ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจตรวจสอบว่า รถม้าที่ดูผุๆพังๆคันนี้มาจอดอยู่ที่หน้าประตูของจุ้ยเซียนจูได้อย่างไรกัน?
เมืองว่านฮวาเฉิงคือจุดที่เฟื่องฟูและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนจิ่วโจว จึงเป็นพื้นที่ที่ห้าแคว้นใหญ่และสามขุมกำลังร่วมกันปกครอง
ต่อให้เป็นคนที่ยากจนที่สุดในเมืองว่านฮวาเฉิง ก็ยังต้องมีบ้านมีสัตว์อสูรวิญญาณเอาไว้ใช้ ไหนเลยจะนั่งรถมามาได้กัน?
สัตว์ธรรมดาอย่างม้า มาปรากฏตัวที่เมืองว่านฮวาเฉิงนั้น ถือเป็นการลบลู่เมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว!
ผู้คนต่างก็พากันหันไปมองดู ต่างก็อยากจะรู้ว่าผู้ที่ไม่รู้ธรรมเนียมนั้นเป็นผู้ใด แต่มองดูอย่างไร ก็ไม่เห็นว่าในรถม้านั่นจะมีคนอยู่
อืม…..ยังดีที่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง รู้ตัวว่าตนเองทำเรื่องน่าละอายจนไม่อาจสู้หน้าผู้คน จึงได้ทิ้งรถไว้แล้วจากไปสินะ
…………………
จุ้ยเซียนจู ชั้นบนสุด
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะวางเท้าลงไป ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม
นี่เป็นพรมผืนใหญ่ที่มีลวดลายหรูหรางดงาม ไม่รู้ว่าทำมาจากขนสัตว์ชนิดใดกัน ยังนุ่มกว่าขนแกะเสียอีก พอย่ำเท้าลงไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบลงไปบนปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น
อ่อนนุ่มจนยวบลงไป แต่พอชักเท้าออกมาก็พรมก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
ไม่เหลือรอยยับรอยย่นใดๆ
ช่องทางเดินที่กว้างขวางทั้งสองข้าง ประดับตกแต่งด้วยของเก่าโบราณที่ประณีตสวยงาม บนกำแพงยังแขวนภาพที่วิจิตรงดงามเอาไว้ ตอนอยู่ที่ชั้นล่างยังได้กลิ่นเนื้อที่หอมหวนอบอวลอยู่เต็มไปหมด แต่พอมาถึงชั้นบนสุด กลับเป็นกลิ่นของไม้ถานเซียง
ชั้นบนที่หรูหรางดงาม กลับไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
ท่านเจ้าสำนักคว้าข้อมือของตู๋กูซิงหลัน เดินลึกเข้าไปตามทางเดิน
ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน แสงสว่างก็ยิ่งน้อยลง กระทั่งถึงห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลขหนึ่ง’ ท่านเจ้าสำนักถึงได้หยุดเท้าลง
พอโบกชายเสื้อครั้งหนึ่ง บานประตูที่จัดสร้างจากแผ่นหยกก็ค่อยเปิดออก แสงสว่างภายในห้องยังคงอ่อนจาง มีเพียงเทียนสีแดงครึ่งเล่มที่จุดทิ้งเอาไว้จนน้ำตาเทียบย้อยลงมา
เขาคว้าตัวตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็นั่งลงบนเบาะที่อยู่ใกล้หน้าต่าง
ทั้งยังลากตู๋กูซิงหลันลงมานั่งข้างๆ
ตู๋กูซิงหลันมองดูการตกแต่งภายในห้องอย่างประหลาดใจ บรรยากาศของภาพในห้องทำให้อยู่ๆนางก็คิดถึงห้องทรงพระอักษรในพระตำหนักตี้หัวกงขึ้นมา
ดูโบราณ มีชั้นหนังสือมากมาย มีหนังสืออยู่เต็มไปหมด
เพียงแต่ห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลยหนึ่ง’นี้ ยังมีหนังสือมากกว่าในห้องพระอักษรเสียอีก แค่ดูก็รู้ว่าทรงคุณค่ามากมายถึงเพียงไหน
ทุกสิ่งล้วนงดงามและประณีต แค่ดูก็รู้ว่าหรูหราอลังการไปทุกๆอย่าง
บนโต๊ะเตี้ยมีชาร้อนตระเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ท่านเจ้าสำนักเอื้อมมือไปรินมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้ตนเอง อีกถ้วยหนึ่งส่งให้นาง
ตู๋กูซิงหลันรับมาถือเอาไว้ในมือ จิบน้อยๆคำหนึ่ง
ทันทีที่กลืนลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดก็เหมือนได้รับการชำระล้าง รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย สมองก็สดใสขึ้นมาก
สมแล้วที่เป็นสถานล่อลวงผู้คนแค่น้ำชาคำเดียวก็ยังมีผลลัพธ์ถึงเพียงนี้
มิน่าเล่าที่ด้านนอกถึงได้มีผู้คนมากมายเข้าแถวรอ
“นี่คือชาอู้เต้า ดื่มให้มากหน่อย มีสรรพคุณช่วยทะลวงชีพจร กระตุ้นสมองให้แจ่มใส”
ท่านเจ้าสำนักรินให้นางอีกครั้งจนเต็ม จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปเปิดหน้าต่างออกไปครึ่งหนึ่ง
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยถูกต้อง นางโง่หรือ?
ชาอู้เต้า…..ที่อารามเทียนเก๋อกวนก็มี อู๋เจินมักจะจัดส่งมาให้ที่วังอยู่เสมอ นางเองก็เคยดื่มมาก่อน
เพียงแต่ว่าชาอู้เต้าของอารามเทียนเก๋อกวน มิได้มีสรรพคุณดีเยี่ยมเช่นนี้
พอดื่มชานี้ลงไปอึดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นศีรษะลงไปมองดูข้างล่าง ก่อนนี้ไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้พอมองลงไปดู ถึงได้เห็นว่าที่ด้านล่างตรงหน้าเหลาจุ้ยเซียนจูมีคนเขาแถวรอกันอยู่ยาวเหยียด
ที่ปากประตูมีสาวน้อยที่สวมใส่ชุดพนักงานอยู่ผู้หนึ่ง กำลังให้การต้อนรับลูกค้าที่มาต่อแถว
ส่วนรถม้าของพวกเขา ถูกลากไปทิ้งเอาไว้ที่ด้านข้างอย่างไม่สนใจไยดี
ตู๋กูซิงหลันเก็บสายตากลับมา ครุ่นคิดถึงปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่ง
อีกสักครู่พอถูกเจ้าของเหลาจุ้นเซียนจูจับได้ แล้วโยนลงไป…..นางสมควรจะกลิ้งลงไปอย่างไรถึงจะลื่นไหล?
สมองยังคงคิดอะไรไม่ออก ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากจะกินอะไร?”
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
“หืมไม่ใช่ของกิน”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
นางคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เนื้อ”
นางชอบกินเนื้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากไม่มีเนื้อก็เศร้า โดยเฉพาะขาหมู แพะย่างล้วนเป็นของโปรด
“ข้าเข้าใจแล้ว” ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆสามครั้ง
ตู๋กูซิงหลันมิได้ละเลยปฏิกริยาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
นิสัยประจำตัวอย่างหนึ่งของจีเฉวียนก็คือใช้นิ้วเคาะโต๊ะ
ทุกครั้งที่นางนึกถึงขึ้นมา ก็ยังอดที่จะทำตามไม่ได้เช่นกัน
พอตอนนี้ได้เห็นเขาแสดงออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องชะงักงันไปเล็กน้อย
นางวางถ้วยชาบนมือลง ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านเจ้าสำนัก เจ้าแน่ใจหรือว่าตนเองไม่มีชื่อ?”
นางติดตามเขามาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อของตนเองมาก่อนเลย
ทั่วทั้งสำนักหยินหยางเองก็ไม่มีใครรู้ ว่าท่านเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขามีนามว่าอะไร
สีหน้าของท่านเจ้าสำนักยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดวงตาหงส์คู่นั้นปราศจากแววลังเล “เรียกว่าอาจารย์”
ศิษย์ตัวน้อยช่างไม่เชื่อฟัง ผ่านมาก็ตั้งนานหลายวันแล้วยังไม่ยอมเรียกเขาว่าอาจารย์สักคำ
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมาคุกเข่าตัวตรง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องไปที่เขาด้วยแววตาที่เจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกน้อย
“บอกชื่อของเจ้ามาสิ แล้วข้าจะเรียก”
นี่ถือว่านางถอยให้ก้าวใหญ่ที่สุดแล้ว
ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจนาง เขาเพียงแต่หลุบตาลง มองดูเงาของตนเองในจอกน้ำชา ใบหน้านั้นช่างดูคุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกันก็แปลกตาด้วย
ถามว่าเขาชื่ออะไรน่ะหรือ …..ดูเหมือนว่าตั้งแต่จำความได้ เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนเองชื่ออะไร
ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นเย็นๆของสำนักหยินหยาง ในสำนักกำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
เขาไม่ได้ตั้งใจเท่าไรแต่กลับกลายเป็นว่าฆ่าฟันจนกลายเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นเจ้าสำนัก
พอสุดท้ายก็เข้าสู่ช่วงสุดยอดการประลองของจิ่วโจวพอดี จึงเข้าร่วมการประลองในนามของสำนักหยินหยาง
จากนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจอีกนั่นแหละ ชนะ
เรื่องราวก็เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนอย่างที่ศิษย์ตัวน้อยคิด
เขาชื่อว่าอะไร มาจากที่ไหน ปีนี้อายุเท่าไหร่ ล้วนไม่รู้สักอย่าง
ท่านเจ้าสำนักได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ แต่สีหน้ากลับไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
คนทั้งสำนักหยินหยางต่างก็คิดว่าเขาไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จะดีใจเป็นทุกข์ขุ่นเคืองหรือโกรธเกรี้ยวก็มีอยู่สีหน้าเดียว
พวกเขาไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วเขาเพียงแต่เก็บอารมณ์ได้ดีเกินไปเท่านั้น บนสีหน้าไม่เคยแพร่งพรายอารมณ์ใดๆโดยง่าย
เขาเงียบงันไปเนิ่นนาน นานเสียจนนางนึกว่าเขาคร้านที่จะสนใจนางเสียแล้ว
แต่แล้วริมฝีปากกลีบบัวที่ผุดจากนรกคู่นั้นกลับขยับ
“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าไม่มีชื่อ”
ประโยคนี้ตู๋กูซิงหลันฟังมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว นางนวดขมับตนเอง พยายามเก็บความรู้สึกที่อยากระเบิดอารมณ์ออกมา
แต่แล้วก็เห็นว่าเขาอยู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาหงส์คู่นั้นมองลึกเข้าไปในแววตาของนาง
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าตั้งชื่อให้ข้า”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเขานั้นเหมือนกับว่ากำลังมอบเกียรติอันสูงส่งบางอย่างให้กับนาง
เขานั่งตัวตรงอย่างสง่างาม สีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่ง แววตาเย็นชาทว่าสูงส่ง ทั้งดูร้ายกาจและเข้มงวดอยู่ในที
………………………..