ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่

ตอนที่ 100 เจอหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งในชาติใหม่

หลินเซี่ยมองไปทางคุณป้าทั้งหลายที่กำลังแย่งชิงเสื้อผ้าชุดใหม่กันเหมือนเด็ก ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงหนิว ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวฉันจะพาพวกคุณสองคนไปหาชุดกีฬาผู้ชายเองค่ะ”

“พี่สาวจาง พวกคุณอยู่ที่นี่แล้วต่อรองราคากันเองไปก่อนนะคะ ฉันจะพาลุงหนิวกับลุงหลี่ไปหาชุดกีฬาผู้ชายหน่อย”

“ได้ พวกเธอไปเถอะ”

หลินเซี่ยพาชายชราสองคนไปยังโซนเสื้อผ้าบุรุษ สายตาเหลือบไปเห็นชุดกีฬาสีน้ำเงินสำหรับใส่ไปเที่ยวนอกบ้าน

เพียงแต่แถบสีขาวไม่ได้อยู่ที่แขนเสื้อ แต่คาดกลางผ่านอกเสื้อ ช่วยลดอายุของผู้ที่สวมใส่ลงไปได้มาก

แต่ถึงอย่างไรชุดกีฬาแบบนี้ก็ไม่จำกัดอายุของผู้สวมใส่อยู่แล้ว

“คุณลุงทั้งสองคะ ชุดนี้ดูเป็นยังไงบ้าง?”

ลุงหนิวมองไปที่ชุดกีฬาสีน้ำเงินแล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลยล่ะ แต่หลังจากการแสดงบนเวทีจบลงแล้ว เราคงไม่มีโอกาสได้กลับไปใส่มันอีก”

“ลุงหนิว การออกกำลังกายและคลายกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ ต่อให้เราเข้าร่วมการแข่งขันเสร็จ หลังจากนั้นก็หยิบชุดเดิมมาใส่เพื่อเต้นหรือออกกำลังกายได้ ถึงตอนนั้นพวกคุณก็ชวนลุงป้าน้าอาคนอื่น ๆ ในเขตที่พักอาศัยของเราไปเต้นรำด้วยกันในสวนสาธารณะได้ คิดดูสิคะว่าจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน”

ตอนนี้เมื่อเธอมีโอกาสได้เกิดใหม่ เธอจะริเริ่มทำให้การเต้นแอโรบิกเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุก่อนเป็นอันดับแรก

ลุงหลี่ยิ้มและพูดว่า “พูดถึงเรื่องนี้ หลังจากฝึกซ้อมมาหลายวัน ฉันก็เริ่มติดใจเข้าแล้ว แม้แต่ตอนเข้านอนตอนกลางคืน ในสมองก็มีแต่เพลงความทรงจำสีชมพูเปิดวนซ้ำไปมา”

ภรรยาของลุงหลี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลูกชายและลูกสาวของเขาต่างก็แต่งงานแล้ว ตอนนี้เขาจึงอาศัยอยู่ตามลำพังในอาคารพักอาศัย หลังจากได้ร่วมฝึกซ้อมเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ไฟของเขาก็กลับมาลุกโชนอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด

“อีกหน่อยเราค่อยหาเพลงอื่น ๆ มาเต้นประกอบเพลงก็ได้ ค่อย ๆ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไปด้วยกัน”

“ถ้าอย่างนั้นมาลองดูกันเถอะ” ลุงหนิวขอให้พนักงานขายถอดชุดกีฬาตัวนั้นออกจากไม้แขวนแล้วลองสวมทับเสื้อตัวเองดูกับลุงหลี่

กล่าวถึงโซนเสื้อผ้าผู้หญิงด้านข้าง

“อวี้อิ๋ง เธอเป็นคนสวยนะ ชุดสีขาวตัวนี้เหมาะกับภาพลักษณ์ของเธอมากเชียวล่ะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และดัดผมอย่างทันสมัย หยิบชุดกระโปรงสีขาวออกจากราวแขวน ก่อนจะเอามาทาบบนร่างกายของเสิ่นอวี้อิ๋ง

นี่เป็นชุดกระโปรงสีขาวที่หล่อนได้มาหลังจากของให้พนักงานขายช่วยไปหาในโซนสินค้าคงคลังของปีที่แล้ว

เสิ่นอวี้อิ๋งถอดเสื้อแจ็คเกตสีชมพูที่สวมอยู่ออก แล้วก้มหน้าลงเพื่อตรวจสอบความยาวของชุด

“พี่คะ ถ้าใส่กระโปรงขึ้นแสดงจะหนาวเกินไปหรือเปล่า?”

“แค่ซื้อไปใส่ตอนแสดงอยู่บนเวทีเท่านั้นเอง ทันทีที่เธอแสดงจบฉันจะรีบรอถือเสื้อแจ็กเกตไปคลุมให้”

หญิงสาวผมยาวติดกิ๊บโบว์สีเขียวที่อยู่ด้านข้างรีบสนับสนุน “พี่สาวพูดถูก อวี้อิ๋งกับพี่ต้องดูสวยมากแน่นอนเมื่อสวมชุดกระโปรงสีขาว”

เสิ่นเสี่ยวเหมยยิ้ม “ลี่ลี่นี่สายตาไม่เลวเลยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นเอาตัวนี้ก็ได้ค่ะ” ในเมื่อทั้งเสิ่นเสี่ยวเหมยและหลิวลี่ลี่ยืนกรานว่าหล่อนควรสวมชุดกระโปรงสีขาวขึ้นแสดงบนเวที เสิ่นอวี้อิ๋งจึงรับฟังความคิดเห็นของพวกหล่อนอย่างว่าง่าย

เสิ่นเสี่ยวเหมยขอให้พนักงานขายนำชุดกระโปรงไปพับใส่ถุงแล้วจัดการจ่ายเงิน

“เอาล่ะ เรามาดูรองเท้ากันดีกว่า”

หลิวลี่ลี่รีบหยิบถุงบรรจุเสื้อผ้าไปถือไว้เอง

ทันทีที่ทั้งสามออกจากร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วก็ตรงไปยังพื้นที่ขายรองเท้า จนบังเอิญสวนกับหลินเซี่ยที่กำลังพาชายชราทั้งสองคนไปที่ร้านขายรองเท้าพอดี

หลินเซี่ยกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับลุงหนิวและคนอื่น ๆ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้หญิงสามคนที่เกือบจะชนเธออย่างจังเข้า รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็แข็งกระด้างไปฉับพลัน

ดวงตาของเธอมองผ่านหลิวลี่ลี่ไปตกอยู่ที่ร่างบอบบางในเสื้อแจ็กเกตสีชมพูที่อยู่ข้างหลัง

มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำแน่นเป็นกำปั้น

เมื่อมองดูใบหน้าบริสุทธิ์ไร้พิษภัยของเสิ่นอวี้อิ๋ง ความเกลียดชังก็บังเกิดขึ้นในดวงตา

เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ใบหน้าที่ดุร้ายและเลือดเย็นของเสิ่นอวี้อิ๋งในวินาทีก่อนที่เธอจะตายผุดขึ้นมาในใจของเธออีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

ถือเป็นการพบกันครั้งแรกหลังจากได้เกิดใหม่โดยที่ไม่ทันตั้งตัว

เสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้าขึ้นมาขวางทางหลินเซี่ย ใบหน้าอันงดงามของหล่อนเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง มองดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแล้วทำทีเหมือนจะหาเรื่อง

หากแต่หล่อนไม่พูดด้วยตัวเอง แต่ให้หลิวลี่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ เป็นคนออกโรง

นั่นเป็นเพราะเสิ่นเสี่ยวเหมยรู้จักพลังการต่อสู้ของหลินเซี่ยดี จึงกลัวว่าตัวเองอาจถูกหลินเซี่ยเอาชนะอีกครั้ง

เมื่ออยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเอง หล่อนเลือกที่จะปล่อยให้สุนัขรับใช้ทำหน้าที่แทน

และหลิวลี่ลี่ก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีจริง ๆ

“โอ้ นี่ใครน่ะ?”

หลิวลี่ลี่เดินเข้ามาบ้าง พลางมองเธอด้วยสายตาเยาะเย้ย มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ไม่เจอหน้ากันตั้งนาน ตอนนี้คงต้องเรียกชื่อเธอว่าหลินเซี่ยใช่ไหม?”

“เธอนี่โชคดีไม่เบาเลยนะ หลังจากถูกส่งตัวกลับบ้านนอก ก็จับพลัดจับผลูได้แต่งงาน จนกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง”

“ไห่เฉิงคือบ้านของฉัน ทำไมฉันจะกลับมาไม่ได้?” หลินเซี่ยมองอีกฝ่ายที่ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ไร้สมองด้วยความรังเกียจ เยาะเย้ยกลับ “เธอเปลี่ยนไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายใหม่แล้วสินะ? มิน่าล่ะหางถึงได้กระดิกระริกระรี้น่าดู”

หลิวจื้อหมิงและหลิวลี่ลี่คนนี้เป็นพี่น้องกัน ด้วยนิสัยแล้ว หล่อนจะเลียขาใครก็ตามที่หลิวจื้อหมิงเกาะอยู่

เด็กโง่คนนี้เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอมาก่อน เคยเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐด้วยกัน สนิทสนมกันราวกับพี่น้องร่วมอุทร กระทั่งวันที่ภูมิหลังที่แท้จริงของเธอถูกเปิดเผย พี่น้องคนนี้กลับเปลี่ยนหน้าเร็วกว่างิ้วเสฉวนเสียอีก

ทั้งสายตาและคำพูดที่เต็มไปด้วยความดูถูกของหลินเซี่ย ทำให้หลิวลี่ลี่รู้สึกอับอายขายหน้า “พูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระ คิดว่าฉันไม่กล้าฉีกปากเธอออกเป็นชิ้น ๆ หรือไง”

“เธอครอบครองรังนกกางเขนตั้งกี่ปี รู้ไหมว่าอวี้อิ๋งต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหนสมัยเธออยู่ในชนบท? ตั้งแต่หล่อนยังเด็กแทบไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้าดี ๆ กินใช้เหมือนใครเขา แถมยังถูกพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างทารุณ ในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอย่างสะดวกสบาย ตอนนี้สถานะของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่บ้านนอกอย่างดักดาน แถมยังได้แต่งงานกับพี่เขยของพี่เสี่ยวเหมยอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอมันไม่ต่างอะไรจากนางจิ้งจอก”

หลิวลี่ลี่พล่ามยาวเหมือนหมาบ้า ท่าทางฉุนเฉียวเกินจริง “ได้ยินมาว่าเธอทุบตีพี่เสี่ยวเหมยตอนกลับบ้านปีใหม่ด้วยนี่นา นังกาฝากหลงลืมกำพืด วันนี้ฉันจะสั่งสอนเธอเอง”

หลิวลี่ลี่เงื้อฝ่ามือขึ้นหมายจะโจมตีหลินเซี่ย

“คุณคะ ผู้หญิงบ้าคนนี้พยายามจะขัดขวางการซื้อของของพวกเราค่ะ” หลินเซี่ยมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ผลักแขนออกไปสุดแรงเพื่อทำให้อีกฝ่ายล้มลง แล้วแกล้งร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัว

หลิวลี่ลี่ที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลังล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปที่หลิวลี่ลี่ที่กองอยู่ข้างล่างด้วยความรังเกียจ

งี่เง่า

ทุกคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับหลินเซี่ยเมื่อก่อนต่างก็งี่เง่าพอ ๆ กัน

เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ทั้งเสิ่นเสี่ยวเหมยและเสิ่นอวี้อิ๋งจึงไม่ได้ขยับเข้าไปหาหล่อน

แต่เสิ่นอวี้อิ๋งแสดงน้ำใจโดยการช่วยหลิวลี่ลี่ให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลิวลี่ลี่ยังคงพ่นสาปแช่ง คิดจะตะครุบหลินเซี่ยอีกครั้ง

พนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างสรรพสินค้าที่สวมปลอกแขนสีแดงรีบเดินเข้ามาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย “พวกคุณทำอะไรกันอยู่? ถ้าคิดจะก่อปัญหาก็เชิญออกไปจากที่นี่ซะ”

หลินเซี่ยหยิบเสื้อผ้าของลุงหนิวและลุงหลี่ขึ้นมาถือไว้และบ่นว่า “ฉันพาคุณลุงสองคนนี้มาซื้อของค่ะ แต่พวกหล่อนเดินเข้ามาขวางทางฉันและพยายามจะหาเรื่อง โปรดจัดการเรื่องนี้แทนฉันด้วย”

ลุงหนิวซึ่งตอนแรกยุ่งกับการลองรองเท้าใหม่ พูดด้วยความโกรธว่า “ใช่ ผู้หญิงสมัยนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย แถมพวกเธอยังดูถูกและโจมตีคนอื่นในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง อยากรู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่พวกเธออบรมลูกสาวมายังไง”

“สหายคะ เราไม่ได้ตั้งใจจะก่อปัญหา พวกเรากับหลินเซี่ยเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ” เสิ่นอวี้อิ๋งรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างอ่อนหวาน จากนั้นก็หันไปเตือนอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ลี่ลี่ อย่าไปหาเรื่องเขาสิ”

หลิวลี่ลี่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เดินไปหลบอยู่ข้างหลัง

“หลินเซี่ย ฉันขอโทษด้วยนะ”

“คุณลุงทั้งสองคะ อย่าเพิ่งโกรธเคืองพวกเราไปเลย เพื่อนของฉันคนนี้แค่ใจร้อนไปหน่อย หล่อนแค่อยากเอาชนะแทนฉัน”

เสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งนุ่มนวลมากจนทุกคนยอมปิดปากเงียบ

เจ้าหน้าที่รปภ.เห็นว่าพวกเขาไม่มีความขัดแย้งระหว่างกันจริง จึงเดินออกไป

หลินเซี่ยมองอย่างเย็นชา พิจารณาสีหน้าอ่อนแอของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ

ช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์จริง ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งจงใจนำเสนอตัวเองว่าเป็นเหยื่อต่อหน้าลุงหนิวและคนอื่น ๆ เพื่อที่ในอนาคตหลินเซี่ยจะตกเป็นขี้ปากของพวกเขาจนไม่มีที่ยืนในเขตพักอาศัยของโรงงาน

เสิ่นอวี้อิ๋งหันกลับมามองเธออย่างจริงใจ และขอร้องว่า “หลินเซี่ย ฉันยังหวังว่าเธอจะกลับไปญาติดีกับตระกูลเสิ่นตามเดิมนะ พ่อแม่ของฉันคิดถึงเธอมาก เราพูดคุยกันแล้วว่าบางทีเราสองคนอาจจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันในอนาคตได้”

“อวี่อิ๋ง!” เสิ่นเสี่ยวเหมยขมวดคิ้ว เรียกหล่อนด้วยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ

ใครคิดถึงเธอกัน?

พี่ชายของหล่อนไม่เคยพูดถึงหลินเซี่ยเลยสักครั้งตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว? พี่สะใภ้หรือก็เอาแต่ทำงานอย่างหนักอยู่ที่โรงพยาบาลและยุ่งอยู่กับการดูแลเสิ่นอวี้หลง จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงหลินเซี่ยกัน

หรือจะเป็นลุง ก็มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะคิดถึงผู้หญิงโง่เง่าคนนี้

ลุงของหล่อนไม่ชอบหน้าหลินเซี่ยมาตั้งแต่เด็กแล้ว ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงมักจะหาเรื่องรังแกหลินเซี่ยอยู่บ่อย ๆ โดยได้รับการเข้าข้างจากลุงเสมอ

“ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเสิ่นอีกต่อไป แล้วทำไมฉันต้องกลับไปด้วย?” หลินเซี่ยแสยะปากแล้วถามกลับ

เสิ่นอวี้อิ๋ง ”???”

ในวันที่หล่อนกลับไปที่บ้านตระกูลเสิ่น หลินเซี่ยคนนี้ร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมจากไป แถมยังขอร้องให้พวกเขาเลี้ยงดูเธอให้อยู่ในเมืองต่อไปด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง

หรือพอเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่มาจากตระกูลดี ก็คิดดูถูกตระกูลเสิ่นขึ้นมา?

“ถึงฉันจะได้เจอครอบครัวที่แท้จริงของตัวเอง ฉันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะดูหมิ่นตระกูลหลินที่อยู่ในชนบทเลยสักครั้ง”

หลินเซี่ยมองเสิ่นอวี้อิ๋ง หัวเราะเย้ยหยันเบา ๆ “เธอนี่มันพระโพธิสัตว์ลงมาจุติจริง ๆ ช่างมีจิตใจดีงามเหลือเกินแม้จะถูกทารุณสารพัด แถมยังตอบแทนความชั่วร้ายด้วยความเมตตา เต็มใจที่จะเป็นพี่น้องกับฉันอีกด้วย ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ใจบุญสุนทานขนาดนี้มาก่อน น่าเลื่อมใสดีแท้”

หลินเซี่ยมองไปที่ใบหน้าไร้เดียงสาของเสิ่นอวี้อิ๋ง ทันใดนั้นความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในใจก็ท่วมท้น

ชาติที่แล้ว เธอหลงประทับใจกับรูปลักษณ์ที่ไร้พิษภัย จิตใจดีงาม และอ่อนโยนของอีกฝ่าย จนยอมกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นโดยไม่เคยฉุกคิดอะไร ผันตัวมาเป็นสาวรับใช้ด้วยความยินดี

หลินเซี่ยมองหน้าหล่อนและเยาะเย้ย “แต่เสียใจด้วย ฉันไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น”

ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นน่าสงสารมากกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งซะอีก “เธอรู้อะไรไหม? สมัยฉันยังอยู่ในตระกูลเสิ่น ฉันอาจจะถูกทารุณทั้งกายและใจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ ฉันถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยรังแกมาตั้งแต่เด็ก คุณเสิ่นเองก็ไม่เคยชอบหน้าฉัน เขามักจะดูถูกฉันอยู่เนือง ๆ ทุบตีฉัน และขังให้ฉันอยู่ในห้องมืดแคบ ๆ บ่อย ๆ บางครั้งก็ไม่ให้กินข้าว เพราะครอบครัวพวกเธอเห็นคุณค่าของลูกชายมากกว่าลูกสาว ทะนุถนอมฟูมฟักแค่น้องชาย ส่วนฉันเป็นแค่ดอกหญ้าที่ไม่มีใครสนใจ ถ้าตอนหลังฉันไม่ถูกส่งไปอยู่ที่บ้านคุณตาโดยมีคุณเซี่ยคอยดูแล เกรงว่าฉันอาจไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ก็ได้ เธอสอบไม่ผ่านสมัยเรียนยังได้โอกาสกลับไปสอบเทียบ แต่ตอนนั้นฉันถูกส่งไปทำงานที่ร้านตัดผมของรัฐในฐานะเด็กฝึกงาน ฮือ ๆ”

ให้ตายสิ นี่ไม่ใช่การแพร่ข่าวลือและทำให้ผู้คนแปดเปื้อนหรอกเหรอ?

คนอื่นอาจจะไม่รู้…

เธอถูกวงการมายาย้อมให้แสดงละครตบตาเก่งกาจโดยปริยาย

ในเมื่อหล่อนกล้าสาดน้ำโสโครกใส่หลินต้าฝูและหลิวกุ้ยอิง ฉันเองก็สาดกลับเป็นเหมือนกัน

อีกอย่าง เธอไม่ได้สร้างข่าวโคมลอยไร้สาระ แค่พูดให้เกินจริงนิดหน่อย

ต่างฝ่ายต่างได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเอง และเริ่มต้นชีวิตใหม่คนละเส้นทาง แต่ในเมื่อพวกหล่อนเลือกที่จะใส่ร้ายป้ายสีเธอ งั้นเรามาเปิดศึกกันเลยดีกว่า

ยี่สิบปีแรกของเธอดีกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งมาก ทำให้ในชาติก่อนเมื่อเธอได้เจอกับเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นครั้งแรก เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกละอายใจต่อสิ่งที่เสิ่นอวี้อิ๋งไม่เคยได้รับ

ชาตินี้ เมื่อได้เจอผู้หญิงหน้าซื่อใจคดอีกครั้ง ฮือ ๆ…

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็คำรามด้วยแรงอารมณ์ “ไร้สาระทั้งเพ ครอบครัวของเราเคยดูถูกและทุบตีเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ฉันกำลังพูดเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นขอถามเสิ่นอวี้อิ๋งหน่อยว่าเธอพูดเรื่องไร้สาระหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยก้าวเข้าหาเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยสายตาที่เฉียบคมและก้าวร้าว “เธอกล้าสาบานกับฟ้าไหมว่าที่ผ่านมาไม่เคยรังแกฉัน? ถ้าเธอพูดโกหกขอให้ถูกรถขับชนทันทีที่เธอออกจากห้างไป เธอกล้าพูดแบบนี้หรือเปล่า?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกเธอกดดันกลับ

สายตาที่ร้อนรนเพราะความผิดติดตัวยังคงดุร้าย

“เป็นเพราะแม่บ้านนอกคนนั้นของเธอจงใจสลับทารกเพื่อให้ลูกสาวตัวเองได้มีชีวิตที่ดี เรื่องนี้เธอแก้ตัวไม่ได้” เสิ่นเสี่ยวเหมยเปลี่ยนเรื่อง

หลินเซี่ยพูดอย่างมีหลักการเช่นเดียวกัน “พวกเราไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เมื่อไหร่ที่ความจริงปรากฏ ถ้าแม่ของฉันเป็นคนลงมืออย่างที่เธอกล่าวหาจริง ๆ ฉันนี่แหละจะส่งตัวเธอเข้าคุกด้วยตัวเอง แต่ถ้าคนร้ายเป็นคนอื่น คนคนนั้นก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน อย่าด่วนตอกฝาโลงไปหน่อยเลย”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจอหน้ายัยบัวเน่าแล้ว ต่อไปท่าจะมันแล้วล่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน