ตอนที่ 63 ส่งวิญญาณผู้วายชนม์ / ตอนที่ 64 นางเป็นบรรพชน ต้องยกไว้บนหิ้ง!
ตอนที่ 63 ส่งวิญญาณผู้วายชนม์
หลังจากที่ได้รู้ว่าสีเจิงเป็นลูกหลานทหาร บ่าวรับใช้ของนางต่างก็เป็นทหาร ฉินหลิวซีก็ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งเองอีก ฉีเชียนสั่งให้คนนำเสื่อที่เอามาจากพวกชาวนาห่อศพพวกเขาวางลงในหลุม
ฉีเชียนมองดูเสื่อที่ห่อศพไว้แต่ละร่าง ก่อนจะหันกลับไปถามฉินหลิวซี “หรือว่าเรากลับไปถามชาวนาพวกนั้นว่ามีโลงศพบางๆ บ้างหรือไม่”
อดีตทหารที่ปกป้องบ้านเมืองต้องมาจบลงด้วยร่างไร้วิญญาณในห่อเสื่อเย็นๆ ต่างถิ่นเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ
หากมีโลงบางๆ ก็ยังดีกว่าเสื่อเป็นไหนๆ ถึงอย่างไรชาวนาก็มักจะเตรียมโลงศพไว้สำหรับคนชราอยู่แล้ว
ฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเขา “ที่นั่นก็แค่หมู่บ้านเล็กๆ ปกติแล้วพวกเขาก็อาศัยซื้อหาของใช้ในชีวิตประจำวันเอาจากพวกพ่อค้าหาบเร่ โลงศพก็ต้องขึ้นเขาไปตัดไม้มาต่อกันเอง ทั้งหมู่บ้านก็มีแค่บ้านเดียวที่เตรียมเอาไว้ พวกเขาส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ ร้อยปีให้หลังก็ห่อกายด้วยเสื่อบางๆ ผืนหนึ่งเท่านั้น”
ฉีเชียนนิ่งเงียบ
“เอาเถิด ไม่ว่าจะเป็นเสื่อบางๆ หรือโลงศพ จะเป็นเสื้อผ้าขาดริ้วหรือผ้าไหมอย่างดีห่อกาย หลังจากตายคนเราก็ต้องกลายเป็นขี้เถ้ากลับลงสู่ผืนดีอยู่ดีมิใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยกับสีเจิง “เจ้าถมดินแรกเถิด”
สีเจิงพยักหน้า หยิบพลั่ว เติมดินพลั่วหนึ่งลงในหลุม และอีกพลั่วแทนน้องชาย ก่อนจะเป็นคราวของผิงจื่อ
ฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิ อ้าปากท่องพระสูตรมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ช่วยดวงวิญญาณให้พ้นจากนรกเพื่อส่งดวงวิญญาณของผู้ตาย เฉินผีที่อยู่ด้านข้างใช้ไฟเผากระดาษทองที่พับเป็นก้อนทองไปพร้อมๆ กันด้วย
ในป่าเงียบสงัด ยินเพียงเสียงสวดมนตร์คาถา ชำระจิตใจคนให้สงบ
ไม่ว่าจะเป็นฉีเชียนหรือพวกสีเจิง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการสวดส่งวิญญาณผู้วายชนม์อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ในขณะที่อีกฝ่ายก็เป็นแค่ ‘หนุ่มน้อย’ คนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำให้คนอื่นๆ รู้สึกเคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
พวกตัวแสบหัวแข็งอย่างอิงหนานยังอดรู้สึกยำเกรงในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้
เสียงท่องคาถาโบราณห่างหาย ลมพัดโชยเข้ามาราวกับมีเสียงโซ่ดังขึ้นในอากาศ
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้นมองออกไปยังความว่างเปล่าข้างหน้า สองมือประสานประทับตรา ร่ายคาถา แววตาสงบนิ่ง
ในความว่างเปล่าที่ไม่มีใครมองเห็น ร่างวิญญาณโค้งคำนับแสดงความขอบคุณนาง จากนั้นก็หายตัวไปในป่าพร้อมกับทูตนำทาง
ฉินหลิวซีเห็นแสงสีทองสองสามดวงบินลอยเข้ามาและตกลงในหลุมศพ นางจึงระบายลมหายใจออกยาว
นางหยิบก้อนทองคำกระดาษสองสามแท่งใส่ลงไปในกองไฟด้วยตัวเอง พึมพำอะไรบางอย่าง นั่นถือเป็นการเผาค่าเหนื่อยให้แก่ยมทูตผู้นำทาง เอาใจเป็นพิเศษ
หลังจากเสร็จสิ้น ฉินหลิวซีก็แกะสลักอักษรยันต์ลงบนแผ่นไม้ไร้อักษรแผ่นหนึ่งก่อนที่จะนำมันไปปักไว้หน้าหลุมศพ
สีเจิงเผาแท่งทองคำก้อนสุดท้ายที่หน้าหลุมศพ คุกเข่าโขกศีรษะอย่างเคร่งขรึมอีกสามครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นและโค้งคำนับฉินหลิวซี “สีเจิงขอบคุณสำหรับความเมตตาของคุณชาย”
นางไม่ถามไถ่เรื่องตัวตนของฉินหลิวซี การกระทำที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่าของฉินหลิวซีทำให้นางยอมรับและซาบซึ้งใจ ตั้งแต่นี้ไปต้นไปชีวิตของนางสีเจิงเป็นของฉินหลิวซี ไม่เสียใจตราบสิ้นชีวิต
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน หยิบผ้าเช็ดหน้าเปียกชื้นที่ฉีเชียนยื่นให้เช็ดมือตนเอง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับนาง “ทางรอดของเจ้าอยู่ทางทิศตะวันตก เดินทางไปทางทิศตะวันตกเถิด การขึ้นเหนือจะนำเจ้าไปสู่ทางตาย”
สีเจิงตกตะลึง จากนั้นนางจึงก้าวเข้าไปด้วยต้องการทำความเข้าใจบางอย่าง “คุณชายท่าน…”
ฉินหลิวซีไม่ต้องการนางเช่นนั้นหรือ
“เจ้ามีโชคของตนเอง ไม่ได้อยู่ที่ข้างกายตัวข้านี้ แต่ถ้าเป็นทางทิศตะวันตก หากเจ้ากล้าพอ เจ้าจะมีที่ทางเป็นของตนเอง” ฉินหลิวซียื่นผ้าเช็ดหน้าให้เฉินผี จากนั้นก็หยิบเครื่องรางหยกออกมามอบให้นาง “พกไว้คุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย”
ตอนที่ 64 นางเป็นบรรพชน ต้องยกไว้บนหิ้ง!
ฉินหลิวซีไม่ให้ใครติดตามนางทั้งสิ้น ไม่มีใครอยู่ข้างกายนางได้รวมถึงสีเจิง
สีเจิงเองก็ไม่ได้ดึงดันจะอยู่ นางเพียงแต่รับเครื่องรางหยกมาจากฉินหลิวซีพกไว้ที่เอว “คุณชายไม่ยินดีให้ข้าติดตาม ข้าก็จะไปบุกฝ่าหาที่ทางของข้าเอง หากข้าทำสำเร็จจะกลับมาตามหาคุณชาย ชีวิตของสีเจิงเป็นของคุณชาย เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ฉินหลิวซียิ้มน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงจำคำนี้ไว้ นอกจากข้า ไม่ว่าใครก็จะเอาชีวิตเจ้าไปไม่ได้”
สีเจิงพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคุณชาย แต่กลับไม่ทราบนามของท่าน หวังว่าคุณชายจะบอกให้ทราบ”
ฉีเชียนได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองโดยไม่ตั้งใจ เขาเองก็ไม่รู้
ฉินหลิวซีสบตากับนาง นิ่งไปนานจึงเอ่ย “ฉินหลิวซี ข้าชื่อฉินหลิวซี ตอนเล็กๆ อาจารย์เคยทำนาย น้ำหน้าบ้านควรจะไหลไปทางทิศตะวันตก เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่ง ตอนที่รับข้าเข้าสำนัก จึงตั้งชื่อหลิวซีให้ข้า”
สีเจิงจดจำชื่อนั้นไว้ในใจ “สีเจิงจะจดจำไว้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าไปเถิด”
สีเจิงโขกศีรษะให้ฉินหลิวซีสามครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะขึ้นรถม้า
ฉีเชียนก้าวไปถามอะไรนางประโยคหนึ่งก่อนจะปล่อยนางไป
ฉินหลิวซีมองรถม้าของสีเจิงลับหายไปทางทิศตะวันตก ก็หาวออกมาทีหนึ่ง “ไปกันเถิด”
ฉีเชียนที่เห็นนางเดินไปยังรถม้าของตนเองรีบเร่งฝีเท้าไปให้ถึงหน้ารถม้าก่อนนาง “ท่านหมอฉินสงสารหญิงสาว ยอมให้รถม้าตนเองแก่นาง เชียนนับถือยิ่งนัก หั่วหลาง เลือกม้าให้ท่านหมอฉินสักตัว”
เจ้าคนงกนี่
ข้าหรือจะดัดนิสัยเจ้าไม่ได้เลยหรือ
ฉินหลิวซียิ้มโดยไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธสักนิด “เช่นนั้นก็เลือกม้าที่อ่อนโยนสักหน่อย ม้าที่ดุดันเกินไปจะต้องกระแทกกระทั้นแน่ ร่างกายข้าอ่อนแอทนไม่ไหว เดินทางเช่นนี้อาจทำให้ข้าล้มป่วย หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นสิบวันสองสัปดาห์กว่าจะหายดี อยากจะทำสิ่งใดก็ยากแล้ว”
แปลว่าข้าขี่ม้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าจะต้องแย่แน่ หากแย่แล้วข้าก็ต้องพักฟื้น และอย่าได้หวังให้ข้าไปรักษาใคร!
ฉีเชียน “!”
นี่มันหมอหรือ นี่มันบรรพชนชัดๆ!
แล้วเขาจะเนรคุณบรรพชนได้หรือ ย่อมไม่ได้ ต้องยกไว้บนหิ้งเท่านั้น!
ฉีเชียนถอยเปิดทางให้นางเล็กน้อย “ในเมื่อข้าพยายามเชิญปรมาจารย์ปู้ฉิวมาจนได้ แล้วจะยอมให้ท่านลำบากตรากตรำในการเดินทางได้เช่นไร ไม่เหมาะไม่ควรสำหรับการเชิญท่านไปรักษาคน เชิญท่านขึ้นรถม้าเถิด”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไร เฮ้อ ช่างเถิด ข้าก็ปฏิเสธน้ำใจผู้อื่นไม่เก่งเสียด้วย มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติ” ฉินหลิวซีขึ้นรถม้าไปพร้อมรอยยิ้ม
ฉีเชียนกัดฟันยิ้ม และขึ้นรถตามไปด้วย
รอยยิ้มของฉินหลิวซีแข็งค้างอยู่เช่นนั้น “?”
“เชียนมีอาการบาดเจ็บภายในที่ยังไม่หายดีจึงไม่ควรตรากตรำ ข้าคิดว่าท่านหมอฉินเห็นอกเห็นใจกระทั่งคนตาย คงจะไม่ดูดายกับอาการบาดเจ็บของข้าหรอกกระมัง” ฉีเชียนยกยออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มในหน้า “อีกอย่างร่วมเดินทางไปกับบุรุษด้วยกัน ท่านหมอฉินคงจะไม่ถือสาใช่หรือไม่”
ส่วนอาการบาดเจ็บภายในคือโมโหจนเจ็บ!
ฉินหลิวซีทำหน้าตาใจกว้าง “มีคุณชายรูปงามอย่างคุณชายฉีอยู่ด้วยข้าย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว”
ฉีเชียน “…”
เขารู้สึกอึดเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าอึดอัดที่ตรงไหน
หั่วหลางคิดในใจว่าปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรต ฝีปากร้ายกาจ เกรงว่าปกติธรรมดาคงไม่ใช่เพราะท่องบทสวดและคาถามากมายหรอกจึงได้ไหลลื่นเช่นนี้ ดูท่าเจ้านายของเขาจะพ่ายแพ้
เฉินผีเองก็กระโดดขึ้นรถม้าเช่นกัน นั่งอยู่ตรงประตู
ฉีเชียนเห็นว่าฉินหลิวซีดูสบายอกสบายใจ แต่ไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าในดวงตาเอาไว้ได้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งทำ สีหน้าของเขาก็อ่อนลง “แล้วเหตุใดท่านหมอฉินจึงไม่ให้สีเจิงติดตามท่าน หากท่านรับไว้ นางจะต้องเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างแน่นอน”