ตัวเขากับคนผู้นั้นสมควรจะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ทำไมเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงได้เอ่ยเรียกเขาเช่นนั้น?
“เจ้าจำคนผิดแล้ว” เจ้าสำนักเอ่ยอย่างเย็นชา เขากำหมัดค้างเอาไว้ เกือบจะต่อยลงไปอยู่แล้ว
“เหล็กแหลมแท่งนี้ มีแต่เมื่อสัมผัสกับสายเลือดของคนในราชวงศ์จีเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง หากว่าเจ้าไม่ใช่จีเฉวียน แล้วจะเป็นผู้ใด?”
ยามที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเอ่ยออกมา น้ำเสียงก็ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง
แค่คำว่าจีเพียงอักษรเดียวก็เพียงพอจะทำให้เขาบ้าคลั่งได้แล้ว
ความทุกข์ทรมานทั้งหลายทั้งปวงของเขา ล้วนเกิดจากคนในสกุลจี แม้ว่าต้องทนมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยจะมีวันใดที่คิดจะเลิกล้มการกำจัดราชวงศ์จีให้หมดสิ้น!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านเจ้าสำนักก็ต้องเหลือบตาไปมองดูเหล็กแหลมในมือของเขาชิ้นนั้นรอบหนึ่ง เหล็กแหลมชิ้นนั้นแดงก่ำราวกับเลือดจะหยดออกมา ช่างบาดตายิ่งนัก
เขาพยายามครุ่นคิดอย่างละเอียดลออครั้งหนึ่ง ก็ยังจดจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
เนื่องเพราะจีเฉวียนที่เขารู้จักนั้น มาจากข้อมูลของดินแดนโบราณ และคำพูดจากปากของศิษย์น้อยเพียงเป็นส่วนใหญ่
หากว่าเขาคือคนผู้นั้นจริงๆ ทำไมเมื่อได้ยินชื่อของตนเอง ในใจถึงได้ไม่มีคลื่นลมใดๆทั้งสิ้น?
และแม้แต่อารมณ์อ่อนไหวสักนิดก็ยังไม่มี?
ดังนั้นเพียงแค่การเปลี่ยนสีของเหล็กแหลมชิ้นนั้น ก็จะสามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่าเขาคือจีเฉวียนจริงๆนะหรือ?
โอรสสวรรค์แคว้นต้าโจวผู้นั้น เป็นเพียงแค่มนุษย์หยาบกร้านธรรมดาๆผู้หนึ่งเท่านั้นไม่มีทางที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างเขาได้เลย
แม้ว่าครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แต่หมัดของเขาก็ยังคงต่อยลงไปอีกอยู่ดี
เขาเคยบอกเอาไว้แล้วว่า ต้องการมารับวิญญาณของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน นี่ย่อมมิใช่แค่เพียงสายลมที่พัดผ่านใบหู
………………..
ใต้เกาะลอยฟ้า เดิมทียามนี้เป็นเวลาเย็นที่แสงสีส้มของดวงอาทิตย์จับขอบฟ้า แต่ว่าอยู่ๆท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสีไป
แผ่นฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำมืด สายลมปีศาจพัดหวีดหวิวอย่างรุนแรง ราวกับว่าอยู่ๆก็มีปีศาจโผล่ขึ้นมา ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวจนไม่น่าดู
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงพิณดีดออกมาเมื่อครู่นี้ แต่ละคนต่างก็พากันรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมา
เสียงพิณเมื่อครู่มีกลิ่นอายฆ่าฟันที่พิเศษเฉพาะมากเกินไป ผู้ที่มายังเมืองว่านฮวาเฉิงล้วนเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะ และตำแหน่งแห่งที่ประมาณหนึ่ง ล้วนเป็นคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน
ในบรรดาพวกเขามีอยู่ค่อนข้างมากที่เคยเข้าร่วมงานสุดยอดการประลองมาแล้ว พวกเขาย่อมมีความคุ้นเคยกับเสียงพิณเมื่อครู่เป็นอย่างดี นี่เป็นเสียงพิณที่ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถลอกเลียนเสียงได้
ในตอนนั้น เจ้าแคว้นทองคำก็บังเอิญผ่านทางมาพอดี พอได้ยินเสียงเขาก็ต้องรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา
“เป็นเจ้าสำนักหยินหยาง….นี่เขา ลบล้างวังตันติ่งกงไปแล้ว ก็คิดจะหันดาบเข้าหาตำหนักซิวหลัวเตี้ยนด้วยหรือ?”
น้ำเสียงของเขาดังไปทั่วทุกมุม ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ที่แท้….คนที่ติดตามขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า…..ก็คือท่านเจ้าสำนักหยินหยางนั่นเอง!
เขาไปเอาความหาญกล้าเช่นนี้มาจากที่ใด ทำลายวังตันติ่งกงไปแล้ว ไม่เพียงแต่ปรากฏตัวอย่างเอิกเกริกบนเกาะลอยฟ้า ทั้งยังลงมือกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน?
มิหน้าเล่าเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงถูกเขาบีบคั้นจนต้องลงมือ….ก็ในดินแดนนจิ่วโจวนี้ยังจะมีผู้ใดที่จะสามารถเล่นงานเขาได้กัน?
พวกเขารู้สึกสมองบวมกันไปหมดแล้ว อนาคตข้างหน้ามีหวังต้องย่ำแย่เป็นแน่
เจ้าสำนักหยินหยาง เลือดเย็นไร้ความรู้สึก ทั้งยังเข่นฆ่าล้างเลือด คนเช่นนี้กลายเป็นประมุขของดินแดนจิ่วโจว …..ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคงไม่ต้องคาดคิดแล้ว
“ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดออกมาเองว่า บนดินแดนจิ่วโจว ผู้ที่ต่อต้านเขา มีหนึ่งคนสังหารหนึ่งคน มีคู่หนึ่งก็สังหารคู่หนึ่ง แม้แต่ประมุขแคว้นเช่นข้าก็เกือบจะต้องจบชีวิตไปในสำนักหยินหยางแล้ว” เจ้าแคว้นทองพูดพลางขบฟันจนเจ็บปวด
เดิมทีในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติครั้งนี้ เขาได้ทำการติดต่อกับประมุขของสี่แคว้นใหญ่ คิดจะรวมกำลังจัดการกับเจ้าสำนักหยินหยางที่เป็นดั่งจอมมารผู้นี้ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ
ใครจะไปนึกว่า ยังไม่ทันจะได้วางแผนกำจัดเขา เขากลับฮึกเหิมถึงขนาดขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าเพื่อสังหารเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแล้ว
พอเสียงพิณนั้นหยุดลง ความมืดครึ้มในอากาศก็โรยตัวลงมามากกว่าเดิม สายลมปีศาจที่เย็นเสียดกระดูกพัดผ่านอากาศอบอุ่นของเมืองว่านฮวาเฉิง แทรกเข้าไปใต้ผิวหนังของผู้คนอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับว่าจะจับผิวจนผู้คนกลายเป็นแท่งน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่กลีบดอกไม้ที่ปลิวลงมาจากบนเกาะลอยฟ้าก็ยังมีเกล็ดหิมะเกาะกุมอยู่
เช่นนั้นในตอนนี้บนเกาะลอยฟ้า….ก็คงจะกลายเป็นลานประลองไปแล้ว
“พวกเราไม่อาจเอาแต่นั่งรออยู่เช่นนี้ ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั่นถึงแม้ว่าจะลึกลับและน่ากลัว แต่ก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดเกินเลย เพื่อความสงบสุขของฟ้าดิน ในยามนี้พวกเราสมควรสามัคคีรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน กำจัดเจ้ามารปีศาจเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้!” เจ้าแคว้นทองเปิดประเด็นขึ้นมา
วันนั้นหลังจากที่ได้ไปเยือนสำนักหยินหยางมารอบหนึ่ง เขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ตราบใดที่มารปีศาจผู้นี้ยังมีชีวิต เขาก็คงไม่อาจอยู่ดีได้ เพราะว่าแค่คนผู้นั้นลงมืออย่างไม่ตั้งใจ…..ก็สามารถกำจัดตนเองจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านได้แล้ว
แม้แต่ลูกแก้ววิญญาณเพลิงของเขา….ก็น่าจะถูกคนผู้นั้นชิงไปแล้ว แต่เขากลับไม่กล้าเอะอะโวยวายออกมาเลยสักคำ
ฆ่าคนใดดวงใจของเขาไปแล้วก็ยังไม่พอ ยังจะขโมยสมบัติล้ำค่าประจำแคว้นของเขาอีก ความแค้นนี้จะให้เขากล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร
ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ในเมื่อ เจ้าคนผู้นี้ส่งตัวเองมาหาความตาย โอกาสเช่นนี้จะปล่อยผ่านไปได้หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น….สถานการณ์บนเกาะลอยฟ้าที่จริงแล้วเป็นเช่นไร ก็ยังไม่รู้แน่เลย
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็เป็นตัวร้ายกาจ ย่อมไม่มีทางถูกเจ้ามารปีศาจนั้นกำจัดทิ้งได้ง่ายๆ
หากว่าปะทะกันขึ้นมาจริงๆ มีหวังได้บาดเจ็บล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้ก็คือ ลากผู้คนทั้งหมดมาร่วมหัวกัน รอให้เจ้าจอมมารผู้นั้นใกล้ตาย ก็ค่อยถล่มมันอีกครั้ง เช่นนี้มันย่อมไม่มีหนทางจะพลิกฟื้นคืนมาได้อีก
เดิมที่ผู้คนทั้งหลายต่างก็มีใจหวาดผวาเพราะเรื่องสุดยอดการประลองอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อถูกเจ้าแคว้นทองคำยุแหย่ ยิ่งเพิ่มพูนความคับแค้นใจขึ้นมา
ราวกับว่าเจ้าสำนักหยินหยางนั้นเป็นจอมมารที่แสนร้ายกาจขึ้นมาจริงๆ
เรื่องที่เกิดบนเกาะลอยฟ้าพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน จึงได้แต่รอคอยอยู่ที่ด้านล่าง ขอเพียงเขาลงมา พวกเขาก็จะลงมือพร้อมกัน หรือว่ายังจะต้องพ่ายแพ้ให้กับคนผู้นั้นอีกหรือ?
พวกเขาต่างก็มีความสามารถไม่ธรรมดา เบื้องหลังยังมีขุมอำนาจหนุนหลัง โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือที่รวมตัวกันในคืนนี้ นับไปนับมาก็ได้กว่าพันคนแล้ว
หากรวมกับลูกน้องที่ติดตามมา อย่างน้อยๆก็ต้องมีผู้คนนับหมื่นแล้ว
ผู้คนทั้งหลาย ต่างก็รอคอยอยู่ที่ใต้เกาะ
ที่จริงแล้วตั้งแต่ในงานสุดยอดการประลองครั้งก่อน พวกเขาต่างก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวเจ้าสำนักหยินหยางอยู่แล้ว
เมื่อมีคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน…..ขึ้นมาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับไร้เทียมทาน ย่อมทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างไม่อาจวางใจ ราวกับเป็นสิ่งของที่มีอันตรายชิ้นหนึ่ง สมควรฆ่าหมกตระกร้าไปตั้งแต่แรก จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิใช่หรือ?
……………..
บนเกาะลอยฟ้า หมัดนี้ของท่านเจ้าสำนักต่อยออกไปด้วยพละกำลังเปี่ยมล้น พื้นดินถึงกับพังทลายเป็นรูใหญ่ แรงกระแทกทะลุเกาะลอยฟ้าออกไป
จุดศูนย์กลางของเกาะกลายเป็นรูกลวง ก้อนหินหล่นลงไปจากเกาะลอยฟ้า
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็สมกับเป็นผู้แข็งแกร่ง สามารถหลบหลีกหมัดนี้ไปได้
เขาเหลือบตามองไป ใบหน้าที่ทั้งเกรี้ยวกราดและอัปลักษณ์จับจ้องมองดูรูใหญ่บนพื้นของเกาะลอยฟ้าด้วยความซับซ้อน
แต่เพราะใบหน้าของเขาถูกไฟแผดเผาทำลายจนกลายเป็นตัวอัปลักษณ์….ดังนั้นมิว่าจะแสดงอารมณ์ออกมาเช่นไร หากดูอย่างผิวเผินก็คือดุร้ายอยู่ดี
เขายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของจีเฉวียนกันแน่ …..เจ้านั่นไปเผอิญทำอะไรมาถึงได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
คนราชวงศ์จีล้วนชั่วช้าสามานย์ โหดเ**้ยมเกินใครเปรียบแล้วไยจึงไม่เคยได้รับกรรมตามสนองแม้แต่น้อย นี่ทำให้หัวใจของเขาไม่อาจสงบลงได้
ที่เขาพยายามตลอดหลายปีมานี้ ก็เพื่อจะทำลายล้างราชวงศ์จีให้ดับสูญ แต่ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่สูญสิ้น กลับยิ่ง…..
พอมองดูบุรุษตรงหน้า สายตาของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าพาด จนคว้าลูกแก้วโลกาวินาศนั่นได้อีกครั้ง
……………………………..