ตอนที่ 104 หลินจินซาน
ตอนที่ 104 หลินจินซาน
หลินเซี่ยระงับความตกใจและความตื่นเต้นของตัวเอง พยายามควบคุมน้ำเสียง ขอคำยืนยันจากเขาว่า “คุณเป็นใคร?”
“ผมชื่อหลินจินซาน เรียกง่าย ๆ ว่าพี่ซาน คุณเองเรียกผมว่าพี่ซานก็ได้”
หลังจากที่หลินเซี่ยได้ยินเขาแนะนำชื่อให้เธอฟังเป็นการส่วนตัว เธอก็มองหน้าเขาแล้วยิ้มนิด ๆ รู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์
รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
ช่างเป็นโชคชะตาอันแสนวิเศษเหลือเกินที่ทำให้เธอได้เจอกับหลินจินซาน พี่ชายต่างแม่ของเธอที่นี่
เธอรู้ว่าหลินจินซานทำงานอยู่ในไห่เฉิง แต่ไม่คาดคิดว่าโอกาสที่พวกเขาได้มาเจอกันจะน่าทึ่งขนาดนี้
ถนนสายนี้สุดยอดจริง ๆ เมื่อวานเธอได้เจออดีตเพื่อนร่วมชั้น วันนี้ยังได้เจอพี่ชายตัวเองอีก
หลังจากเกิดใหม่ นี่ถือเป็นของขวัญจากพระเจ้าอย่างแท้จริงสำหรับเธอที่ได้เจอหลินจินซานในเวลานี้
พระเจ้ามีตา เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ปลูกฝังความสัมพันธ์ในครอบครัวขึ้นมาใหม่
เธอจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาถูกคนนอกยุยงเหมือนชาติก่อน จนพี่น้องแท้ ๆ กลายเป็นศัตรู
หลินเซี่ยไม่เพียงแต่รู้สึกประทับใจมาก ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณอีกด้วย
ความคิดของเธอเริ่มพรั่งพรู จนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
ตอนแรกหลินจินซานพยายามวางท่าหยิ่งยโส ตั้งใจว่าจะทำให้หญิงสาวหวาดกลัวด้วยรัศมีอันดุร้ายของเขา
แต่เมื่อเห็นเธอน้ำตาไหล เขาก็ใจอ่อนยวบลงอีกครั้ง
ถือเป็นบาปสำหรับเขาที่ทำให้สาวสวยคนนี้กลัวจนน้ำตาไหล
อย่างนั้นก็เถอะ เมื่อเธอเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ การเจรจาก็น่าจะง่ายขึ้น
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็อ่อนลงตาม “สาวน้อย ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ใช่ยักษ์กินคน ตราบใดที่เธอยอมให้ความร่วมมือกับเราโดยดี ส่งมอบเอกสารสัญญามาซะ จากนั้นก็รับเงินค่าเช่าคืนและจากไป เท่านี้พวกเราก็ไม่รังแกเธอแล้ว”
คำพูดของหลินจินซานทำให้หลินเซี่ยที่เศร้าโศกในตอนแรกกลับมามีเหตุผลอีกครั้ง
ผู้ชายคนนี้มาที่นี่เพื่อข่มขู่และบีบบังคับเธอจริง ๆ
หลินเซี่ยกลับมาอยู่ในความสงบทันที เข้าสู่สถานะเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว มองหน้าเขาแล้วถามว่า “พี่ซาน คุณมาที่นี่ทำไมนะ? มีคนส่งคุณมาคุยกับฉันเรื่องร้านค้าเหรอ?”
หลินจินซานเช็ตผมตัวเองอีกครั้ง ขยับท่ายืนโดยวางมาดกดดันอย่างเต็มที่ “ได้ยินมาว่าเธอยืนกรานว่าจะเช่าร้านที่พวกเราซื้อไปแล้วให้ได้?”
หลินเซี่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันเช่าก่อน แต่พวกคุณมาซื้อทีหลัง ถ้าการซื้อขายไม่ละเมิดสัญญาเช่า ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะเช่าที่นี่ต่อไปจนกว่าจะถึงกำหนดหมดสัญญา”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ฉันจะจ่ายค่าเสียหายตามสมควรให้ คราวนี้เธอก็แค่รับเงินแล้วออกไปจากที่นี่ซะ ถ้าไม่ยอมก็อย่ามาตำหนิพี่ซานที่ไม่ยอมเห็นอกเห็นใจ”
หลินจินซานพูดด้วยสีหน้าดุดัน เตือนเธออย่างมุ่งร้าย
เถ้าแก่สั่งให้เขาแสดงท่าทางก้าวร้าวอย่างออกนอกหน้า พยายามกำจัดหญิงสาวตัวเล็กผู้โง่เขลาคนนี้โดยเร็วที่สุด
สอนให้เธอรู้จักว่าสังคมภายนอกไม่ได้สวยงามขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และประเมินศัตรูต่ำเกินไป
แต่หลินเซี่ยกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเขาคุกคามเลย เธอเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองเขาพลางเยาะเย้ย “เหรอ แล้วคุณจะทำอะไรฉันได้? ถ้าพวกคุณละเมิดสัญญา ฉันก็กล้าไปขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องคุณ ถ้าคุณไม่ยอมให้ฉันเปิดร้านที่นี่โดยดี ก็อย่าคิดว่าตัวเองจะทำธุรกิจที่นี่ได้อย่างสงบเลย ฉันพอจะรู้จักเพื่อนที่เป็นทนายอยู่บ้าง มาสู้กันให้ล่มไปข้างกันเถอะ”
“คิดว่าตัวเองคุยโวอยู่กับใคร ฉันต่างหากที่มีเพื่อนเป็นทนายความ แถมยังรู้จักกับผู้พิพากษาด้วย” หลินจินซานตะคอกอย่างเย็นชา ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
หลินเซี่ยมองดูการแสดงออกที่หยิ่งผยองและอวดดีของเขา ก็นึกอยากเตะเขาขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นเรามาวัดกันดีกว่า ฉันจะไม่ส่งมอบสัญญาให้ มาดูกันว่าคนอย่างคุณจะทำอะไรกับฉันได้บ้าง”
“เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียวนะ ยังคิดจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกเหรอ? สัญญานั้นมีมูลค่ามากมายแค่ไหนกันเชียว? ใช่ว่าเราไม่ยอมคืนเงินค่าเช่าให้ซะหน่อย แถมเจ้านายของฉันยังยินดีชดเชยค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญาให้เธอด้วย หลังจากนั้นเธอก็ยังไปหาลู่ทางทำเงินใหม่ได้ ที่เธอไม่ยอมออกไปเป็นเพราะคิดจะโก่งราคาค่าเสียหายซะมากกว่า แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้เราต่อรองกันได้”
หลินเซี่ยกอดอกนิ่ง ไม่สนใจเขา
มองแวบแรกอาจดูเหมือนเธอกำลังเล่นแง่เพื่อโก่งค่าเสียหายอยู่ แต่ลองคิดอีกแง่ว่าถ้าธุรกิจของเธอไม่ประสบความสำเร็จจริง ๆ เธอก็ต้องย้ายไปเปิดร้านบนถนนสายอื่นเหมือนกัน การสูญเสียรายได้ในหนึ่งปีไม่สามารถชดเชยด้วยเงินแค่เล็กน้อยได้
“พี่ซาน ทำไมคุณดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับที่นี่นัก? คุณคิดจะใช้ตึกนี้เพื่อเปิดธุรกิจอะไร?”
“เจ้านายผมอยากเปิดธุรกิจประเภทหนึ่ง” หลังจากที่หลินจินซานพูดจบ เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะพูดความจริง จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “แต่เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายและเชื่อถือได้”
“อย่าเอาแต่ถามให้มากความ เวลาของเรามีค่า อย่าพยายามถ่วงเวลาเลย รับเงินไปแล้วไปหาเช่าร้านที่อื่นเถอะ ไม่งั้นก็อย่าโทษที่ฉันหยาบคายกับเธอ ผู้หญิงอย่างเธอจะไปรู้อะไร รู้ไหมว่าโลกภายนอกมันโหดร้ายแค่ไหน? ยิ่งทำธุรกิจก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน ”
หลินเซี่ยเริ่มปาดน้ำตาของเธอ “ใช่สิ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครให้พึ่งพา คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือไงกว่าฉันจะตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจ? คนรวยและมีอำนาจอย่างคุณไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาไม่พอยังมารังแกฉันอีก คุณยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหม? ถ้าน้องสาวคุณโดนผู้ชายรังแกแบบนี้บ้างจะรู้สึกยังไง?”
หลินจินซานทนไม่ได้อีกแล้วเมื่อเห็นเธอร้องไห้
แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าการใจดีต่อศัตรูคือการทำร้ายตัวเองทางอ้อม
คนที่ต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จะต้องโหดร้ายและโหดเหี้ยมมากพอ นี่คือสิ่งที่พี่เฉิงสอนเขา
“อะแฮ่ม บีบน้ำตาไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันเองก็ทำตามหน้าที่เหมือนกัน อย่าเอาแต่สร้างความลำบากใจต่อกันเลย”
หลินเซี่ยเหลือบมองหลินจินซาน ความจริงเขาก็เป็นคนที่มีจิตใจดี
“ถ้าพวกคุณไม่หาร้านค้าทำเลดีที่อยู่ใกล้กันนี้ให้ฉัน ฉันก็จะไม่คุยเรื่องสัญญา”
หลินเซี่ยนั่งลงตรงนั้น ปฏิเสธที่จะออกไป ทำให้หลินจินซานคิดวิธีจัดการกับเธอไม่ออก
เมื่อใดก็ตามที่ใช้เงินแก้ปัญหาไม่ได้ ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องยาก
“คุณมันลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือจริง ๆ ช่างกล้าแข็งข้อซะเหลือเกิน”
หลินจินซานไม่เลวพอที่จะจัดการกับหญิงสาวบอบบางด้วยกำปั้น อีกทั้งเจ้านายของเขาก็ไม่เคยสอนให้เขาใช้กำลังในการแก้ปัญหา
ทันใดนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
น่าเศร้าจริง ๆ การเป็นลูกน้องเถ้าแก่นี่ไม่ง่ายเลย
พอมีเรื่องเผือกร้อนก็มาตกอยู่ในมือเขา
เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ กลัวพี่เฉิงจะดุด่าถ้าเขาทำงานล่าช้า ดังนั้นเขาจึงได้แต่ลดระดับเสียงให้เบาลง และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ไปเถอะ ฉันจะไปกับเธอเพื่อสอบถามว่ามีร้านไหนที่พอจะเปิดให้เธอเช่าไหม จะได้ย้ายร้านไปที่ใหม่”
“ได้ งั้นพวกเราไปดูกันก่อนเถอะ” หลินเซี่ยยืนขึ้น ปัดฝุ่นบนก้นตัวเอง จากนั้นก็ล็อกประตูแล้วออกไปกับเขา
พวกเขาทั้งสองเดินเคียงข้างกันบนถนน หลินเซี่ยมองไปยังหลินจินซานที่กลายเป็นสหายนักเลงหน้าซื่อใจคด ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นภายในใจ
อาจเป็นเพราะเธอดีใจที่ได้เจอเขาเร็วกว่าที่คาดไว้
ข้างถนนมีคนตั้งแผงลอยขายเซาปิ่ง เธอรู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อย จึงแวะซื้อเซาปิ่งสองชิ้น หลังจากรับเงินทอนแล้วก็ยืนชิ้นหนึ่งให้หลินจินซาน
“ให้คุณ”
น้ำเสียงของเธอเป็นธรรมชาติมาก ไร้ซึ่งความเกลียดชังต่อเขา ราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมานานแรมปี
“ไม่เอา” เขาไม่อยากรับของจากใคร
“กินเถอะ ของพวกนี้ไม่ถือเป็นสินบนหรอก” หลินเซี่ยยัดใส่มือเขาแรง ๆ
หลินจินซานหยิบเซาปิ่งที่เธอยัดใส่มือตัวเองขึ้นมา จากนั้นมองหน้าหญิงสาว เห็นว่าเธอกัดเซาปิ่งเข้าไปเต็มปากแล้วเคี้ยวจนแก้มพองออกมา ดูเหมือนเป็นกระรอกตัวน้อยที่สะสมอาหาร
หลินจินซานอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อหลินเซี่ย” เธอกลืนเซาปิ่งลงคอแล้วตอบกลับ
“อะไรนะ?” หลินจินซานตื่นตะลึงมากจนเกือบทำเซาปิ่งในมือร่วงลงพื้น
เสียงนั้นแหลมสูงแทบจะกลายเป็นเสียงตะโกน
หลินเซี่ยสังเกตปฏิกิริยาตกใจของเขา กลั้นยิ้ม และแนะนำตัวอย่างจริงจัง “หลินเซี่ย หลินป่าไม้ เซี่ยฤดูร้อน”
หลังจากที่หลินเซี่ยแนะนำตัวเองแล้ว เธอก็มองไปที่หลินจินซานและถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมถึงทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ?”
“พูดตามตรง น้องสาวไร้ประโยชน์ของฉันก็ชื่อหลินเซี่ยเหมือนกัน”
หลินเซี่ย “…”
เธอพูดยิ้ม ๆ “จริงเหรอ? ดูเหมือนพวกเราถูกกำหนดให้มาเจอกันจริง ๆ”
“ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว ขอเดาว่าคุณคงมีความสัมพันธ์ที่มีดีกับน้องสาวคนนั้นใช่ไหม?” หลินเซี่ยถามหยั่งเชิงดู
“ฉันแทบไม่อยากพูดถึงหล่อนด้วยซ้ำ” หลินจินซานพูดจบก็ทำหน้าโกรธเคือง กัดเซาปิ่งเข้าปากคำหนึ่ง
“สำเนียงของคุณดูไม่เหมือนมาจากไห่เฉิงเลยนี่?” หลินเซี่ยถามเขาอีกครั้ง
หลินจินซานมองเธอด้วยความสนเท่ห์ ถามกลับว่า “สำเนียงฉันมีอะไรผิดปกติ? ฉันกำลังพูดภาษาจีนกลางมาตรฐานอยู่แท้ ๆ”
อีกสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือผู้คนมักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสำเนียงของเขา
ตอนเขาอยู่ที่เชินเฉิง เขาก็ถูกเลือกปฏิบัติเหมือนกันเมื่ออีกฝ่ายได้ยินสำเนียงของเขา
แต่หลินเซี่ยแค่หัวเราะฮิ ๆ เท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของหลินเซี่ย หลินจินซานจึงถามว่า “หรือว่ามันยังไม่ได้มาตรฐาน?”
หลินเซี่ย “มาตรฐานสิ สำเนียงภาษาจีนกลางของคุณไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
“แน่อยู่แล้ว ฉันพยายามฝึกออกเสียงพินอินอย่างหนักทุกวัน แต่ก็ยังมีคนบอกว่าฉันไม่สามารถแยกระหว่างมาตรฐานกับไม่มาตรฐานได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแยกความแตกต่างยังไง แม้แต่ครูในโรงเรียนประถมก็ไม่พูดภาษาจีนกลาง”
“ไว้มีโอกาสฉันจะสอนนะ” หลินเซี่ยกล่าว
“ดี ดี”
หลังจากที่หลินจินซานตอบเห็นด้วย เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั้งสองอยู่คนละฝั่งกัน อย่าเผลอถูกเธอหลอกตีสนิทเชียว
ดังนั้นเขาจึงกลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้งและพูดว่า “เรามาจัดการเรื่องร้านกันก่อน แล้วฉันค่อยพิจารณาว่าจะเรียนกับเธอดีไหม”
หลินเซี่ย “…”
พวกเขาทั้งสองไล่ถามเช่าร้านไปตลอดถนนสายนี้ พบว่าไม่มีร้านไหนขายหรือให้เช่าเลย แถมร้านอื่น ๆ กิจการก็เป็นไปได้สวย
เมื่อเดินไปจนสุดถนน หลินจินซานก็คิดจะข้ามถนนไปอีกฟาก “ไปฝั่งตรงข้ามของสี่แยกนี้กันเถอะ”
หลินเซี่ยยืนนิ่งอยู่ริมถนน “ไม่เอา ที่นั่นอยู่ไกลเกินไป”
ผู้ชายคนนี้หัวหมอไม่เบาเลย ถ้าข้ามสี่แยกไป คงมีตึกไหนสักตึกปล่อยให้เช่าหน้าร้านแน่นอน แต่เธอไม่อยากไปเปิดร้านในที่ห่างไกลแบบนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เอ้า โลกกลมเฉย เป็นพี่ชายตัวเองเสียนี่
ไหหม่า(海馬)