ตอนที่ 106 หลินเซี่ยผู้ไม่มีใครรัก
ตอนที่ 106 หลินเซี่ยผู้ไม่มีใครรัก
เมื่อโจวลี่หรงและเฉินเจียซิ่งมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ครอบครัวสามคนของเสิ่นเถี่ยจวินก็บังเอิญอยู่ที่บ้านเดิมด้วย
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นเห็นว่าโจวลี่หรงมาหา เขาก็ชักสีหน้าใส่อย่างไร้ความเมตตา แสดงความไม่พอใจต่อพวกเขาสองแม่ลูกอย่างเปิดเผย
“เสี่ยวโจว ตอนที่ฉันยกหลานสาวของฉันให้แต่งงานเข้าตระกูลเธอ ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าพวกเธอจะต้องปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี อย่าได้รังแกหล่อนเด็ดขาด ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของหล่อนจะจากไปก่อนวัยอันควร แต่ฉันก็ยังอยู่ ใครจะคิดว่าตั้งแต่หลานสาวฉันแต่งเข้าบ้านคนอื่น กลับโดนคนนอกรังแกโดยที่ตระกูลเสิ่นของหล่อนทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้พวกเขาหย่ากันซะเถอะ”
โจวลี่หรงยืนอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่าเสิ่นด้วยท่าทางเคารพ “ลุงเสิ่น อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าพวกเขาทั้งสองจะตกหลุมรักกัน การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น เราผู้ใหญ่ไม่ควรพูดถึงการหย่าร้างเพียงเพราะความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ”
“เธอยังสำนึกด้วยเหรอว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น?” ผู้เฒ่าเสิ่นยิ้มเยาะ “ถ้าอย่างนั้นทำไมลูกชายคนโตของเธอถึงได้แต่งงานอย่างรีบร้อนนัก? พูดถึงเด็กผู้หญิงเลี้ยงไม่เชื่องคนนั้น ตระกูลเสิ่นอุตส่าห์เลี้ยงดูหล่อนมาอย่างดี สุดท้ายก็สร้างความร้าวฉานให้กับคนของเรา ชั่วร้ายโดยสายเลือดจริง ๆ”
เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย ผู้เฒ่าเสิ่นก็โกรธมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเสิ่นเสี่ยวเหมยและเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาบ้านเมื่อวานนี้ พวกหล่อนก็บอกว่าหลินเซี่ยป่าวประกาศทำลายชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นในที่สาธารณะ แถมยังแพร่ข่าวลือว่าตัวเองเคยถูกทารุณกรรมสมัยอยู่กับตระกูลเสิ่น หลังจากผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินแบบนี้ ก็เกือบจะบุกไปที่เขตอาศัยของโรงงานยานยนต์เพื่อชำระความแล้ว
ใช่ เขาไม่เคยชอบหน้าผู้หญิงคนนั้นเลย เพราะเชื่อว่าเซี่ยหลานพลาดท่ากับผู้ชายคนอื่นก่อนที่จะมาแต่งงานกับลูกชายของเขา อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงที่ชื่อหลินเซี่ยในตอนเด็ก ๆ ก็ค่อนข้างคล้ายกับน้องสาวที่ตายจากไปของชายคนนั้น หลังจากผ่านไปหลายปี เขายังรู้สึกละอายใจแทนลูกชายตัวเองไม่หาย
ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมีท่าทางไม่แยแสต่อผู้หญิงคนนั้น แต่เขาก็ไม่เคยลงมือทำร้ายหล่อน
ผู้เฒ่าเสิ่นมองไปที่โจวลี่หรงด้วยใบหน้ามืดมน ดุด่าต่อไปว่า “ลูกชายคนโตของเธอมีความแค้นส่วนตัวกับพวกเราหรือเปล่า? เขาชอบอะไรในตัวผู้หญิงคนนั้นกัน? ฉันจำได้ว่าลูกชายคนโตของเธอโดดเด่นมาก แถมยังเป็นหัวเรือหลักของฝ่ายช่างเทคนิคแห่งโรงงานยานยนต์ด้วยซ้ำ ในอนาคตเขาจะกลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ แล้วทำไมเขาถึงได้ประมาทเรื่องการแต่งงานขนาดนี้? อย่าพูดเชียวนะว่าผู้หญิงคนนั้นเหมาะสมที่จะเป็นหลานสะใภ้ของตระกูลเฉิน หล่อนอายุน้อยกว่าลูกชายเธอตั้งเกือบสิบปี ไม่ว่ามองยังไง ลูกชายคนโตของเธอก็ไม่พ้นมีเจตนาจะเป็นปรปักษ์กับเราแน่”
โจวลี่หรงสีหน้าไม่ดีเลยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าเสิ่นพูด หล่อนไม่คาดคิดว่าชายชราแซ่เสิ่นที่ตัวเองเคารพนับถือมาโดยตลอด จะมีอคติต่อหลานสาวคนก่อนของเขาขนาดนี้
ในสายตาของเขา หลินเซี่ยช่างไร้ค่าจริง ๆ
ไม่ว่าหลินเซี่ยจะเป็นผู้หญิงดาษดื่นธรรมดาและโง่เขลาขนาดไหน ในฐานะที่เขาเคยเป็นปู่ เขาไม่ควรรังเกียจเดียดฉันท์เธออย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
ชายชราที่หล่อนเคารพนับถือคนนี้ ช่างไม่มีความอดทนต่อคนรุ่นหลังเอาเสียเลย
เสิ่นเสี่ยวเหมยเองก็เคยอธิบายลักษณะนิสัยของหลินเซี่ยให้กับตระกูลเฉินฟังมาก่อน กระทั่งโจวลี่หรงเชื่อคำบอกเล่าเหล่านั้น เมื่อได้ยินว่าลูกชายตัวเองตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่โง่เขลาและไม่เอาไหน หล่อนจึงพาเสิ่นเสี่ยวเหมยและเฉินเจียซิ่งกลับบ้านเกิดทันทีเพื่อขัดขวาง
แม้ว่าโจวลี่หรงจะต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้มาโดยตลอด แต่หลังจากพบปะกับหลินเซี่ยนานเข้า หล่อนกลับรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจว่าตระกูลเสิ่นต่างหากที่มีอคติต่อหลินเซี่ย
ที่จริงแล้ว เป็นเพราะตาชั่งความสมดุลในหัวใจของหล่อนกำลังค่อย ๆ เอียงลงต่างหาก
หล่อนมองไปทางผู้เฒ่าเสิ่น แล้วอธิบายอย่างสุภาพ
“ลุงเสิ่นคะ เจียเหอไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกคุณ มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องจงใจทำตัวเป็นปรปักษ์กับพวกคณด้วย? เรื่องของความรู้สึกเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม พอลูกโตขึ้น พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับจัดแจงของพ่อแม่อย่างพวกเราอีกต่อไป อีกอย่างเจียเหอยังทำงานอยู่ที่โรงงานยานยนต์ มีบ้านที่ทางหน่วยงานจัดสรรให้ ขอแค่เขาไม่กลับไปอยู่ที่บ้าน ต่อให้เขาจะอยู่กินกับหลินเซี่ย ก็ไม่เห็นจะส่งผลกระทบใด ๆ ต่อชีวิตคู่ของเจียซิ่งและเสี่ยวเหมย”
เดิมทีโจวลี่หรงเป็นคนที่มีบุคลิกเย็นชา เนื่องจากลักษณะงานที่หล่อนสังกัดอยู่ ทำให้หล่อนมีหน้าตาที่เคร่งขรึมและจริงจังอยู่เป็นนิจ
แต่ตอนนี้หล่อนกลับพูดตอกกลับอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้เฒ่าเสิ่น ผู้เฒ่าเสิ่นคิดว่าหล่อนกำลังยั่วยุเขา จึงตบโต๊ะเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ “จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ได้ยังไง? ในเมื่อตอนนี้ลูกสาวบุญธรรมที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลเสิ่นกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องของหล่อนไปแล้ว แถมพี่สะใภ้ของหล่อนยังแพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาภายนอกมากมาย บอกว่าตระกูลเสิ่นของเราเคยทำร้ายหล่อน หล่อนกล้าพูดได้ยังไงว่ามันไม่ส่งผลกระทบต่อเรา?”
ผู้เฒ่าเสิ่นโกรธมาก โจวลี่หรงได้แต่ยืนอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร
หล่อนไม่สามารถฝืนใจประจบประแจง แล้วก็ไม่สามารถก้มหัวยอมรับได้เช่นเดียวกัน
จึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไม่พูดอะไรสักคำ
เฉินเจียซิ่งจึงเป็นฝ่ายวิ่งไปรอบ ๆ อย่างร้อนใจ ยอมรับความผิดพลาดแทนครอบครัว และกล่าวขอโทษจนทำให้ผู้เฒ่าเสิ่นสงบลง
โจวลี่หรงมองไปที่ลูกชายไร้กระดูกสันหลังและศักดิ์ศรีคนนี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
บรรยากาศตึงเครียดและอึดอัดมาก เซี่ยหลานผู้ซึ่งทำหน้าเย็นชาตลอดเวลาและไม่พูดอะไรเลย เห็นว่าผู้เฒ่าเสิ่นรู้สึกโกรธกับเรื่องนี้จริง ๆ จึงตัดบทอย่างใจเย็นว่า “พ่อคะ หลินเซี่ยไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเสิ่นอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าหล่อนจะแต่งงานกับใครก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหล่อน ขอแค่หล่อนไม่มาก้าวก่ายกับพวกเราอีก ต่อให้คุณพ่อจะโกรธจนตายก็ไม่สามารถแทรกแซงอะไรได้”
น้ำเสียงของเซี่ยหลานมั่นคงและอุดมไปด้วยเหตุและผล
ทันทีที่เซี่ยหลานพูดอย่างนั้น ผู้เฒ่าเสิ่นซึ่งโกรธจัดอยู่แล้วก็ระเบิดความโกรธแค้นใส่หล่อนทันที “เซี่ยหลาน ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเธอเลยนะ ตอนที่นังเด็กนั่นอยู่ที่บ้านหลังนี้ ทำไมแม่อย่างเธอถึงไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองไปมีปฏิสัมพันธ์กับใคร? ฉันได้ยินมาว่าหล่อนรู้จักกับเฉินเจียเหอตั้งแต่ก่อนจะกลับบ้านนอกไปแล้ว แถมยังคบผู้ชายเป็นแฟนตั้งแต่อายุยังน้อย เธอนี่เป็นแม่ประสาอะไร?”
เซี่ยหลานตอบกลับด้วยใบหน้าเย็นชา “พ่อคะ อวี้หลงยังนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล ฉันเองก็ต้องไปทำงานและดูแลลูกชายของฉันเหมือนกัน ฉันแยกร่างไปดูลูกสองคนพร้อมกันไม่ได้ซะหน่อย จะมาถามหาความเป็นแม่จากฉันเพื่ออะไร?”
หล่อนมองไปที่ผู้เฒ่าเสิ่น เสิ่นเถี่ยจวิน และคนอื่น ๆ ในห้องรับแขกแล้วถามว่า “ฉันเองก็อยากจะถามสมาชิกของตระกูลเสิ่นทุกคนเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่หลินเซี่ยเกิดมา พวกคุณเคยปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเองไหม?”
เซี่ยหลานซึ่งมีอารมณ์คงที่อยู่เสมอ จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงหลังจากถูกผู้เฒ่าเสิ่นตั้งคำถาม ราวกับว่าหล่อนสะสมความโกรธและความคับข้องใจมาอย่างยาวนานจนอดไม่ได้ที่จะระบายออกไป หล่อนเพิกเฉยต่อบุคคลภายนอกก่อนจะกวาดตามองทุกคนแล้วร่ายคำถามยาวเหยียด
“พวกคุณทั้งครอบครัวเห็นพ้องต้องกันใช่ไหมล่ะว่าหล่อนเป็นลูกที่ติดท้องฉันมาจากผู้ชายคนอื่น? แค่เพราะหน้าตาหล่อนดูคล้ายกับใครคนหนึ่ง แต่ละคนจึงตั้งสมมติฐานกันไปทุกรูปแบบ แถมยังใช้ความรุนแรงอย่างเย็นชาต่อเด็กสารพัด ปฏิบัติต่อหล่อนและฉันด้วยคำพูดดูถูกเสียดสีอย่างไม่จบสิ้น พวกคุณคิดว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอหลังจากผ่านมาหลายปี? โชคดีที่วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้า จนเราสามารถใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉัน ไม่อย่างนั้นในสายตาของคุณคงมองว่าฉันกับหลินเซี่ยเป็นตัวน่าอับอายของตระกูลเสิ่นอย่างทุกครั้ง เห็นไหมว่าตอนนี้ไม่ว่าหล่อนจะมีหน้าตาเป็นยังไง หล่อนก็ไม่ได้มีตรงไหนที่เกี่ยวข้องกับฉัน”
เซี่ยหลานเหลือบมองเสิ่นอวี้อิ๋ง พูดกับพวกเขาต่อไป “พวกคุณก็เห็นผลการทดสอบของอวี้อิ๋งแล้วนี่ หล่อนคือลูกสาวตัวจริงของฉันกับเสิ่นเถี่ยจวิน ฉันมีความซื่อสัตย์ต่อตระกูลเสิ่นและเสิ่นเถี่ยจวินมาโดยตลอด มาถึงตอนนี้พวกคุณไม่รู้สึกผิดในใจบ้างเลยเหรอ? ยังจะรบกวนการแต่งงานของหลินเซี่ยให้มันได้อะไรขึ้นมา?”
ดวงตาของผู้เฒ่าเสิ่นกะพริบปริบ เผยให้เห็นถึงความรู้สึกผิด
เสิ่นเถี่ยจวินเริ่มกังวล ลุกขึ้นยืนเพื่อห้ามปรามเซี่ยหลาน “เสี่ยวหลาน อย่าพูดแบบนี้เลย”
“ได้ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” เซี่ยหลานมองพวกเขาอย่างเฉยเมย พูดต่ออย่างเย็นชา
“แต่ฉันยังหวังว่าพวกคุณจะเลิกทำมือยื่นมือยาวซะที เพราะพวกคุณไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น”
เซี่ยหลานยืนขึ้นและตั้งใจว่าจะออกไป
หล่อนไม่ลืมกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพกับโจวลี่หรง “แม่เจียซิ่ง ฉันยังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องไปจัดการ ดังนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
โจวลี่หรงพยักหน้า “ค่ะ”
“กรุณาเมตตาหลินเซี่ยด้วยนะคะ” หลังจากที่เซี่ยหลานพูดอย่างนั้น หล่อนก็หันหลังกลับและเดินจากไป เสิ่นเถี่ยจวินเห็นแบบนั้นก็รีบไล่ตามภรรยาออกไปทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยผิดตรงไหน ผิดก็เพราะตระกูลเสิ่นทั้งตระกูลเนี่ยแหละที่ทำให้ชีวิตวุ่นวาย
ไหหม่า(海馬)