนแล้ว
“ข้าชักจะล้าแล้ว ไม่อยากฟังวาจาไร้สาระอีก หากไม่มีเรื่องใดก็ไสหัวไปเสีย”
หลังจากนั้น เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวว่า “แน่นอน หากว่าอยากตาย ก็จงรั้งอยู่”
ต้าซือมิ่ง “…….”
เจ้าแคว้นทอง “……..”
ดังนั้นที่พวกเขาถ่อกันมาตั้งไกลก็เพื่อพาตัวเองมาถูกเหยียดหยามน่ะหรือ?
อยากจะกระอักเลือดออกมาเหลือเกิน
แต่ว่าที่นี่จะอย่างไรก็คือถิ่นของผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่กล้าพูดอะไรมาก ในเมื่อสู้ไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ หากยังไม่ไปล่ะก็ คงจะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆเอาไว้ที่นี่
ทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตามีที่มา มิใช่ว่าไร้ซึ่งสติปัญญา หลังไตร่ตรองดูเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจจากไป
เจ้าแคว้นทองรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดจะมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับซ่งชิงอี แต่มาถึงที่นี่ไม่เพียงโดนตบตีไปรอบหนึ่ง ยังถูกขับไล่กลับไปอีก คิดแล้วก็ได้แต่คับแค้น
ยังดีที่ต้าซือมิ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ พลางส่งสายตาให้เขาครั้งหนึ่ง เจ้าแคว้นทองจึงยอมถอยกลับไป
พอทั้งสองจากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงกว้างก็เงียบสงบลง
ภายในสำนักหยินหยางมีแต่ความมืด โถงกลางแม้กว้างใหญ่ แต่กลับเปิดหน้าต่างเอาไว้เพียงบานเดียว ทั่วทั้งโถงกว้างแขวนผ้าโปร่งดำสลับขาว ในโถงจุดเทียนเอาไว้ บรรยากาศดูไปแล้วคล้ายกับโถงสวดมนต์
เมื่อสองคนนั้นจากไป บรรดาศิษย์ในสำนักก็พากันถอยออกไป
เพียงครู่เดียวโถงกว้างก็มีแต่ความเงียบงันที่แม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน
รอจนผู้คนจากไปหมดแล้ว ตู๋กูซิงหลันค่อยเงยหน้าขึ้นมองดูคนข้างกาย นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา อย่าได้วิ่งวุ่นวาย”
“กลัวคนมาล้างแค้นหรือ?” ตู๋กูซิงหลัน โคลงศีรษะไปมา
“กลัวคนดักทำร้ายเจ้า”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
“ท่านเจ้าสำนัก”
“เรียกอาจารย์สิ”ตู๋กูซิงหลัน “……”
ช่างเถอะ ไม่คุยกับเขาแล้วก็ได้
อาจารย์ของนางมีเพียงซื่อมั่วคนเดียวตลอดกาล เขาไม่ใช่ซื่อมั่ว และก็ไม่ใช่จีเฉวียน นางจะไปโมเมเรียกเป็นอาจารย์ได้อย่างไร
……………………
ในดินแดนจิ่วโจวเต็มไปด้วยผู้ฝึกฝน ข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงอีตายแล้ว วังตันติ่งกงถูกทำลายจนแทบจะดับสูญ เจ้าแคว้นทองและต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ไปถกเถียงก็ถูกหยามเหยียดกลับไป ซ้ำยังถูกไล่ออกมาจากสำนักหยินหยาง
ข่าวนี้เพียงไม่กี่วันก็แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนจิ่วโจวแล้ว
และที่ยิ่งทำให้ชาวจิ่วโจวต้องตกตะลึงก็คือเจ้าสำนักหยินหยางที่กระทำเรื่องสังหารหมู่เพื่อศิษย์น้อยเพียงคนเดียวผู้นั้น เขายังจะมาร่วมงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติอีกด้วย?
โอ้ แล้วศิษย์น้อยผู้นั้นมีนามว่าอะไรนะ?
เยี่ยซิงหลัน
จุ๊……ทำไมถึงได้รู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างไรไม่รู้
เทศกาลหมื่นบุปผชาติ ถือเป็นงานใหญ่อันดับสองรองจากสุดยอดการประลอง
ทุกห้าปีในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง จะทำการจัดงานที่เมืองว่านฮวาเฉิง (เมืองหมื่นบุปผชาติ)
พูดตามจริงแล้วงานนี้ก็เป็นงานที่เจ้าแคว้นและหัวหน้าของขุมกำลังต่างๆมารวมตัวกัน เพื่อทำข้อตกลงเจรจาการค้าแลกเปลี่ยนความรู้ในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรต่างๆนานา
ก็เหมือนกับการจัดสุดยอดการประชุมเหล่าผู้นำในโลกปัจจุบัน
เจ้าสำนักหยินหยางที่พึ่งได้รับชัยชนะในสุดยอดการประลอง เขาย่อมต้องมาร่วมงานอย่างแน่นอนมิใช่หรือ?
…………………….
เมืองว่านฮวาเฉิง ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันเข้าประตูเมืองมา จมูกก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว
ตอนนี้ในดินแดนจิ่วโจวเป็นฤดูใบไม้ร่วง ที่อื่นๆล้วนมีแต่ใบไม้ปลิวว่อน มีแต่ที่เมืองว่านฮวาเฉิงที่อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ
ท้องฟ้าใสกระจ่างราวกับผ่านการซักล้าง เมฆลอยละล่องดุจขนมสายไหม เมื่ออยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามก็ยิ่งชวนให้คนมองมากกว่าเดิม
นางยื่นคอมองออกไปนอกรถม้า ดวงตาเปล่งประกายอย่างยากนักที่จะได้เห็น
ในเมืองว่านฮวาเฉิงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง และอาคารสูงที่สร้างจากไม้ อีกทั้งยังมีเกาะน้อยที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอีกด้วย
………………………..