ตอนที่ 11 วันนี้ไม่เหมือนในอดีต / ตอนที่ 12 คนชั่ววางแผนร้าย
ตอนที่ 11 วันนี้ไม่เหมือนในอดีต
พอนางฉินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้นออกมา ทุกคนในห้องกินข้าวพากันคุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าเกรงกลัว
ยกเว้นคนคนเดียว
ในขณะที่ทุกคนคุกเข่า นางกลับยืนตัวตรงราวกับดอกบัวหิมะที่ยืนหยัดอยู่บนยอดผา ยากที่ใครจะเพิกเฉยได้
ฉินหลิวซียืนตัวตรงและหลุบตาลงมองลวดลายดอกม่านถัวหลัว[1]ที่ปักไว้บนเสื้อ ทำเป็นมองไม่เห็นคนอื่นที่คุกเข่าอยู่เต็มห้อง
สายตาของนางฉินผู้เฒ่ากวาดผ่านนางไป เม้มริมฝีปากพลางนิ่วหน้า
ทั้งๆ ที่ฉินหลิวซีเป็นคนตระกูลฉิน แต่กลับรู้สึกเหมือนฉินหลิวซีเป็นคนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่สามารถควบคุมได้
“ตระกูลฉินล้มแล้ว ท่านปู่ สามี ท่านพ่อ พี่ชายหรือน้องชายของพวกเจ้าต่างก็อยู่ในระหว่างทางถูกเนรเทศ ไม่รู้ว่าจะต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน ไม่รู้ว่าหิวกระหายหรือป่วย หรือ…” นัยน์ตาของนางฉินผู้เฒ่าเปียกชื้น แต่นางกลับปาดเช็ดน้ำตาที่กำลังจะหลั่งออกมาอย่างคนใจแข็ง
ในห้องโถงมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นแล้ว
“ถูกยึดทรัพย์เนรเทศ แต่ไม่ได้ตัดหัวประหาร เรื่องเดียวที่เราโชคดีคือ ‘ความเมตตา‘ เล็กน้อยนี้ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ ขอเพียงทำงานอย่างถูกต้อง อนาคตก็จะมีวันที่พ่อและพี่ชายของพวกเจ้าจะได้กลับมา” นางฉินผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ย “ด้วยเงื่อนไขเช่นที่ว่านี้ พวกเราต้องดูแลรักษาบ้านนี้ให้ดี เด็กๆ ในบ้านก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ถ้าเผื่อพวกเขาที่ตงเป่ยเป็นอะไรขึ้นมา พวกเจ้าจะได้เป็นเสาหลักของตระกูลฉิน!”
“ท่านย่า ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ” ฉินหมิงฉีจากบ้านรองตระกูลฉินกำหมัดเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
อนุวั่นผลักฉินหมิงฉุนเจ้าซาลาเปาน้อยที่อยู่ข้างๆ เล็กน้อย เด็กน้อยส่งเสียงร้องหาออกมาหนึ่งที นัยน์ตาดำขลับกะพริบปริบๆ และแสดงความตั้งใจออกมาเช่นกัน “ข้า ข้าก็จะตั้งใจด้วย”
เรียนหนังสือเลยนะ เรียนหนังสือยากจะตายไป!
นางฉินผู้เฒ่าหันไปมองหลานชายทั้งสอง พาลนึกถึงหลานชายคนโตที่เพิ่งอายุสิบสองปีและบุตรชายคนโตของบ้านรองที่ถูกเนรเทศไป แล้วน้ำตาก็ไหลลงมา
สามีของนาง บุตรชายสามคน และหลานชายสองคนล้วนอยู่ระหว่างการเนรเทศ หากพูดถึงความเจ็บปวดแล้วไม่มีใครเทียบกับนางได้เลย
ตอนนี้นางได้แต่หวังว่าสวรรค์จะเมตตาสงสารพวกเขาบ้าง ให้พวกเขาเดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แม้ว่าชีวิตที่นั่นจะยากลำบาก แต่การที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องดีเสมอ
“การยึดทรัพย์ค้นบ้านเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเราเอาทรัพย์สินอะไรติดตัวมาด้วยไม่ได้เลย มีเพียงบ้านเก่าหลังนี้ที่คุ้มกะลาหัว ซึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว วันนี้ไม่เหมือนในอดีต วันข้างหน้าของตระกูลฉินไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชาเลวๆ กับข้าวจืดๆ ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ผ้าไหมผ้าแพรก็ต้องถอดออก เรียนรู้การสวมรองเท้าผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ…แค่กๆๆ” นางฉินผู้เฒ่าไอออกมาทันที
สะใภ้หวังเงยหน้าขึ้น เช็ดปลายหางตาที่แดงเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านอย่าได้กังวลร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ เวลายังอีกยาวไกล ทุกคนก็แค่ยังไม่เข้าใจในตอนนี้จึงปรับตัวไม่ได้ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะค่อยๆ คิดได้เองนะเจ้าคะ”
ไม่ว่าใครที่ตกลงมาจากที่สูงก็ต้องใช้เวลาปรับตัว
แม้แต่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเหมือนนางก็ไม่ต่างกัน
สะใภ้หวังคิดถึงลูกชายเพียงคนเดียวของตนที่อยู่ในระหว่างการเนรเทศแล้วก็เจ็บปวดในใจอย่างรุนแรง แต่นางกลับค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางเป็นนายหญิงของบ้านตระกูลฉิน จะอ่อนแอไม่ได้
“ก็มีเหตุผล ทุกคนลุกขึ้นเถิด กินข้าวมื้อนี้เสร็จแล้ว ใครที่ยังคิดไม่ได้ไม่เข้าใจก็กลับไปคิดให้ดี” นางฉินผู้เฒ่ายกมือแสดงท่าทีอนุญาตให้ทุกคนลุกขึ้นได้
ทุกคนลุกขึ้นและนั่งลงในที่ของตน ก่อนจะหยิบชามและตะเกียบกินข้าวไปอย่างเงียบๆ
แม้รสชาติจะเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้งแต่ก็ต้องกัดฟันกลืนเข้าไป
หลังมื้ออาหารนางฉินผู้เฒ่าสั่งให้เหล่าอนุและเด็กๆ กลับห้องไป เหลือเพียงสะใภ้หวัง สะใภ้เซี่ยและฉินเหมยเหนียงเพื่อพูดคุยกันว่าต่อไปจะดูแลตระกูลนี้อย่างไร พวกนางจะต้องรู้
ฉินหลิวซีเห็นเป็นเช่นนั้นก็ย่างเท้าจะออกไป แต่นางฉินผู้เฒ่าเรียกนางไว้ก่อน
“นังหนูซี เจ้าอยู่ฟังด้วย”
ฉินหลิวซีชะงักเท้าทันทีก่อนจะนั่งลงไปอีกครั้งและหยิบถ้วยชาขึ้นมา
ตอนที่ 12 คนชั่ววางแผนร้าย
“นังหนูซี ตอนเจ้ายังเด็กสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี มักจะป่วยบ่อย เกิดจากการที่ดวงชะตาของเจ้าชงและพิฆาตกับตระกูลฉิน นักพรตเฒ่าชื่อหยวนบอกว่าดวงของเจ้าแปลก ทำให้ตอนนั้นต้องยกเจ้าให้เป็นลูกของแม่ใหญ่เจ้า ใช้ชื่อของแม่ใหญ่เจ้าข่มเจ้าไว้ แล้วให้เจ้าใช้ชีวิตข้างนอก เช่นนั้นแล้วคนในบ้านจะได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงได้ส่งเจ้ากลับมาบ้านเก่า ย่ารู้ว่าเจ้าโกรธ ไม่พอใจที่ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาในบ้านเก่าเป็นสิบปี แต่นี่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคนด้วย”
นางฉินผู้เฒ่ามองฉินหลิวซีก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลฉินก็ไม่ได้ละเลยรายจ่ายของเจ้า คนที่จัดไว้ให้ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ตระกูลฉินเลี้ยงดูเจ้ามาจนถึงตอนนี้ แม้จะพูดว่าไร้น้ำใจ แต่ก็มีบุญคุณกับเจ้าเช่นกัน”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นและสบตากับนางด้วยดวงตาสงบนิ่ง
สิ่งที่หญิงชราพูดนั้นไม่ผิด ไร้น้ำใจแต่มีบุญคุณ เป็นบุญคุณที่ให้กำเนิด เป็นบุญคุณที่เลี้ยงดู เพียงขาดการอบรมสั่งสอนใกล้ชิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ก่อให้เกิดเวรกรรมต่อกันแล้ว
ฉินหลิวซียืนขึ้นและคารวะนางฉินผู้เฒ่า
นางฉินผู้เฒ่ากลับรู้สึกอึดอัดในใจมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ กัดปลายลิ้นของตนแล้วเอ่ยต่อ “ในใจเจ้ามีความแค้น ย่าเข้าใจ แต่เจ้าแซ่ฉิน ชื่อของเจ้าในผังตระกูลก็เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ตระกูลฉิน ตราบใดที่ชื่อของเจ้ายังอยู่ในตระกูล เจ้าก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลฉินของข้า เป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านใหญ่”
“พวกท่านปู่ถูกปลดตำแหน่งไปแล้ว ข้ายังจะเป็นคุณหนูใหญ่อะไรได้อีกหรือ” ฉินหลิวซีเย้ยหยันตนเอง
นางฉินผู้เฒ่ากัดริมฝีปากตนเองก่อนจะเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเราเคยเป็นตระกูลขุนนาง ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้า ตระกูลฉินของเราถูกฝ่าบาทยึดทรัพย์และเนรเทศ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
“โปรดเล่ารายละเอียด”
นางฉินผู้เฒ่าหลับตาลงด้วยสีหน้าอดกลั้น
สะใภ้หวังเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ท่านปู่ของเจ้าเป็นขุนนางขั้นสามหัวหน้าสำนักกวงลู่[2] ระหว่างการบวงสรวงที่วัดไท่เมี่ยวในเดือนเจ็ด จู่ๆ แพะในบรรดาสัตว์สามชนิดที่ใช้ในการสังเวยก็ตายไปโดยไร้สัญญาณเตือนล่วงหน้า ถือเป็นเรื่องอัปมงคล ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วหนัก…”
สำหรับราชวงศ์ใดๆ ก็ตาม การบวงสรวงที่วัดไท่เมี่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญมาก พิธีกรรมมีความสำคัญเป็นพิเศษ แต่ในโอกาสสำคัญเช่นนี้กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้น จึงเป็นเหตุให้ฝ่าบาททรงกริ้ว ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องสังเวยยังเป็นแพะในบรรดาสัตว์สังเวยทั้งสามอีกด้วย
ตอนที่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าเฟิง ว่ากันว่าฮ่องเต้ไท่จู่และกองทหารของพระองค์ถูกศัตรูล้อม ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องเข้าไปในป่าเขาวงกตและหลงอยู่ในนั้นเกือบครึ่งเดือน เวลานั้นเสบียงถูกตัดขาด คนกลุ่มหนึ่งเดินตามแพะที่จู่ๆ ก็โผล่มาเป็นเวลาห้าวัน ติดตามแกะที่นำทางท่ามกลางม่านหมอกเป็นระยะๆ จนเดินออกจากป่านั้นได้ และได้พบกับกองทหารสนับสนุนในที่สุด ไม่ต้องพูดถึงการพลิกกลับมาชนะของกองทัพ แต่ยังมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องจนก่อตั้งราชวงศ์ต้าเฟิงขึ้นได้ในครานั้นเอง
ดังนั้นฮ่องเต้ไท่จู่จึงถือว่าแพะในเวลานั้นเป็นเซียน และยังถือว่าพวกมันเป็นสัตว์นำโชคของต้าเฟิง ในบรรดาเครื่องสังเวยสามอย่างจะต้องมีแพะที่มีชีวิตอยู่ด้วย
แต่ยามนั้นจู่ๆ แพะตัวนั้นก็ล้มลงกับพื้นและตายไปในระหว่างพิธีบวงสรวง เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดและถูกสังเวยให้แก่บรรพชน ย่อมถือว่าไม่เป็นมงคลและไม่เป็นการเคารพ ทั้งยังส่อให้เห็นเป็นนัยว่าจักรพรรดิไม่มีความเมตตากรุณา
โอรสสวรรค์ทรงกริ้วย่อมมีคนตายนับไม่ถ้วน
ฉินหยวนซานดูแลสำนักกวงลู่ได้ไม่ดี ทั้งยังมีพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลฉินคอยยุแยงฝ่าบาทอยู่อย่างนี้ ข้อหาหมิ่นพระเกียรติและไม่จงรักภักดีจึงหล่นทับตระกูลฉินอย่างแรง ตระกูลฉินไม่มีแม้แต่สิทธิ์เสียงจะต่อต้าน พังครืนลงทันที
สะใภ้หวังเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็กำมือเม้มริมฝีปากแน่น
ฉินหลิวซีเอ่ย “ในพิธีสำคัญเช่นนี้ท่านปู่จะประมาทเลินเล่อได้อย่างไร จะต้องมีคนชั่ววางแผนร้ายแน่!”
นางฉินผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในความเฉียบแหลมของนาง เอ่ยออกมาด้วยความเกลียดชัง “เจ้าพูดไม่ผิด ท่านปู่ของเจ้าทำสิ่งใดรอบคอบ ไม่กล้าที่จะหย่อนยานแม้แต่น้อย แต่ก็ยังยากจะป้องกันคนใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ได้!”
[1]ดอกม่านถัวหลัว ดอกลำโพง
[2]สำนักกวงลู่ ดูแลเรื่องการบวงสรวง การประชุม งานเลี้ยง รับผิดชอบอาหารและเครื่องดื่มของราชวงศ์