ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 103 หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 103 หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว

ตอนที่ 103 หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว

ชายมีหนวดเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า

“สาวน้อย พวกเราจ่ายเงินซื้อตึกนี้ก็เพราะต้องการจะใช้พื้นที่นี้เพื่อไปทำประโยชน์อย่างอื่น เกรงว่าคุณคงเปิดร้านเสริมสวยที่นี่ไม่ได้แล้ว แต่ถึงยังไงเจ้าของบ้านจะคืนเงินค่าเช่าให้คุณในภายหลัง แล้วคุณค่อยไปหาเช่าร้านที่อื่น”

สัญญาเป็นโมฆะ?

หลินเซี่ยวางไม้กวาดลงทันที มองดูเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เฉียน ฉันเกรงว่าคุณคงแก้ปัญหาง่าย ๆ แบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ ตามกฎหมายแล้ว การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ส่งผลหรือถือเป็นการละเมิดสัญญาเช่า แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าของตึกรายใหม่ แต่เนื้อหาที่มีใจความสมบูรณ์ในสัญญาเช่าก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด คุณไม่มีสิทธิ์มาขอให้ผู้เช่าย้ายออกก่อนหมดสัญญา ฉันสามารถอยู่อาศัยและใช้สถานที่แห่งนี้ได้จนกว่ากำหนดระยะเวลาเช่าในสัญญาเดิมจะสิ้นสุด นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดด้วยว่าผู้เช่าบ้านมีสิทธิ์ในการปฏิเสธ ถ้าฉันเองก็มีความตั้งใจที่จะซื้อตึกหลังนี้ด้วย แต่เจ้าของบ้านกลับขายทรัพย์สินลับหลังโดยไม่แจ้งให้ฉันที่เป็นผู้เช่าทราบ ฉันสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอใช้สิทธิ์ในการปฏิเสธครั้งแรกได้”

เฉียนต้าเฉิงขัดจังหวะเธอ “เอาน่า สาวน้อย อย่าเอาเรื่องกฎหมายมาสาธยายกับฉันในลักษณะที่เป็นทางการเลย พวกเราสามารถคืนเงินค่าเช่าให้คุณได้ และยินดีจ่ายค่าเสียหายเพิ่มให้ตามสมควรเนื่องจากละเมิดสัญญา คุณไปหาเช่าร้านที่อื่นเถอะ แม้แต่ร้านข้าง ๆ เราก็จ่ายเงินซื้อไปแล้วเหมือนกัน เพราะมีเวลาจำกัดเราเลยต้องเริ่มปรับปรุงพรุ่งนี้เลย”

“เถ้าแก่เฉียน ฉันชอบทำเลที่นี่มาก คุณคิดว่าแถวนี้ยังมีหน้าร้านว่าง ๆ ให้ฉันไปหาเช่าได้หรือไง? นี่มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินแล้ว สิ่งที่คุณทำโดยพลการส่งผลโดยตรงต่อรายได้จากอาชีพการงานของฉัน”

“ผู้หญิงอย่างคุณจะหาเงินจากอาชีพที่ว่าได้สักเท่าไหร่กันเชียว?” เฉียนต้าเฉิงพูดพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

แม้แต่ผู้ชายแบบเขายังทำงานให้กับเจ้านายเลย เธอซึ่งเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะคาดหวังอะไรในการทำธุรกิจกัน?

คิดว่าการเริ่มต้นสร้างตัวเป็นเรื่องง่ายนักหรือไง?

“คุณลุงเจ้าของบ้าน ถ้าคุณคิดจะขายตึกหลังนี้ อย่างน้อยคุณก็ควรจะแจ้งฉันล่วงหน้า เราเพิ่งเซ็นสัญญากันเมื่อวานนี้เอง มาวันนี้คุณกลับขายบ้านให้คนอื่นไปแล้ว ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?” หลินเซี่ยมองเจ้าของบ้านด้วยใบหน้าตรง

ผู้ชายคนนี้ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย

เจ้าของบ้านทำหน้ากระอักกระอ่วน

ถ้าเป็นเมื่อก่อนหรือเมื่อวาน เขาไม่เคยคิดที่จะขายตึกหลังนี้ด้วยซ้ำไป

แต่สาเหตุหลักที่ยอมขาย เป็นเพราะราคาที่เถ้าแก่หนุ่มคนนี้เสนอมันน่าดึงดูดใจเหลือเกิน

เขามีงานประจำทำ หน่วยงานของเขาเพิ่งจัดสรรสวัสดิการเป็นห้องชุดให้ เขาจึงต้องการเงินเพื่อทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์จากเขตพักอาศัยของหน่วยงานมาเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียว

ดังนั้น เมื่อมีคนมาเสนอขอซื้อตึกแถวโทรม ๆ สองชั้นของเขาในราคาที่สูงลิ่ว แน่นอนว่าเขาต้องตอบตกลง

หลินเซี่ยมองไปที่ชายชื่อเฉียนต้าเฉิง ถามว่า “ฉันขอถามได้ไหมว่าคุณซื้อตึกแถวหลังนี้ไปทำธุรกิจอะไร?”

“เราก็จะเปิดร้านเหมือนกัน” เฉียนต้าเฉิงตอบ

“ถึงยังไงคุณก็จ่ายเงินซื้อตึกไปแล้ว ขอฉันใช้สถานที่นี้ไปจนกว่าสัญญาเช่าจะหมดภายในหนึ่งปีได้ไหม? หรือถ้ามีผู้ประกอบการคนไหนบนถนนเส้นนี้ยกเลิกสัญญาเช่าแล้วปิดกิจการลง ฉันค่อยย้ายร้านไปเช่าที่นั่นแทนก็ได้”

หลินเซี่ยคาดเดาได้เลยว่าชายคนนี้ต้องร่ำรวยมากแน่ และอาจไม่ได้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งแค่อย่างเดียว ฉะนั้นเธอต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขา เพื่อดูว่าทั้งสองฝ่ายพอจะร่วมมือกันแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้ไหม

เธอไม่อยากย้ายร้านไปไหนจริง ๆ

เธอลดระดับเสียงลง และให้เหตุผลอย่างอดทนกับพวกเขาต่อไป “พวกคุณก็เห็นนี่ว่าถนนสายนี้ไม่มีหน้าร้านไหนว่างเลย คุณสนใจที่นี่ ฉันเองก็สนใจที่นี่เหมือนกัน ตราบใดที่คุณไม่เปิดร้านเสริมสวยชนกับฉัน ระหว่างพวกเราก็เท่ากับไม่มีการแข่งขันระหว่างกันไม่ใช่เหรอ?”

“สาวน้อย คุณนี่ช่างพูดช่างเจรจาเก่งจริง ๆ”

เฉียนต้าเฉิงชื่นชมเธอ แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน “ผมเกรงว่าเราคงร่วมมือกับคุณไม่ได้ เราจำเป็นต้องใช้ตึกแถวหลังนี้ทั้งสองตึก”

“แต่ผมจะขอให้เจ้าของบ้านคืนเงินค่าเช่าให้คุณเต็มจำนวน แล้วผมจะรับผิดชอบค่าเสียหายเอง คราวนี้สิ่งที่คุณต้องทำก็คือคืนกุญแจมาซะ”

เฉียนต้าเฉิงมีทัศนคติที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยเป็นเพียงผู้หญิงวัยละอ่อน เขาจึงไม่ได้จริงจังกับเธอมากนัก

อาจเป็นเพราะเธออ่อนโยนเกินไป หลินเซี่ยจึงเปลี่ยนสีหน้า มองไปที่เฉียนต้าเฉิงและเจ้าของบ้าน น้ำเสียงเวลาพูดแข็งแกร่งและกล้าหาญมากขึ้น

“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ถ้าพวกคุณไม่รับผิดชอบในการหาร้านใหม่ที่ฉันพึงพอใจ ฉันจะไม่ยกเลิกสัญญานี้เด็ดขาด และถ้าพวกคุณใช้กำลังข่มขู่ บีบบังคับ หรือรังแกผู้อ่อนแอ ฉันก็จะไปฟ้องศาลเหมือนกัน ฉันว่าตัวเองมีเหตุผลพอในเรื่องนี้น่ะค่ะ เราทั้งสองฝ่ายมาว่ากันด้วยกฎหมายเถอะ ถ้ากลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ ถึงตอนนั้นคุณคงทำธุรกิจอย่างไม่สงบสุขหรอกนะ“

“คุณพูดเรื่องอะไร? ฟ้องศาล? คิดจะเอาเรื่องกฎหมายมาขู่ใครกัน? เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ศาลอันทรงเกียรติหรือจะรับฟ้อง?”

หลินเซี่ยพูดอย่างชอบธรรม “หลังจากที่ฉันเซ็นสัญญา นั่นแปลว่าฉันได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย”

“สาวน้อย อย่าพยายามทำให้เรื่องยุ่ง…”

เฉียนต้าเฉิงยังพูดไม่ทันจบ เพจเจอร์ที่เหน็บอยู่ตรงเอวของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบเพจเจอร์ขึ้นมาดูต่อหน้าหลินเซี่ยด้วยท่าทางที่ชำนาญเพื่อตรวจสอบว่าใครเป็นคนส่งข้อความมา

เมื่อเขาเห็นหมายเลขที่แสดงด้านบน สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที

จากนั้นเขาก็ยกเพจเจอร์ขึ้นโบกราวกับตัวเองมีงานล้นมือ เดินออกไปแล้วพูดกับหลินเซี่ยว่า “ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการสักครู่ คุณรอผมอยู่ที่นี่ก่อน ผมจะไปบอกให้ลูกน้องมาเจรจากับคุณแทน”

จากนั้นเฉียนต้าเฉิงก็วิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรกลับหมายเลขนั้น

เจ้าของบ้านรู้สึกผิดเมื่อเผชิญหน้ากับหลินเซี่ยตามลำพัง ดังนั้นเขาจึงทำงานตามอุดมการณ์ของตัวเองอย่างขันแข็ง โดยหวังว่าเธอจะยอมรับเงินค่าเช่าและเงินชดเชยค่าเสียหายคืน แล้วไปเช่าร้านที่อื่น

แต่หลินเซี่ยยึดถือสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ไม่เต็มใจที่จะประนีประนอมง่าย ๆ

ถ้าพลาดร้านนี้ไปแล้ว เธอไปจะหาร้านที่มีทำเลเหมาะสมได้จากที่ไหนอีก?

ลุงเจ้าของบ้านขายตึกแถวไปแล้ว เขาได้รับเงินแล้ว เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยไม่ยอมท่าเดียวก็เลิกตอแย เดินกลับไปตามทางเดิม

ทันทีที่เจ้าของบ้านจากไป หลินเซี่ยก็โกรธมากจนไม่สนใจจะทำความสะอาดอีกต่อไป

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม ขอแค่มีเงินก็มีอำนาจเหนือกว่า

ผู้ชายแซ่เฉียนคนนี้น่าจะมีฐานะร่ำรวยมากจนสามารถกว้านซื้อตึกแถวได้สองหลังติด บางทีเธออาจไม่มีปัญญาไปสู้กับเขาจริง ๆ

ดังนั้นต้องคิดมาตรการรับมือไว้ก่อน

เธอคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เปิดประตูและเดินออกไป

ก่อนที่เธอจะออกมาจากร้าน ประตูก็ถูกเตะเปิดเข้ามาอย่างแรงจากด้านนอก

สีหน้าของหลินเซี่ยครึ้มลงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหยิบไม้กวาดบนพื้นขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับป้องกันตัว

คนแซ่เฉียนบอกว่าเขาจะไปตามลูกน้องมาเจรจาแทน หรือเขาไปหานักเลงมาใช้กำลังข่มขู่เธอกันแน่?

เสื้อผ้าของผู้ชายคนนั้นดูมีระดับก็จริง แต่เขาไว้หนวดเคราแบบเดียวกับพวกอันธพาลข้างถนน อาจจะเป็นนักเลงอัปเกรดก็ได้

หลินเซี่ยถือไม้กวาดกระชับแน่น ค่อย ๆ เปิดประตูออกไป

จริงดังคาด ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางหยิ่งยโสยืนอยู่ที่หน้าประตู

“คุณคงเป็นสาวน้อยที่คิดจะฟ้องพวกเราในชั้นศาลสินะ?”

“คุณ…” หลินเซี่ยมองไปยังชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เขาคนนี้สวมเสื้อแจ็กเกตยีนส์แบบทันสมัย ใส่รองเท้าหนังหัวแหลม บนหัวสวมหมวก ยังไม่ทันที่เธอจะอ้าปากคุยกับเขาก็ต้องตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

เขา….

หลินเซี่ยกลัวว่าตัวเองจะแสดงท่าทางตื่นตระหนกชัดเกินไป จึงพยายามรวบรวมสมาธิอย่างหนัก

เมื่อชายหนุ่มถูกสาวสวยจ้องมองเหมือนตกตะลึงจนตาค้างแบบนั้น เขาก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ยกมือขึ้นเซ็ตผมตัวเองโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อฉุกคิดถึงงานที่หัวหน้ามอบหมายให้ เขาก็กลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้งทันที สีหน้าแข็งกระด้างน้ำเสียงก็แข็งกร้าว “มองอะไรของคุณ? ถึงผมจะหน้าตาหล่อมาก แต่ผมไม่ยอมเล่นด้วยง่าย ๆ หรอก หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว!”

หลินเซี่ย “!!!”

………………………………………………………………………………………………………………………..สารจากผู้แปล

เซี่ยเซี่ยเรียกกำลังเสริมด่วนค่ะ เจอตอใหญ่เข้าให้แล้ว

หนุ่มคนนี้เป็นใคร คนรู้จักตั้งแต่ชาติก่อนเหรอ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท