ตอนที่ 43 คำดูถูกจากพี่หญิงใหญ่ / ตอนที่ 44 ศิษย์คิดล้างครู
ตอนที่ 43 คำดูถูกจากพี่หญิงใหญ่
เมื่อฉินหลิวซีเดินเข้าไปในห้องของสะใภ้หวัง นางก็เห็นว่าอนุวั่นและฉินหมิงฉุนก็อยู่ที่นั่นด้วย เพียงแต่อนุวั่นมีงานเย็บปักอยู่ในมือ ส่วนน้องชายที่คาดเดาได้ง่ายผู้นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะ และกำลังหยิบพู่กันคัดตัวอักษร พอเขาเห็นว่านางมาก็ทำหน้าตาไม่พอใจทันที
โอ้ เจ้าเด็กนี้ยังแค้นเรื่องขนมนั่นไม่หายอีกหรือ
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาก่อนจะคารวะสะใภ้หวังและอนุวั่น
สะใภ้หวังกวักมือเรียกนางพร้อมรอยยิ้ม “ซีเอ๋อร์มาแล้ว มานั่งนี่มา” เมื่อนางเห็นไปเห็นว่าฉินหมิงฉุนนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ เพียงแต่มองมาเฉยๆ จึงพูดว่า “ฉุนเอ๋อร์ พี่หญิงใหญ่มาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ยืนขึ้นทำความเคารพ”
เสียงของนางอ่อนโยน แต่น้ำเสียงของกลับมีความน่าเกรงขามเล็กน้อย
ฉินหลิวซีชำเลืองมองด้วยท่าทางเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง
ร่างเล็กๆ ของฉินหมิงฉุนสั่นสะท้าน รีบโค้งลงคำนับนางพลางเอ่ยตะกุกตะกัก “คารวะพี่หญิงใหญ่”
“อือฮึ”
ฉินหมิงฉุนก้มหน้างุด
ฉินหลิวซีเดินไปที่โต๊ะของเขาก่อนจะเหลือบมองเล็กน้อย “ตัวอักษรเจ้าน่าเกลียดมาก หัดมากี่ปีแล้ว”
“เตรียมพื้นฐานสองปีแล้วล่ะ” สะใภ้หวังเองก็เดินเข้ามา นางเหลือบมองพลางส่ายศีรษะยิ้มๆ
“สองปีแล้วยังเขียนได้แค่นี้หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่เป็นไร ภายภาคหน้าเจ้าไปเป็นนักพรตก็ได้ นักพรตก็วาดยันต์แบบนี้แหละ”
โบราณมีคำกล่าวว่าผีวาดยันต์[1]
ไม่เจ็บแต่ดูถูกมาก
แง้
ฉินหมิงฉุนระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาทันที
สะใภ้หวังทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
อนุวั่นเดินเข้ามาและยื่นหน้าเข้าไปดู ก่อนจะแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง “น่าเกลียดไปหน่อยจริงๆ แต่ลูกรัก ขอแค่เจ้าหน้าตาดีก็พอแล้ว อย่างมากต่อไปเจ้าก็หาภรรยาที่มีทรัพย์สมบัติมาก พวกเราไม่ต้องอาศัยความสามารถ อาศัยหน้าตาก็หากินได้แล้วล่ะ”
สะใภ้หวัง “…”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ สมกับที่เป็นมารดาของนางจริงๆ บุตรชายจะเกาะผู้หญิงกินก็ไม่เป็นไรแล้ว!
ฉินหมิงฉุนยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“อย่าร้องไห้!” ฉินหลิวซีตำหนิเบาๆ
เสียงร้องหยุดกะทันหันกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นแทน
สะใภ้หวังเอ่ย “ฉุนเอ๋อร์เขียนต่อไป” จากนั้นนางก็ดึงฉินหลิวซีลงไปนั่งบนเตียงหลัวฮั่นข้างหน้าต่างเพื่อพูดคุย
ฉินหลิวซีนั่งลงก่อนจะเอ่ย “ข้ามีเรื่องจะบอกท่านพอดี พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นไปอารามและกักตนบำเพ็ญสักระยะหนึ่ง ข้าจะทิ้งฉีหวงไว้ที่นี่ให้ท่านคอยเรียกใช้ ให้นางจัดการเรื่องราวต่างๆ ทั้งในและนอกให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไปรับใช้ข้าเหมือนเดิม”
สะใภ้หวังตะลึงไป “กักตนหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “ข้าสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เล็กแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นพวกท่านจะส่งข้ากลับมาที่บ้านเก่านี้ด้วยเหตุใด อารามตั้งอยู่บนภูเขา เป็นแหล่งพลังและมีความงดงามเหมาะสมแก่การบำรุงฟื้นฟูบำเพ็ญตน ทุกปีข้าจะต้องขึ้นไปกักตนบำเพ็ญเพียร หาไม่แล้วข้าจะมีสุขภาพที่ดีอย่างเช่นทุกวันนี้ได้เช่นไร”
สะใภ้หวังเหลือบมองมวยผมของนางที่มวยไว้ด้วยไม้ท้อก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “คือว่าซีเอ๋อร์ ถึงเจ้าจะติดตามอาจารย์ แต่เจ้าคงไม่ได้เข้าสู่ลัทธิเต๋าอย่างเป็นทางการกระมัง”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็เข้าใจผิดแล้ว ข้าเข้าสู่ลัทธิเต๋าอย่างเป็นทางการแล้ว”
สีหน้าสะใภ้หวังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อนุวั่นเอ่ย “เจ้ากลายเป็นนักพรตหญิงแล้วต่อไปจะแต่งงานมีลูกได้อย่างไร”
“นิกายของข้าไม่ยึดติดกับอายตนะทั้งหก และยังมีนักพรตที่ปฏิบัติเป็นคู่ด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะเอ่ยเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
อนุวั่นไม่ได้รู้สึกอย่างไรนักหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น แต่สะใภ้หวังกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเอ่ย “แล้วเจ้าจะไปกี่วันกัน”
“ยังบอกไม่ได้เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านเป็นนายหญิงที่ต้องรับผิดชอบเรื่องในบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็บอกแล้ว ท่านจัดการเรื่องในบ้านนี้ไปเถิด ข้าสั่งลุงหลี่เอาไว้แล้ว เขาจะไปซื้อของที่ต้องใช้เข้าบ้านให้ ท่านแม่ก็คอยควบคุมคนในบ้านให้ดี อย่าให้ใครออกไปเพ่นพ่านข้างนอกได้”
สะใภ้หวังตกตะลึงไปเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเล่นกับพู่ไหมประดับเอวพลางเอ่ยสบายๆ “เรื่องของตระกูลฉินยังนับไม่ได้ว่าผ่านพ้นไปแล้ว ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมไว้จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจจากคนอื่น มิใช่หรือเจ้าคะ”
ตอนที่ 44 ศิษย์คิดล้างครู
สะใภ้หวังเหลือบมองฉินหลิวซีด้วยแววตาลุ่มลึก
“เจ้าเอ่ยถูกแล้ว อีกอย่างตระกูลฉินตกต่ำ ในบ้านก็มีแต่ผู้หญิงและเด็ก ก็ต้องหลีกเลี่ยงความผิดพลาดไว้ก่อน”
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แม่ใหญ่ของตนคนนี้เกิดในตระกูลใหญ่ หากนางยังไม่เข้าใจมองความสัมพันธ์ของเรื่องนี้ไม่ออกก็ถือว่าเสียทีที่เกิดมาในตระกูลใหญ่แล้ว
สะใภ้หวังเอ่ย “ที่จริงท่านย่าของเจ้าก็อยากไปเยี่ยมคารวะเจ้าอาวาสที่อารามเช่นกัน แต่สุขภาพของท่านย่าไม่อำนวยจึงได้ต้องเลื่อนออกไปก่อน”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ช่วงนี้เจ้าอาวาสออกไปข้างนอก ต่อให้นางไปก็ไม่ได้พบหรอกเจ้าค่ะ”
ฉีหวงที่ยืนอยู่ตรงประตูเหลือบตามองแล้วหลุบตาลง คุณหนูของนางกำลังโกหกหน้าซื่อตาใสชัดๆ
ฉินหลิวซีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย สุขภาพร่างกายไม่ดีแล้วจะทรมานตัวเองไปไย เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วจะพลิกสถานการณ์กลับในชั่วพริบตาก็คงเป็นไปไม่ได้
“จริงสิ ท่านเรียกข้ามาทำไมหรือเจ้าคะ”
สะใภ้หวังจึงนึกขึ้นได้ “คืออย่างนี้ ตอนที่ยึดทรัพย์ค้นบ้าน ผู้ชายที่มีอายุสิบสองปีขึ้นไปล้วนถูกเนรเทศ…”
“ท่านเป็นห่วงน้องรองหรือ” ฉินหลิวซีเหลือบมองโหงวเฮ้งของนางก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องห่วง น้องรองอยู่ระหว่างการเดินทางเนรเทศคงหลีกเลี่ยงความลำบากไม่ได้ กระทั่งว่า…แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เขามีผู้มีพระคุณช่วยเหลือ จะรอดพ้นจากอันตรายและเดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”
หัวใจของสะใภ้หวังเต้นรัว มองฉินหลิวซีริมฝีปากสั่น “เจ้า เจ้ารู้อะไรหรือ”
หรือว่าเด็กคนนี้ได้เข้าเต๋าและเรียนรู้วิชาการทำนายดวงชะตามาจากอาจารย์ของนาง?
“ไม่ต้องรู้หรอกเจ้าค่ะ แค่เดาเอาก็รู้แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เดิมทีเขาเป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม เมื่อที่บ้านต้องเผชิญกับคราวเคราะห์ใหญ่ เด็กอายุเพียงนั้นถูกเนรเทศไปพร้อมกับผู้ใหญ่ เขาจะไม่ทุกข์ทรมานได้เช่นไร” ฉินหลิวซีเอ่ย “สำหรับเรื่องที่เขาจะมีผู้มีพระคุณช่วยเหลือนั้นอาจารย์เป็นคนทำนายไว้”
นางใช้ตาเฒ่าชื่อหยวนมารับมีดแทนอีกแล้ว
นักพรตชื่อหยวนซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องโถงใหญ่ของอารามชิงถิงลูบใบหูที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยและลูบจมูกไปมา
ศิษย์ชั่วนั่นต้องกำลังทำลายอาจารย์อยู่แน่ๆ
สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที นางถึงขนาดจับมือของฉินหลิวซีขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เจ้าอาวาสพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซีหันไปมองมือที่หยาบกร้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาสั้นๆ แล้วพยักหน้า
กระบอกตาของสะใภ้หวังร้อนขึ้นในทันใด “เช่นนั้นก็ดี”
นางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยก่อนจะเช็ดหางตา “เราอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย อย่างที่เอ่ยเมื่อครู่ ตอนนี้บ้านเราเหลือแค่เด็กและสตรีที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ แม้ว่ายามที่ออกจากเมืองหลวงมาจะมีญาติให้เงินมาบ้างเล็กน้อย แต่เรามีกันเยอะเพียงนี้ ถึงอย่างไรเงินนั้นก็ต้องหมดไป ข้าคิดว่าควรจะซื้อที่นาสักสิบกว่าหมู่แล้วปล่อยเช่าดีหรือไม่ ซื้อไว้ในนามของหลี่ต้ากุ้ย ประการแรกมันไม่สะดุดตา และประการที่สองค่าเช่าที่ได้มาก็สามารถจัดการเรื่องอาหารการกินของบ้านเราได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อเสมอไป ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าคิดว่าครอบครัวหลี่ต้ากุ้ยนี้ไว้ใจได้หรือไม่”
“คนในครอบครัวลุงหลี่ล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเอ่ยเพียงไม่กี่คำแต่กลับยืนยันถึงลักษณะนิสัยของครอบครัวหลี่ต้ากุ้ยได้เป็นอย่างดี
สะใภ้หวังเข้าใจ “เช่นนั้นก็จัดการตามนี้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆ พวกเราก็ทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ส่งไปขายที่ร้านผ้าและร้านขายของชำต่างๆ เงินเดือนก็แบ่งให้พวกนางด้วย จะต้องให้พวกนางมีเงินติดมือไว้บ้างจะได้อุ่นใจ”
ฉินหลิวซีไม่ได้มีความอดทนกับเรื่องเหล่านี้ “ท่านกับท่านย่าตัดสินใจก็แล้วกัน”
นางเงยหน้าขึ้นและเห็นอนุวั่นในเสื้อผ้าเนื้อหยาบและเครื่องประดับเรียบง่ายกำลังก้มหน้าก้มตากับงานเย็บปักในมือ และหันไปเห็นว่าฉินหมิงฉุนเองก็สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ในใจนางก็คิดว่าหากพวกเขาแต่งตัวดีๆ ก็คงจะเจริญหูเจริญตาไม่น้อย
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ฉินหลิวซียืนขึ้นและกล่าวลา
“เจ้าไปเถิด”
ฉินหลิวซีคารวะนางก่อนจะหันไปคารวะอนุวั่น จากนั้นก็เดินไปข้างๆ ฉินหมิงฉุน เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กตัวแข็งทื่อจึงเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะอาศัยหน้าตาทำมาหากินได้ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเจ้าพิกลพิการขึ้นมาเล่า ดังนั้นจึงต้องเรียนวิชาเอาไว้บ้างอยู่ดี ถ้าข้าออกไปข้างนอกและกลับมาแล้วยังเห็นว่าสมุดคัดลายมือนี้ยังเหมือนเดิม ข้าจะอัดเจ้า!”
ฉินหมิงฉุน “!”
ฮือๆๆ นางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้าจริงหรือ
[1]ผีวาดยันต์ อุปมาว่าลายมือแย่จนมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขียนอะไร