ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆไปมากมาย แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดจะฉุดเขาออกจากปลักน้ำโคลนนี้ได้
โดยเฉพาะเทศกาลหมื่นบุปผชาตินี้ ยิ่งไม่มีทางเรียบง่ายเหมือนดั่งที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน
ครั้งนี้ จะต้องมีคลื่นใต้น้ำแน่ๆ
หนังสือเชื้อเชิญฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจได้เห็นข้อความที่อยู่ด้านใน แต่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของท่านเจ้าตำหนักจะต้องไม่ธรรมดา เกรงว่าหากเจ้าสำนักหยินหยางไปตามนัดจริงๆ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคงยากที่จะคาดเดาแล้ว
เขาได้แต่ใช้ประกายตามองดูเจ้าสำนักผู้นั้นแวบหนึ่ง
ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับจีเฉวียน…..
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะคิดอย่างไร มือข้างหนึ่งของนางคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้จนแน่น “พี่รอง ท่านอ่านนิยายรักๆใคร่ๆมากเกินไปแล้ว จำเป็นจะต้องเดินบนเส้นทางที่โศกเศร้าเช่นนี้ให้จงได้กระนั้นหรือ?”
ละครที่นางเคยแสดงยังมีมากกว่าหนทางที่เขาเลือกเดินมากนัก
ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าตามบนละครน้ำเน่าทั้งหลายแล้ว พี่รองก็คงจะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างเงียบงันเพียงผู้เดียว จากนั้นพอถูกทำร้ายและกดดันอย่างหนักหน่วงจนด้านชาเข้าเรื่อยๆ และสุดท้ายที่ได้คืนมาก็เป็นเพียงร่างกายที่เย็นเฉียบของคนที่ตนรัก เขาก็จะระเบิดตนเองจนเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง กลายเป็นเครื่องมือฆ่าฟันสังหารหมู่…..
แค่นี้ ในสมองของตู๋กูซิงหลันก็มีภาพออกมาเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ แววตาของนางราวกับเห็นทุกอย่างงทะลุปรุโปร่ง “พี่รอง….พวกเราอย่าได้เลือกเดินในเส้นทางโลหิตที่น่าโศกเศร้าเช่นนั้นเลย รักษาความสุขที่มีอยู่เอาไว้จะไม่ดีกว่าหรือ?”
นางสูญเสียอาจารย์และจีเฉวียนไปแล้ว….นางไม่ต้องการจะสูญเสียพี่รองไปกับการนองเลือดอีก
พี่ชายตัวน้อยผู้นี้คิดอะไรไม่เหมือนกับผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันเกรงว่าเกิดเขาคิดอะไรไม่ตก สติหลุดขึ้นมา ก็จะก่อเหตุนองเลือดขึ้นอีก
ตู๋กูเจวี๋ยฟังคำพูดของนางไม่ค่อยเข้าใจนัก เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ก้นทะเลลึก สมองของน้องเล็กได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ค่อยปกติไปหรือไม่?
พอคิดดูให้ละเอียด ตอนนั้นพอเห็นนางหอบดาบเล่มหนึ่งออกไปต่อสู้เพียงลำพัง ทำลายล้างเมืองหลวงของเผ่ามังกรทมิฬทั้งหมด…. เขาก็สมควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า น้องเล็กไม่ใช่คนธรรมดา
“อืม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ก้นทะเลลึก เนื่องเพราะพลังกระหายเลือดในร่างของท่านตื่นขึ้นมา …ดังนั้นจึงยังไม่มีโอกาสได้บอกกับท่าน พวกเรายังโชคดีมากนัก…..บิดาท่าน ….ไม่ใช่สิ ท่านพ่อของพวกเราทั้งงดงามและแข็งแกร่ง….”
“พี่รองท่านเองก็นับว่าเป็นองค์ชายรองของเผ่ามังกรทมิฬ พวกเราจะต้องมีความกล้าหาญที่จะมีชีวิต เผชิญหน้ากับฟ้าดินและคลื่นลมต่อไป เข้าใจไหม?
ตู๋กูเจวี๋ย “……”
ทำไมเขาฟังแล้วถึงได้รู้สึกว่านางกำลังพูดอะไรที่น่าสับสนจับความไม่ได้?
“ท่านต้องจดจำเอาไว้อยู่เสมอว่า ท่านไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างหลังของท่านยังมีข้า มีท่านตา มีพี่ใหญ่ มีบิดาคนงาม พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
“ท่านต้องการช่วยชือหลี ข้าเองก็ต้องการช่วยนาง นางก็เป็นสตรีของข้าเช่นกัน”
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมา แววตาของนางมีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
แม้แต่ฝ่ามือที่ตบลงมาบนบ่าของตู๋กูเจวี๋ยก็ยังเพิ่มแรงลงไปด้วย
ขอเพียงดวงจิตของชื่อหลียังไม่สูญสลาย นางย่อมมีหนทางที่จะพาชือหลีกลับมา….หากว่าเป็นอย่างท่านแม่ที่จิตวิญญาณแตกสลายไปแล้ว…..นั่นจึงจะถือว่ายากที่สุด
เรื่องของชือหลี ย่อมไม่ควรให้พี่รองแบกรับเพียงลำพัง
ประโยคที่ว่า ‘นางก็เป็นสตรีของข้า’ ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ระหว่างที่เขาไม่ทันได้สังเกต เทพธิดากับน้องเล็กใช่ว่ามีอะไรที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือไม่?
เดิมเขาก็เป็นพวกใสซื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว สมองจึงคิดอะไรไม่ค่อยออก
นางพึ่งจะพูดจบก็ได้ยินท่าเจ้าสำนักเอ่ยปากว่า “ที่ด้านหลังของเจ้า ยังมีข้า”
‘เจ้า’ที่เขาเอ่ยปากถึง ย่อมต้องหมายถึงศิษย์น้อยของตนเอง
คำพูดนี้หากว่าเปลี่ยนเป็นจีเฉวียนมาพูดละก็จะต้องฟังแล้วจับใจอย่างยิ่งแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านเจ้าสำนักผู้นี้แม้ว่าจะเขียมไปสักหน่อย แต่ว่านับตั้งแต่ที่นางกลายเป็นศิษย์ เขาก็ดีต่อนางมากเลย
เป็นเพราะว่ารับนางเป็นศิษย์ จึงได้ดีต่อนางกระนั้นหรือ?
จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง
คำพูดนั้นของท่านเจ้าสำนัก ทำเอาพี่รองถึงกับกรอกตาขาว สำนักหยินหยางอย่างมากก็มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่นับว่ามีความสามารถ ข้างหลังของน้องเล็กจะมีเขาหรือไม่ ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกัน ….ดังนั้นคนผู้นี้ไปเอาความมั่นใจว่าจะสามารถยืนหนุนหลังนางได้เช่นนั้นมาจากที่ใดกัน?
ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะในสุดยอดการประลองได้ แต่ก็เป็นเพียงกำลังของคนผู้เดียวเท่านั้น หากว่าขุมกำลังต่างๆเคลื่อนไหว…..อย่างเช่นตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เขาจะต้านทานได้อย่างไร?
ท่านเจ้าสำนักทำเป็นไม่เห็นสายตาของเขา เพียงแต่เหลือบตาไปมองดูหนังสือเชิญเล่มนั้นครั้งหนึ่ง จากนั้นเพียงกระดิกนิ้วเรียวยาวเบาๆ รอบหนึ่ง หนังสือเชิญเล่มนั้นก็ลอยเข้ามา
“กำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ ข้าจะไป”
อยู่ๆเขาก็ตัดสินใจเช่นนี้ขึ้นมา ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย
เขายืนตัวตรง สายตาวนอยู่บนร่างของเจ้าสำนักหยินหยางรอบหนึ่ง ด้วยความไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่เขามิใช่ปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแล้วหรือ ตอนนี้อยู่ๆทำไมถึงได้ตอบตกลงขึ้นมา?
ยังจะเพราะอะไรได้อีก….ในเมื่อคนผู้นี้เป็นพี่ชายของศิษย์ตัวน้อย เขาที่เป็นอาจารย์ ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้
ใช่แล้ว ผู้ที่เป็นอาจารย์สมควรส่งเสริมความตั้งใจทั้งหมดทั้งมวลของศิษย์น้อย นี่จึงจะเป็นอาจารย์ที่ดี
วันนี้พอได้ยินนางเอ่ยจากปากคำหนึ่งว่า ‘ฉุยซือ’ ท่านเจ้าสำนักย่อมต้องพึงพอใจมากอยู่แล้ว
อืม พรุ่งนี้เมื่อไปตามนัด จากนั้นซัดเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นั้นให้ตายในฝ่ามือเดียว …..พี่ชายของศิษย์น้อยจะได้ไม่มีใครคุกคามอีก
เช่นนี้ย่อมดีต่อทั้งสองฝ่าย
ท่านเจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ในใจอีกหลายอย่าง แต่บนใบหน้ากลับมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกไป เขายังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
กลิ่นหอมของสุราอบอวลไปทั่วห้องเหมือนจะมอมเมาผู้คนอยู่บ้าง ทำเอาแม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกไม่เข้าใจเขาเช่นกัน
ท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่ต้องการให้นางมาเข้าใจ
เขาไม่คิดจะอธิบายอะไร เรื่องบางเรื่องให้เขาไปจัดการด้วยตนเองอย่างเงียบๆจะสะดวกมากกกว่า ไม่จำเป็นจะต้องให้ศิษย์น้อยมาเข้าใจทั้งหมด
………………………….
กระทั่งถึงค่ำแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่เห็นคนของจุ้ยเซียนจูมาคิดบัญชีเลยแม้แต่ครึ่งคน
กลับเป็นท่านเจ้าสำนักพานางเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านข้างของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง
เป็นห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องจุดเทียนสีแดงเอาไว้ มีเตียงทรงกลมสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางหลังหนึ่ง เตียงหลังใหญ่ยังมีม่านโปร่งสีแดงโดยรอบ ด้านบนยังมีช่อดอกไม้ผ้าทรงกลมตกแต่งเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีแดง…..
ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเข้าใจผิดไปชั่วขณะว่า…….ห้องนี้ดูเหมือนห้องหอเกินไปแล้ว
แถมในห้องยังมีทุกสิ่งทุกอย่างตกแต่งเอาไว้อย่างครบครันอีกด้วย
“นั่งรถม้ามาตลอดทาง คงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถอะ”
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาหงส์คู่นั้นมองไปที่นางอย่างอ่อนโยน
พี่รองถูกเขาขวางเอาไว้ที่ประตู โดยไม่ยอมเปิดช่องว่างให้เลยแม้แต่น้อย
สองพี่น้องแยกจากกันนาน เมื่อได้พบกันก็มีวาจามากมาย กว่าจะพูดคุยกันจบฟ้าก็มืดมากแล้ว
ท่านเจ้าสำนักจึงเห็นว่า ศิษย์น้อยก็ควรจะพักผ่อนได้แล้ว
แต่ว่าพี่รองของนางกลับไม่เข้าใจ เขายืนอยู่ที่เดิมทำตัวเป็นท่อนซุงท่อนหนึ่ง ตลอดครึ่งปีมานี้สองมือของเขามีแต่เลือด ใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย….
แม้แต่ความเป็นมนุษย์ที่เคยมี ก็แทบจะถูกลบล้างไปจดหมดสิ้นเหมือนกับเลือดเหล่านั้น
พอน้องเล็กปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน….หัวใจของเขาก็พลันเกิดความอบอุ่นขึ้นมา เขาย่อมไม่อยากจะไปจากนาง
ท่านเจ้าสำนักขวางเขาเอาไว้ พอหันศีรษะไป ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ยังไม่กลับไปรายงานอีกหรือ?”
ตู๋กูเจวี๋ย “…..” คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเหมือนกับฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่มีผิด
หากว่าเขาไปแล้ว ห้องหับหลังนี้…..ก็จะเหลือพวกเขาชายหญิงอยู่กันเพียงลำพัง ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้จะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับน้องเล็กหรือไม่?
………………….