ตอนที่ 130 สมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ตอนที่ 130 สมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
หลินเซี่ยมองไปยังหลินจินซานที่กัดฟันเมื่อเอ่ยถึงเสิ่นอวี้อิ๋ง ทำให้รับรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องราวระหว่างพวกเขา
ในชาติก่อน เสิ่นอวี้อิ๋งพบกับหลินจินซานที่ดูโอ้อวดปะปนอยู่ในเมืองจึงตีสนิทกับเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องสาวนับว่าไม่เลว
ส่วนตัวเธอเองนั้น ด้วยเพราะถูกล้างสมองด้วยฝีมือของเสิ่นอวี้อิ๋ง ทำให้เกลียดชังตระกูลหลินและแทบไม่มีการติดต่อสมาคมกับหลินจินซาน ทั้งยังไม่ทราบถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเสิ่นอวี้อิ๋งที่บ้านเกิดของเขา
สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงดูไม่สบายใจนัก จึงทำตัวเป็นคนกลาง “จินซาน เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่ายกมาพูดอีกเลย”
หลินจินซานมองหลิวกุ้ยอิงด้วยความผิดหวังและบ่นว่า “แม่ครับ แม่ไม่ได้เป็นคนคลอดหล่อนมาเสียหน่อย? ยังจะหันไปเข้าข้างยายตัวร้ายนั่นอีกเหรอ? ถ้าแม่ไม่ล้างความอัปยศให้ผม ผมจะออกไปตอนนี้เลย”
หลินจินซานทำท่าจะลุกขึ้น หลิวกุ้ยอิงรีบดึงเขากลับมา “ไม่ใช่ จินซาน แม่ไม่ได้เข้าข้างหล่อน”
หลิวกุ้ยอิงมองไปยังหลินจินซาน จากนั้นก็หันไปมองหลินเซี่ย ดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยากอย่างยิ่ง
“ในเมื่อแม่ไม่เล่า ผมจะเป็นคนเล่าเอง”
หลินจินซานเอ่ยเสียงแข็ง “ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ เสิ่นอวี้อิ๋งใช่ไหม? หล่อนได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นราชินีในครอบครัวของเรามาโดยตลอด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเราถึงโปรดปรานหล่อนมากถึงเพียงนั้น หล่อนทำอะไรก็ถูกไปหมดทุกอย่าง ตอนที่หล่อนเล็ก ๆ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกก็จะแบกหล่อนขึ้นหลังไปหาหมอ ต่อมาหล่อนได้เรียนหนังสือและปฏิเสธที่จะทำงานทุกอย่างภายในบ้าน ซึ่งในข้อนี้เราไม่ข้อตำหนิใด ๆ ยายตัวร้ายนั่นมีความความกระตือรือร้นอย่างมาก ทั้งยังเต็มใจที่จะเล่าเรียนศึกษา ผมเองไม่ใช่พวกที่คนที่จะแสวงหาการศึกษานัก ครอบครัว หากครอบครัวเราสามารถสร้างนักศึกษามหาวิทยาลัยขึ้นมาได้สักคน นั่นก็เป็นเกียรติยศของบรรพบุรุษด้วย”
“หลังจากที่พ่อเสียชีวิตลง คุณยายก็เข้ามาจัดการเรื่องต่าง ๆ เสิ่นอวี้อิงนั้นก็เข้าไปประจบประแจงใกล้ชิดกับคุณยาย แถมยังเลียแข้งเลียขาเก่งไม่น้อย”
หลินเซี่ยไม่ได้ขัดจังหวะเขา เพียงฟังเขาถากถางเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่เงียบ ๆ
“ผมหนีออกจากบ้านทำไมน่ะเหรอ? ก็ล้วนเป็นหล่อนที่บีบบังคับให้ทำ ฤดูร้อนที่แล้วตอนที่หล่อนกำลังงีบอยู่ในบ้าน ผมเข้าไปหาของบางอย่าง ไปค้นหาที่ตู้ซึ่งอยู่แถว ๆ หัวเตียง จู่ ๆ หล่อนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วตะโกนบอกว่าผมแอบดูหล่อนนอนหลับ ยังบอกอีกว่าผมวางแผนชั่วจะทำมิดีมีร้ายหล่อน”
“พอหล่อนร้องไห้ แม่กับคุณยายก็หันมาดุค่าผม ผมไม่ใช่พวกโรคจิตเสียหน่อย จะไปแอบถ้ำมองตอนน้องสาวตัวเองนอนหลับทำไมกัน?”
“ถึงแม้จะไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่น้องสาวต่างแม่ก็นับว่าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ความคิดสกปรกแบบนี้จะหลุดออกมาจากหัวของหล่อนได้ยังไง? คุณว่าหล่อนเป็นประสาทหรือเปล่าล่ะ?”
เมื่อหลินจินซานโกรธ เสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพูดถึงเนื้อเรื่องส่วนที่สำคัญ เสียงก็ยิ่งดังจนดึงดูดสายตาแปลก ๆ จากคนที่กินข้าวอยู่ในร้าน
หลินเซี่ยมองไปที่ชายหนุ่มที่ใบหน้าแดงและเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “เบาเสียงลงหน่อยค่ะ”
เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่มองมารอบตัวเขา หลินจินซานจึงกระแอมไอเบา ๆ สองครั้งแล้วหยิบชามก๋วยเตี๋ยวขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าลงซดซุปเสียหนึ่งอึกใหญ่
หลิวกุ้ยอิงมองหลินจินซานอย่างขอโทษและรู้สึกผิด “จินซาน แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ไม่เชื่อลูกนะ”
“ผมทราบครับ พวกคนที่บ้านก็แค่ลำเอียงให้ท้ายหล่อนจนเป็นนิสัย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าหล่อนร้องไห้ คนที่ผิดก็จะกลายเป็นผมอย่างแน่นอน”
หลินจินซานกระแทกชามเล็ก ๆ ในมือลงอย่างแรงด้วยความขุ่นเคือง “ในเวลานั้น ยายตัวร้ายนั่นร้องไห้โวยวายเสียงดังในเขตละแวกบ้าน คำพูดที่พ่นออกมาก็มีแต่เรื่องแย่ ๆ เรื่องอื้อฉาว ทำให้คนครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านได้ยินและผมก็ถูกคนในหมู่บ้านวิพากษ์วิจารณ์ แถมยังทำราวกับว่าผมเป็นพวกโรคจิต ผมทนอยู่ที่บ้านต่อไปไม่ไหวก็เลยหนีออกจากบ้านมา”
ดวงตาของหลินเซี่ยพลันพลันดำมืดลงเมื่อได้ฟังเรื่องราวของหลินจินซาน
ทักษะการแกล้งทำเป็นดอกบัวขาวใสสะอาดเพื่อใส่ร้ายคนอื่นของผู้หญิงสารเลวนั่นช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
เธอมองไปยังหลิวกุ้ยอิงและหลินจินซาน ก่อนจะเอ่ยคำด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง “หล่อนเป็นคนใจคด ทันทีที่กลับมาในเมือง หล่อนก็แย่งผู้ชายของฉันไปและยังทำให้ชื่อเสียงของฉันเสื่อมเสียอีกด้วย ทำให้ฉันกลายเป็นตัวร้าย ดูเหมือนว่านี่คงเป็นกลอุบายตามปกติของหล่อน ในอนาคตครอบครัวของเราจะต้องสามัคคีกันไว้ ไม่ว่าหล่อนจะพยายามเข้ามาตีสนิทดึงพวกคุณไปเป็นพวก หรือล่อลวงชักจูงด้วยกระสุนเคลือบน้ำตาลยังไง ก็อย่าไปตกหลุมพรางของหล่อนนะคะ”
“หล่อนแย่งเฉินเจียเหอไปจากเธอเหรอ?” หลินจินซานมองเธอด้วยความประหลาดใจพลางเอ่ยถาม
หลินเซี่ยอธิบายเบา ๆ “ไม่ใช่ค่ะ คนก่อนหน้านั้น”
“โอ้ ถ้าถูกแย่งไปได้ก็แสดงว่านั่นไม่ใช่ของที่ดี”
หลินเซี่ยและหลินจินซานกำลังประณามพฤติกรรมชั่วร้ายของเสิ่นอวี้อิ๋ง หลินเยี่ยนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พลันเอ่ยแทรกขึ้นเบา ๆ “พี่คะ ฉันรู้แล้วค่ะว่าทำไมหล่อนถึงใส่ร้ายกลั่นแกล้งพวกพี่”
“ทำไมเหรอ?” หลินจินซานจ้องมองหลินเยี่ยน “เสี่ยวเยี่ยน เธอรู้อะไรมา บอกพี่มาเร็ว”
“พวกพี่ลองอ่านนี่ดูสิ” เสี่ยวเยี่ยนหยิบสมุดโน้ตหุ้มพลาสติกเก่า ๆ ออกมาจากถุงผ้าที่เธอถือ
“นี่คืออะไร?” หลินจินซานถาม
“ตอนที่เรากำลังจะกลับมาก็เลยไปเก็บกวาดทำความสะอาด ฉันไปเจอมันเข้าที่ใต้เสื่อที่บ้าน มันคือสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง”
ในขณะที่หลินจินซานกำลังจะรับสมุดมา เจ้าของร้านอาหารก็ตะโกนว่าบะหมี่พร้อมแล้ว และบอกให้พวกเขาไปที่หน้าต่างเพื่อรับอาหารด้วยตัวเอง
“กินข้าวกันก่อน กินข้าวเสร็จกลับบ้านแล้วค่อยไปอ่านกัน”
เมื่อได้ยินว่านี่คือสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง หลินเซี่ยก็หยิบมันมาจากมือของหลินเยี่ยนใส่มันลงในกระเป๋าที่เธอถือติดตัวมา ด้วยเกรงว่าเด็กสาวจะทำหาย
เธอต้องเก็บสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋งไว้อย่างดี เพราะมันต้องมีความลับมากมายอยู่ในนั้นเป็นแน่
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลิวกุ้ยอิงก็มองไปยังหลินเซี่ยพลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซี่ยเซี่ย พวกเราจะไปพักที่ไหนกันเหรอ?”
“หนูไปเช่าลานบ้านไว้ที่หนึ่งค่ะ เมื่อวานเข้าไปทำสะอาดกับพี่มา ไปพักที่นั่นได้”
หลินเซี่ยเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างเป็นธรรมชาติเสียจนหลินจินซานรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน
น้องสาวของเขาคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ
“ที่แท้ลานบ้านนั่นคือที่ที่เธอจะให้แม่กับเสี่ยวเยี่ยนอาศัยสินะ”
“เซี่ยเซี่ย เธอนี่มัน…” หลินจินซานยกนิ้วโป้งให้เธออย่างจริงใจและมองไปยังน้องสาวที่เพิ่งรู้จักด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง
ในขณะเดียวกัน เขาก็ทั้งรู้สึกผิดและนึกโทษตัวเองอยู่ในใจ เขาออกจากบ้านมานานมาก แต่ไม่ได้ส่งจดหมายไปถึงครอบครัวเลย แถมเงินก็หาได้ไม่มากเท่าใด
“ไปกันเถอะ ไปดูที่นั่นกันก่อน”
หลินเซี่ยพาพวกเขาขึ้นรถประจำทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนโฮ่วฉ่าง
หลินเยี่ยนออกมาเผชิญโลกภายนอกเป็นครั้งแรก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะหลงทางจึงคว้าปลายเสื้อของหลิวกุ้ยอิงไว้แน่น และเดินตามหลังพวกเขาอย่างประหม่าและตื่นกลัว
หลังจากลงจากรถประจำทางแล้วก็เดินเข้าซอยไปไม่ไกล.
“ฉันตั้งใจเช่าลานบ้านนี้ไว้สำหรับเปิดขายอาหารในอนาคต เพราะที่นี่กว้างขวางเป็นพิเศษ”
หลินเซี่ยหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู ก่อนที่หลิวกุ้ยอิงและคนที่เหลือจะเดินตามเข้าไปด้านใน
“ที่แห่งนี้คล้ายกับลานบ้านในหมู่บ้านของเราทีเดียว”
“ใช่ คล้ายกับที่หมู่บ้านมาก”
เมื่อเข้าไปในบ้าน หลินจินซานก็วางกระเป๋าผ้าไนลอนลง และรีบเอ่ยบอกให้หลิวกุ้ยอิงรีบนั่งพัก
หลินเซี่ยเห็นได้ว่าหลินจินซานมีความกตัญญูต่อหลิวกุ้ยอิงผู้เป็นแม่เลี้ยงอย่างมาก น้ำเสียงที่ใช้เรียกว่าแม่นั้นค่อนข้างนุ่มนวลอ่อนโยน ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกลึกซึ้งมากตั้งแต่มองแวบแรก แม้ว่าจะมีความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้งกันไปบ้าง แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้งก็ยังไม่ได้กลายเป็นคนแปลกหน้ากัน
“แม่ครับ ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง? คุณยายไม่ได้ทำให้แม่ลำบากตอนที่ผมไม่อยู่ใช่ไหม?” หลินจินซานถามด้วยความกังวล
หลิวกุ้ยอิงตอบว่า “ตอนนี้ยายของลูกไปอยู่ที่บ้านลุงรองของลูกแล้ว”
“แยกบ้านกันอยู่แล้วเหรอครับ?”
“แยกกันอยู่แล้ว”
ดวงตาของหลินจินซานพลันสว่างขึ้นเมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ “แม่ ทำไมจู่ ๆ ถึงมีความคิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วสินะครับ? ในที่สุดก็ให้แม่เฒ่าย้ายออกไปได้เสียที ไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
หลิวกุ้ยอิงมองไปยังหลินเซี่ยพลางยกยิ้มอย่างอาย ๆ “เซี่ยเซี่ยเป็นคนแยกบ้านออกมาในตอนที่หล่อนอยู่ที่บ้านเกิด”
“ผมว่าแล้วเชียว แม่น่ะเหรอจะเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น?”
หลินจินซานนั้นมีความกตัญญูต่อหลิวกุ้ยอิง แต่เวลาที่เขารู้สึกรังเกียจขึ้นมา เขาจะไม่สุภาพเลยแม้เพียงสักนิด
“ในเมื่อพี่เองก็มีปัญหากับพวกเขา ทำไมตอนที่อยู่ที่บ้านเกิดพี่ถึงไม่แยกบ้านออกมาล่ะคะ? ทำไมถึงปล่อยให้หลินเอ้อร์ฝูกับแม่เฒ่าวางอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านอยู่ได้?” หลินเซี่ยตั้งคำถามกับเขา
หลิวกุ้ยอิงรีบอธิบาย “เซี่ยเซี่ย อย่าเข้าใจพี่ชายของลูกผิดไป ตอนที่เขาอยู่ที่บ้าน ลุงรองและครอบครัวของเขายังไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของเรา และหลังจากที่เขาหนีออกจากบ้านไปแล้ว หลินเอ้อร์ฝูจึงย้ายเข้ามา”
“อะไรนะ? หลินเอ้อร์ฝูถึงกับย้ายมาบ้านเราเลยเหรอ?” เมื่อหลินจินซานได้ยินข่าวนี้ เขาก็พลันโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
หลิวกุ้ยอิงเมื่อเห็นอารมณ์รุนแรงของเขากลับมาอีกครั้งก็รีบเอ่ยปลอบประโลม “จินซานอย่าโกรธไปเลย พวกเขาย้ายออกไปแล้ว”
“อืม แบบนี้ค่อยดีหน่อย”
หลินจินซานเอ่ยกับหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย เธอรีบเอาสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋งออกมาดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง เสี่ยวเยี่ยน เธอบอกพี่มาซิว่าทำไมหล่อนถึงใส่ร้ายพี่ สาดน้ำเน่าใส่พี่?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ในสมุดเล่มนั้นจะซ่อนความลับอะไรไว้บ้างนะ เริ่มอยากเผือกด้วยคนแล้ว
ไหหม่า(海馬)