ตอนที่ 3 ช่วยอาสะใภ้สามเร่งคลอด / ตอนที่ 4 วาดยันต์คุ้มครองให้อาสะใภ้สามปลอดภัย
ตอนที่ 3 ช่วยอาสะใภ้สามเร่งคลอด
ขี้ริ้วขี้เหร่!
ฉินหลิวซี “…”
ท่านสวยแล้วอย่างไร มันกินได้ไหมเล่า ก็ยังถูกยึดบ้านอยู่ดีไม่ใช่หรือ!
นางฉินผู้เฒ่ากระแอมออกมาเล็กน้อยพลางกวาดตามองอนุวั่น นี่มันใช่เวลามาทักทายโอภาปราศรัยกันหรือ
ไม่รู้ความ!
อนุวั่นหน้างอทันที
จากนั้นนางฉินผู้เฒ่าจึงได้เอ่ยถามขึ้น “พวกเด็กๆ เล่า”
สะใภ้เซี่ยรีบเอ่ยตอบ “อนุพานพาพวกเขาไปจัดแจงเรื่องที่อยู่หลับนอนกันแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ น้องสะใภ้สามนางเป็นอย่างไรบ้าง”
นางหันไปมองสะใภ้กู้ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แม้ว่าปกติจะไม่ชอบท่าทีเชื่องช้าและประนีประนอมของสะใภ้กู้เท่าไรนัก แต่ตอนนี้ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ทั้งยังได้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันแล้วจึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
“ยังไม่คลอด” สะใภ้หวังตอบกลับก่อนจะหันไปเอ่ยกับนางฉินผู้เฒ่า “ท่านแม่ ท่านออกไปอาบน้ำและดื่มน้ำขิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ ปล่อยให้พวกเราอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“ท่านแม่กับท่านป้าไปเถิด พวกท่านเปียกฝนกันทั้งคู่ พวกเราดื่มน้ำขิงกันหมดแล้ว ตรงนี้ปล่อยให้พวกเราเฝ้าให้ก่อนชั่วคราวก็ได้เจ้าค่ะ” อนุวั่นเอ่ย
นางฉินผู้เฒ่าเดินไปที่เตียงลูกสะใภ้คนเล็ก เห็นนางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดจึงเอ่ยขึ้นว่า “สะใภ้กู้ เจ้าก็อย่าร้องเสียงดังนักเลย เก็บแรงไว้หน่อย เจ้ายังต้องคลอดลูกถึงสองคนนะ”
สะใภ้กู้ลืมตาขึ้นเล็กน้อย น้ำตาร่วงเผาะ แววตาของนางมึนงงทั้งยังตื่นตระหนก “ท่านแม่ ข้า…”
นางฉินผู้เฒ่าเอื้อมมือไปปิดปากนางครู่หนึ่ง “ไม่ต้องกลัว เจ้ายังมีพวกเราอยู่” นางหันไปมองฉินหลิวซีอีกครั้ง “สั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้ อ่างน้ำ กรรไกร ผ้านวมต่างๆ ด้วย หากเป็นไปได้ก็ให้เชิญท่านหมอมาด้วย เติมน้ำตาลทรายแดงลงในน้ำขิงอีก ตอกไข่ลงไปด้วยสองฟอง ให้อาสะใภ้สามของเจ้าเติมพลังหน่อย ถ้ามีโสมแผ่นก็ให้เตรียมไว้ด้วย”
นางกำลังวางแผนเผื่อไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากไม่สามารถเชิญหมอตำแยมาได้ พวกนางก็จะทำคลอดกันเอง
โชคดีที่แม้ว่าจะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เชิญหมอตำแยมาได้ในที่สุด
หลังจากตรวจสอบแล้ว สีหน้าของหมอตำแยก็ดูย่ำแย่เล็กน้อย นางห่มผ้าให้หญิงตั้งครรภ์ที่กำลังรอคลอด จากนั้นจึงเดินไปหาฉินหลิวซี
นางฉินผู้เฒ่ากำลังจะเอ่ยปากถามอะไร แต่กลับเห็นว่าหมอตำแยย่อตัวคำนับฉินหลิวซีเสียก่อน จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้นี้ยังไม่ครบกำหนดคลอด แต่กลับมีเลือดออกและน้ำเดินแล้ว ปากมดลูกก็ยังไม่ขยาย ข้าเกรงว่าจะต้องให้ยาเร่งคลอด อีกอย่าง ยังจะต้องเตรียมการบางอย่างไว้ด้วย ขอให้คุณหนูใหญ่ชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าสีหน้าของสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นด้วยค่อยๆ เปลี่ยนไป
พวกนางทั้งหมดผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อนและส่วนใหญ่ก็เป็นแม่คนกันหมดแล้ว มีหรือที่พวกนางจะไม่เข้าใจว่าสตรีที่กำลังคลอดก็เหมือนกับการเข้าสู่ประตูนรก และประตูที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ก็เต็มไปด้วยคมดาบ หากฮูหยินสามตระกูลฉินไม่สามารถผ่านมันไปได้ก็จะเป็นจุดจบของสามชีวิต
เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แข้งขาของนางก็อ่อนแรงทันที นางกำลูกประคำที่อยู่ในมือแน่น ใบหน้าที่มีริ้วรอยยิ่งซึมเซาและดูแก่ชราลงไปอีก
อนุทั้งสองสะอื้นไห้ขึ้นมาเบาๆ นางฉินผู้เฒ่าได้ยินแล้วรู้สึกไม่เป็นมงคลจึงตวาดออกมาเสียงเข้ม “ร้องไห้อะไรเล่า ออกไป”
เสียงร้องไห้หยุดลงทันที
ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านย่า ท่านคิดว่าอย่างไร”
นางฉินผู้เฒ่าชำเลืองมองลูกสะใภ้คนเล็กบนเตียงก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน “ให้ท่านหมอเขียนใบสั่งยา แล้วต้มมาเถิด”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองฉีหวง จากนั้นทั้งสองจึงเดินออกไปด้วยกัน
“เจ้าไปเอายาที่คลังเล็กของข้า แล้วต้มยามานะ” ฉินหลิวซีกระซิบบอกตัวยาที่ต้องใช้กับฉีหวงด้วยตัวเอง
ฉีหวงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรแม้แต่น้อย รีบสาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีมองดูเงาร่างในห้องผ่านหน้าต่างพลางนวดปลายคิ้วและถอนหายใจ ก่อนจะหยิบกล่องยาแล้วไปที่ห้องข้างๆ
นางเปิดกล่องยา หยิบกระดาษพู่กันและชาดสีแดงเข้มออกมา ตั้งสมาธิและรวบรวมลมปราณ ยกพู่กันขึ้นวาดยันต์
จังหวะตวัดพู่กันนิ่งและรวดเร็ว ปลายแหลมของพู่กันจรดลงบนกระดาษ พลังทะลุผ่านกระดาษราวกับมีแสงสีทองวาบขึ้น และหลังจากนั้นเส้นสายที่ไม่อ่านไม่ออกบนกระดาษก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาในทันที
ตอนที่ 4 วาดยันต์คุ้มครองให้อาสะใภ้สามปลอดภัย
ฉินหลิวซีวาดยันต์ออกมาทั้งหมดสามแผ่นและพับเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วจึงเก็บของก่อนจะกลับไปที่ห้องทำคลอด
ฉีหวงออกไปแล้วและก็กลับมาแล้ว ในมือนางถือชามน้ำแกงร้อนๆ มาด้วย เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนพยักหน้าให้จึงป้อนยาให้สะใภ้กู้ด้วยตนเอง
สะใภ้หวังก้าวเข้าไปจะช่วย แต่สาวใช้ที่ชื่อฉีหวงผู้นี้ไม่รู้ว่าใช้เคล็ดลับอะไรจึงสามารถประคองสะใภ้กู้ขึ้นมาและป้อนยาให้อย่างง่ายดาย
ส่วนฉินหลิวซีก็นำยันต์วิเศษทั้งสองแยกผูกไว้ที่หัวเตียงหนึ่งแผ่น วางไว้ใต้หมอนอีกหนึ่งแผ่น ส่วนอีกแผ่นนางเก็บไว้เผื่อใช้ในภายหลัง
ทุกคนเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
“ซีเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรน่ะ” สะใภ้หวังขมวดคิ้วทันที ไยนังหนูคนนี้ถึงได้ทำอะไรแปลกๆ ลึกลับเช่นนี้
ฉินหลิวซีเอ่ยหน้านิ่ง “อ้อ ยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัยน่ะเจ้าค่ะ”
ทุกคน “…”
ทั้งที่ฟังดูแปลกๆ แต่พวกนางก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป
ยาเร่งคลอดแสดงผลของมันอย่างรวดเร็ว สะใภ้กู้เริ่มร้องด้วยความเจ็บปวดอีกแล้ว แต่นางเพิ่งจะอ้าปาก หมอตำแยก็ปลอบทันที “ฮูหยินไม่ต้องกังวล มีคุณหนูใหญ่อยู่ด้วย พวกท่านแม่ลูกต้องปลอดภัยแน่”
สะใภ้กู้นิ่งงันไปพักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้เก็บไปใส่ใจ ถือเสียว่าเป็นคำปลอบ ก่อนจะหันไปมองสะใภ้หวังด้วยน้ำตาคลอเบ้า “พี่สะใภ้ ขอผ้าให้ข้ากัดหน่อยเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังพับผ้าเช็ดหน้าผืนที่ยังสะอาดแล้ววางในปากให้นาง
เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นว่าฉินหลิวซียังอยู่ในห้องจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน อย่าอยู่ที่นี่เลย ออกไปรอข้างนอกเถิด ให้สะใภ้หวังกับเหมยเหนียงคอยช่วยอยู่ที่นี่ก็พอ”
ได้
ฉินหลิวซีผลักประตูออกไปอย่างว่าง่าย
แต่กลับเป็นฉีหวงที่ส่งถ้วยชาให้นางพลางเอ่ยติดตลกว่า “คุณหนู ท่านจะนั่งเฉยอยู่อย่างนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
คนที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทนอยู่ข้างในคืออาสะใภ้สามของนางนะ
ฉินหลิวซีจิบชาก่อนจะชำเลืองมองพลางเอ่ย “ข้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน เป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ จะให้ไปดูผู้หญิงคลอดลูกอยู่ได้เช่นไร”
ตระกูลฉินน่ะ ต่อให้จะล้มแล้ว แต่ตระกูลฉินก็เคยเป็นตระกูลขุนนางขั้นสาม ส่วนนางน่ะก็เป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง
ฉีหวงเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว เอ่ยว่า “ท่านเอ่ยอย่างนั้นออกมาได้ไม่รู้สึกเขินบ้างหรือ เดือนที่แล้วตอนที่ท่านผ่านหมู่บ้านดอกท้อ ท่านยังช่วยเด็กสาวตระกูลเติ้งที่คลอดยากผู้นั้น ทำคลอดเด็กอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่งออกมาอยู่เลยนะเจ้าคะ!”
สีหน้าฉินหลิวซีไม่เปลี่ยน “กินขนมดอกท้อของคนอื่นแล้วก็ถือว่ามีกรรมดีต่อกัน ข้าย่อมต้องใช้คืนอยู่แล้ว”
ฉีหวงยิ้มก่อนจะพยายามเก็บสีหน้าอาการ เอ่ยถาม “คุณหนู ตระกูลฉินเผชิญเคราะห์อย่างกะทันหันเช่นนี้ ท่านไม่เคยทำนายได้เลยหรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จะบอกฉีหวงได้หรือว่านางทำนายได้ตั้งแต่ตอนที่นางยังเป็นเด็กแล้ว?
นางคิดอยู่นานกว่าจะเอ่ย “คนเรามีความตกต่ำสามประการ ความรุ่งเรืองหกประการ ตระกูลตระกูลหนึ่งก็เช่นกัน ตระกูลฉินอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้พวกเขาประสบเคราะห์กรรมก็เป็นผลมาจากการวางแผนของคนพาลต่ำช้าจนทำให้ดวงชะตาตกต่ำร้ายแรง คนพาลสมหวัง หลีกเลี่ยงคมดาบ ล้มแล้วค่อยลุก ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ไซร้ วันหน้าก็ยังมีวันที่เมฆหมอกจะสลายและมองเห็นขุนเขานั้นได้อีกครั้ง”
ฉีหวงเอ่ย “คุณหนูกล่าวถูกต้องแล้ว ตราบใดที่ท่านยังอยู่ ตระกูลฉินไม่มีวันล่มสลายจริงๆ ได้หรอกเจ้าค่ะ!”
ฉินหลิวซียิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไร นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเงียบๆ
ล้วนเป็นเรื่องของเวรกรรมทั้งนั้น
“แต่ว่าคนตระกูลฉินจำนวนมากเช่นนี้ ตอนนี้มีทั้งผู้หญิง เด็ก คนแก่และคนอ่อนแออยู่ที่นี่ จึงค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย คนที่ถูกเนรเทศมาด้วยยังมีพวกเด็กผู้ชายและชายแก่ที่ไร้อาวุธติดตามมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าตรงไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น วันสบายๆ ของคุณหนูคงจะไม่มีอีกแล้วนะเจ้าคะ” จู่ๆ ฉีหวงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น
ฉินหลิวซี “!”
ชานี่ขมจัง จิบไม่ลงแล้ว!
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนข้างหน้าต่างมองดูสายฝนที่โปรยปราย
…
นอกประตูเมือง
องครักษ์ที่สวมเสื้อกันฝนและหมวกไม้ไผ่กลุ่มหนึ่งขี่ม้าเข้าไปในเมืองหลี และเคาะประตูโรงเตี๊ยมเพื่อหาที่หลบฝน
ภายในห้อง บุรุษสูงศักดิ์ผู้หนึ่งคลี่เปิดม้วนภาพออก ด้านในเป็นภาพใบหน้าหล่อเหลาอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผมดำยาวถูกมัดเป็นมวยและปักไว้ด้วยปิ่นไม้ไผ่เพียงเท่านั้น สีหน้าของเขาดูเฉยเมย มุมปากโค้งลงเล็กน้อย ท่าทางราวกับเบื่อโลกและดูแคลนทุกสิ่งบนโลกใบนี้
เขายืนอยู่หน้าอารามเต๋าแห่งหนึ่ง บุคลิกราวกับวิญญูชนที่ไร้ซึ่งกิเลสตัณหา ดูเหมือนว่าต่อหน้าเขาแล้วคนอื่นๆ ต่างก็ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเท่านั้น
“ซ่อมแซมหน่อย พรุ่งนี้ฟ้าใสแล้วเราจะไปอารามชิงผิงกัน” ฉีเชียนเก็บม้วนภาพเข้าไปในกระบอกทองแดง
เขาได้ยินมาว่าเมืองหลีมีนักพรตที่มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม วิชาจับชีพจรไท่ซู่ของท่านนักพรตนั้นยิ่งล้ำเลิศ เพียงตรวจชีพจรก็สามารถรู้ดีชั่วคราวเคราะห์หรือยามโชคของคนผู้นั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง กระทั่งสามารถทำนายดวงชะตาของทายาทรุ่นหลังได้ ช่างลึกลับนัก
ส่วนเขาก็มาเพื่อขอให้ท่านไปรักษาท่านย่าให้