ตอนที่ 15 บ้านบรรพบุรุษเป็นของคุณหนูใหญ่ / ตอนที่ 16 ปิดดวงตาขี้อิจฉาของเจ้า
ตอนที่ 15 บ้านบรรพบุรุษเป็นของคุณหนูใหญ่
บ้านหลังนี้ยังนับเป็นของข้าใช่หรือไม่
คำพูดของฉินหลิวซียังสะท้อนก้องอยู่ในความคิดของนางฉินผู้เฒ่าไม่หยุด นางกลับไปที่ห้องตนเองทันทีก่อนจะหันไปมองสะใภ้หวังลูกสะใภ้คนโตด้วยแววตาสับสน
“ในหัวนางคิดอะไรอยู่กันแน่”
สะใภ้หวังนิ่งเงียบ นางเองก็ไม่เข้าใจฉินหลิวซีเช่นกัน
แต่สะใภ้เซี่ยกลับอดกลั้นไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยถามด้วยความกังวลร้อนใจ “ท่านแม่ คำพูดของนังหนูซีเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ นางพูดว่าบ้านเก่านี้เป็นของนางหรือ บ้านนี้ไม่ได้เป็นบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉินหรือเจ้าคะ”
บ้านของบรรพบุรุษ แม้แต่ลูกหลานผู้ชายยังไม่กล้าคิดอยากได้ แล้วจะกลายเป็นของนังหนูตัวน้อยนั่นไปได้อย่างไร
นางฉินผู้เฒ่าถอนใจ “เกรงว่าตอนนั้นปรมาจารย์ชื่อหยวนคงจะทำนายไว้แล้วว่าตระกูลฉินของเราต้องพบกับความยากลำบากเช่นนี้”
สะใภ้เซี่ยงุนงง นี่มันหมายความเช่นไร
ตอนที่ชื่อหยวนจะพาฉินหลิวซีจากไป เขาเคยปิดประตูพูดคุยกับนายท่านฉินผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัว คนที่ส่งตัวฉินหลิวซีกลับมาก็เป็นลุงเฉิงคนสนิทของนายท่านฉินผู้เฒ่า หลังจากที่พานางกลับมาแล้ว ลุงเฉิงก็จัดการเป็นธุระ แม้ว่าบ้านเก่าหลังนี้ยังดูเหมือนว่าเป็นบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉิน แต่เจ้าของโฉนดกลายเป็นของชื่อหยวน และเขาได้มอบให้ฉินหลิวซีต่ออีกทอดไปแล้ว
เมื่อพวกนางถูกยึดทรัพย์ค้นบ้าน บ้านและทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลฉินจึงถูกปิดตาย ยกเว้นบ้านบรรพบุรุษในเมืองหลีหลังนี้เท่านั้น
นางฉินผู้เฒ่าใช้เหตุผลที่ว่าบ้านหลังนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่คนอื่นมอบให้ อีกทั้งได้ขอความเมตตาจากไทเฮาชราให้ละเว้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการแตะต้องสิ่งของใดในบ้านบรรพบุรุษหลังนี้ ตระกูลฉินจึงสามารถกลับมาอยู่อาศัยที่นี่ได้
จู่ๆ ฉินหลิวซีก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นโฉนดของบ้านหลังนี้ก็อยู่ในมือของนังหนูซีแล้วหรือเจ้าคะ เป็นของนางหรือ” สะใภ้เซี่ยตกใจจนเสียงแหลมสูง
เช่นนั้นแล้วพวกนางก็กำลังอยู่อาศัยใต้ชายคาบ้านคนอื่น หากทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมาก็จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ
“มันเป็นแผนชั่วคราว” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยความสลดใจ “โชคดีแล้วที่บ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของไปในยามนั้น หาไม่แล้ววันนี้พวกเราคงไม่มีแม้แต่ที่จะอยู่”
“แต่ท่านแม่เจ้าคะ นี่เป็นบ้านบรรพบุรุษ ไฉนเลยจะยกให้นังหนูซีได้ จะต้องเอาโฉนดกลับมานะเจ้าคะ” สะใภ้เซี่ยร้อนใจมาก หากโฉนดอยู่ในมือฉินหลิวซี ต่อไปอะไรๆ ก็คงเป็นของอีกฝ่ายไปหมด เช่นนั้นจะได้อย่างไร
สะใภ้หวังเอ่ยเรียบๆ “น้องสะใภ้รอง ตระกูลของเรามีความผิดติดตัว จะเอากลับมาให้ทางการสั่งยึดเช่นนั้นหรือ”
สะใภ้เซี่ยสะอึกไปทันที ในใจนางก็คิดไปว่า เหตุที่สะใภ้หวังไม่เห็นว่าเป็นอะไรนั้นคงเป็นเพราะการที่โฉนดอยู่ในมือของฉินหลิวซี ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับอยู่ในมือของบ้านใหญ่
“จะเอ่ยอย่างนั้นไม่ได้…”
“พอเถิด พี่สะใภ้ของเจ้าพูดถูกแล้ว บัดนี้ตระกูลฉินควรทำตัวสงบเสงี่ยม เจ้าจะเอาโฉนดแผ่นเดียวไปอวดใคร” นางฉินผู้เฒ่าตำหนิหน้าตึง “สามี พ่อสามี และลูกชายคนหนึ่งของเจ้ายังอยู่ระหว่างการเนรเทศ ข้าไม่เห็นเจ้าเป็นห่วงเป็นใยเอ่ยอะไรสักคำ แต่กลับเป็นกังวลร้อนใจเรื่องโฉนดแผ่นเดียวนี้หรือ”
สะใภ้เซี่ยหน้าแดงขึ้นมา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงตรงหางตาพลางเอ่ยเจือสะอื้น “ท่านแม่เอ่ยเช่นนี้ก็เท่ากับควักหัวใจข้าแล้ว นั่นคือสามีของข้านะเจ้าคะ ไหนเลยข้าจะไม่คิดถึง หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเด็กๆ พวกนี้ ข้าก็คงไปกับเขาแล้ว”
นางฉินผู้เฒ่าแค่นเสียง “ไม่ต้องมาทำเป็นร้องไห้หรอก เจ้าไม่กลัว แต่ข้ากลัวว่าจะอัปมงคล”
สะใภ้เซี่ยอับอาย
นางฉินผู้เฒ่านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ขึ้นมาได้ นางจึงหันไปมองติงหมัวหมัว จากนั้นติงหมัวหมัวจึงส่งถุงเงินให้สะใภ้หวัง
“ถุงเงินใบนี้ท่านป้าและท่านย่าของเจ้าฉวยโอกาสแอบยัดมาให้ข้าตอนที่ออกจากเมืองหลวงมา เจ้ารับไปสิ เจ้ายังต้องดูแลบ้านนี้อีก” นางฉินผู้เฒ่ามองถุงเงินใบนั้นพลางเอ่ย “ว่ากันว่าจะเห็นมิตรแท้ก็ในยามทุกข์ยาก ตระกูลหวังจริงใจ ตระกูลฉินของเราเลือกดองไม่ผิดแล้ว หากภายหน้าตระกูลฉินของเรากลับมาได้ พวกเราจะต้องจดจำน้ำใจในครั้งนี้ของพวกนางเอาไว้ให้ดี”
การส่งเสริมกันในยามสุขนั้นง่ายดาย แต่การช่วยเหลือกันในยามตกระกำลำบากนั้นยากนัก พวกนางหาทางมอบความช่วยเหลือให้เราทั้งๆ ที่รู้ว่าฝ่าบาทอาจจะไม่พอพระทัยได้เช่นนี้ นับเป็นความสามารถและน้ำใจ ไม่เหมือนกับตระกูลสามีของฉินเหมยเหนียง ที่พอตระกูลฉินเกิดเรื่องก็รีบเขียนจดหมายหย่าตัดขาดมิตรภาพกันทันที
ฉินเหมยเหนียงเองก็เหมือนจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน จึงก้มหน้าสะอื้นไห้เงียบๆ
ตอนที่ 16 ปิดดวงตาขี้อิจฉาของเจ้า
สะใภ้เซี่ยไม่ได้สนใจความโศกเศร้าเสียใจของท่านป้าใหญ่ นางจ้องถุงเงินเรียบๆ ที่ปักอักษรคำว่าปลอดภัยในมือของสะใภ้หวังด้วยความอิจฉา นางอยากจะรู้นักว่าในนั้นมีเงินอยู่เท่าไรกันแน่
สะใภ้หวังจับๆ ถุงเงินดูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงของแข็งจึงคิดว่าน่าจะเป็นตั๋วเงินทั้งหมด จากนั้นจึงเอ่ย “ท่านแม่ ในเมื่อท่านมอบหมายให้ข้าเป็นคนดูแลบ้าน เช่นนั้นแล้วข้าก็มีอำนาจเต็มที่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางฉินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า
“พี่สะใภ้ใหญ่ ลองดูสิว่ามีเงินอยู่เท่าไร พอที่จะซื้อตัวสาวใช้เพิ่มอีกสักสองคนหรือไม่” สะใภ้เซี่ยเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
สะใภ้หวังเหลือบตามองนางทันทีแต่กลับไม่ได้เปิดถุงเงินออกดู เพียงแต่หันไปเอ่ยกับนางฉินผู้เฒ่าว่า “บ้านเราเกิดเรื่องกะทันหันมาก ทั้งยังไม่มีทรัพย์สินใดๆ ที่ติดตัวมาด้วยเลย เมื่อวานนี้ข้าให้ลุงหลี่ไปหานายหน้าหาแม่นมมาให้สะใภ้สามก่อนแล้วคนหนึ่ง และว่าจ้างหญิงแม่บ้านมาทำงานบ้านซักผ้าทั่วไปอีกคนแล้วเจ้าค่ะ”
“แม่นมคนเดียวหรือ” นางฉินผู้เฒ่านิ่วหน้า
สะใภ้หวังเอ่ย “เพราะเราค่อนข้างรีบ คนที่เหมาะสมเท่าที่พอจะหาได้ตอนนี้จึงมีเพียงคนเดียว นางเพิ่งจะคลอดลูกได้สองเดือน ร่างกายก็ได้รับการบำรุงอย่างดี เพียงพอที่จะให้นมเด็กสองคนได้ ข้าได้สั่งให้ลุงหลี่หาคนที่เหมาะสมเพิ่มอีกคนแล้ว อีกอย่างข้าก็ให้จวี๋เอ๋อร์สาวใช้ของท่านคอยดูแลเฉพาะสะใภ้สามคนเดียวแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
นางฉินผู้เฒ่าพยักหน้า “ดีแล้ว นางคลอดลูกก่อนกำหนดภายในได้รับบาดเจ็บมากจะรออะไรไม่ได้ ก็ให้จวี๋เอ๋อร์คอยดูแลนางก็แล้วกัน เจ้าต้องสั่งให้ในครัวทำอาหารบำรุงให้นางด้วย จะต้องให้นางอยู่ไฟให้ดี ส่วนพวกเรากินไม่ดีหน่อยก็ไม่เป็นไร”
ลูกๆ ของสะใภ้คนเล็กมาไม่ถูกเวลาทั้งยังทำร้ายสุขภาพมารดาอีกด้วย การให้ความสำคัญกับนางจึงถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นหากนางสุขภาพไม่ดี แล้วต่อไปลูกๆ ของเจ้าสามจะทำเช่นไร
สะใภ้หวังเอ่ย “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งการลงไป อาหารการกินของท่านกับน้องสะใภ้สามจะบกพร่องไม่ได้”
สะใภ้เซี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย แล้วพวกนางเล่า
“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราจะต้องซื้อตัวสาวใช้มาคอยรับใช้เพิ่มหรือไม่”
“น้องสะใภ้รอง ตระกูลฉินถูกยึดบ้านแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกปิดตาย เราจะเอาเงินมาจากไหน เจ้าเห็นว่าเรามีเงินเล็กน้อยนี้อยู่เช่นนั้นหรือ” สะใภ้หวังยกถุงเงินในมือขึ้นพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านพี่ และพวกน้องๆ ทั้งหลายยังอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่ว่าอะไรก็ต้องใช้เงินจัดการ ทุกอย่างเป็นรายจ่ายทั้งสิ้น เราต้องหาทางเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เราจะใช้ก้อนโตซื้อคนมาคอยรับใช้ได้อย่างไร”
นางฉินผู้เฒ่าจ้องหน้าสะใภ้เซี่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากเจ้าทนลำบากไม่ได้ก็กลับตระกูลเซี่ยของเจ้าไปเสียเถิด ตระกูลเซี่ยคงเลี้ยงเจ้าคนเดียวไหวอยู่หรอก”
สะใภ้เซี่ยหน้าซีดและคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาทันที “ท่านแม่ ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ข้าเป็นสะใภ้ตระกูลฉินแล้ว ตายก็ต้องเป็นผีตระกูลฉิน”
ก่อนที่นางจะออกเรือน นางต้องเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของมารดาเลี้ยงมาตลอด จนอาศัยวาสนาที่มีต่อท่านอาหญิงของนางคนนี้ เป็นที่ถูกตาต้องใจของนายท่านคนรองของตระกูลฉิน นางจึงได้แต่งงานเข้าตระกูลฉินมีหน้ามีตามาตลอดหลายปีนี้
แม้จะเป็นเช่นนั้น สามีของนางก็ยังมีอนุภรรยาด้วย ทว่าเรื่องนั้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งภรรยาเอกของนาง แต่หากนางกลับไปที่บ้านบิดามารดา มารดาเลี้ยงไม่ชอบนาง กับพี่น้องคนอื่นนางก็ไม่สนิทด้วย นางก็คงถึงทางตันแล้ว
นางฉินผู้เฒ่าตะคอกอย่างหนัก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เก็บความคิดของเจ้าไว้ให้ดี มีมือมีเท้าเหมือนกันจะจัดการตัวเองไม่ได้เลยหรือ เจ้าหาเงินให้ได้ ถ้าเจ้าหาเงินได้อยากจะซื้อตัวสาวใช้มาคอยปรนนิบัติก็เป็นความสามารถของเจ้า แต่เงินส่วนนี้สำหรับเอาไว้กินใช้กันในครอบครัว และที่สำคัญคือต้องใช้กรุยทางให้ท่านพ่อของเจ้าด้วย เจ้ารีบล้มเลิกความคิดของเจ้าไปเสียเถิด ปิดดวงตาขี้อิจฉาของเจ้าให้ดี อย่าได้คิดเรื่องเงินเล็กน้อยนี้อีก”
“เจ้าค่ะ” สะใภ้เซี่ยห้ามหน้าลงด้วยความอับอาย
นางฉินผู้เฒ่ากำลังจะเอ่ยอะไรออกมาอีกในตอนที่ฉินหมิงเป่าบุตรสาวบ้านสาม หลานสาวตัวน้อยของนางวิ่งร้องไห้เข้ามาบอกว่ามารดาของนางอาการไม่ค่อยดีนัก ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก