คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 81 เทพฟันธง ตอนที่ 82 ตายไปโดยไม่สามารถพิสูจน์ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 81 เทพฟันธง / ตอนที่ 82 ตายไปโดยไม่สามารถพิสูจน์ได้

ตอนที่ 81 เทพฟันธง

เซี่ยฉี่คังเอนพิงหมอนใบใหญ่บนรถม้าอย่างอ่อนแรง มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก หอบหายใจไม่หยุด

หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาคราวนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานกว่าเดิม แน่นหน้าอกราวจะระเบิดได้ทุกเมื่อ หายใจเข้าคราใดก็ปวดเป็นระลอกๆ

เซี่ยฉี่คังกัดฟันและสาปแช่งอยู่ภายในใจ หากเป็นเพราะผีหลิงหรงจริงๆ เขาจะต้องทำให้นางไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย

เมื่อเซี่ยฉี่คังนึกถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บลึกในหน้าอกจนต้องครางออกมา

“น้องหญิง ข้าอึดอัดหน้าอกเหลือเกิน เจ้าช่วยลูบให้ข้าหน่อยเถิด” เซี่ยฉี่คังน้ำเสียงสั่นเทาพลางหันไปมองสะใภ้โจวที่นั่งอยู่ข้างๆ

พอหันไปเห็นนาง ใจเขาก็เต้นแรงขึ้นทันที

สะใภ้โจวจ้องหน้าเขาเขม็งไม่พูดไม่จา สีหน้าซับซ้อนยากอธิบาย ท่าทางเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็ลังเล

เซี่ยฉี่คังพลันใจเต้นไม่เป็นส่ำ สังหรณ์ว่ามีอะไรบางอย่างเหนือการควบคุมของตน เขายื่นมือออกไปโบกต่อหน้าสะใภ้โจว “น้องหญิง เป็นอันใดไปหรือ”

“เมื่อคืนนี้ที่โรงพักม้า มีท่านหมอคนหนึ่งฟันธงว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวัน” สะใภ้โจวพึมพำเสียงเบา

เซี่ยฉี่คังหน้าถอดสีทันที ใบหน้าเขากระตุก “เขาเป็นใครกันถึงมาหลอกเจ้าได้ ท่านหมอตั้งหลายคนก็บอกว่าร่างกายของข้าไม่ได้มีปัญหาอันใดมิใช่หรือ”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” สะใภ้โจวก้มหน้าลง

เซี่ยฉี่คังถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจนัก คนบ้าพูดจาอะไรไม่เป็นมงคลเช่นนั้น?

“จริงสิ ท่านบอกว่าเห็นเด็กคนหนึ่งที่โรงทานอยากจะรับกลับบ้านมามิใช่หรือ”

แววตาของเซี่ยฉี่คังอ่อนโยนขึ้นทันที “ใช่แล้ว เด็กคนนั้นดูฉลาดเฉลียวมาก เขาดูเหมือนข้านิดหน่อยด้วย วันนั้นข้าไปที่โรงทาน เขาก็เข้ามากอดข้าทันที ข้ารู้สึกว่ามีวาสนากับเขา กลับไปจากหนิงโจวคราวนี้ ถ้าน้องหญิงเห็นแล้วชอบ เราจะรับเขากลับบ้านเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ให้ดูแลเรายามแก่เฒ่าดีหรือไม่”

สะใภ้โจวอยากตอบว่าตกลง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีขึ้นมาได้ ความกระตือรือร้นก็เลยจางหายไปบ้าง “ร่างกายของท่านพี่เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังไม่อยากคิดเรื่องนั้น รอให้ท่านพี่ดีขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เซี่ยฉี่คังนิ่วหน้า “ข้าคิดว่า หากที่บ้านมีเด็กสักคนจะได้ครึกครื้นหน่อย บางทีสุขภาพร่างกายของข้าก็อาจจะดีขึ้นได้”

ลมหายใจของสะใภ้โจวสะดุดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางจ้องหน้าเขานิ่ง

เซี่ยฉี่คังเห็นแล้วก็ขนลุก “ทำ ทำไมหรือ”

สะใภ้โจวหรี่ตาลง “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ จู่ๆ ข้าก็จำได้ว่าท่านพี่มีท่านลุงอยู่คนหนึ่ง นี่ก็ผ่านมาหลายปี ท่านบอกว่าท่านลุงมีบุญคุณล้นฟ้า หรือว่าพวกเราไปเยี่ยมท่านกันดี”

เซี่ยฉี่คังได้ยินเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของเขาก็เย็นชาลงพลางเอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์ “ข้าเคยบอกตั้งนานแล้วนี่ว่าตอนนั้นเขาดูถูกข้า รังเกียจว่าข้าเป็นพวกหนอนหนังสือ ข้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามานานแล้ว และถือว่าข้าไม่มีท่านลุงคนนี้อีก ทำไมเจ้าจำไม่ได้”

สะใภ้โจวยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร จู่ๆ รถม้าทั้งคันก็ดูมืดมนเย็นเยียบขึ้นมาพร้อมกับได้กลิ่นคาว

เซี่ยฉี่คังรู้ม่านตาขยายกว้างด้วยความตกใจทันที เขาขดตัวและกระแทกหลังพิงเข้ากับรถม้าอย่างแรง ใบหน้าซีดขาวหันไปทางประตูรถม้า มือไม้ชี้ออกไป “เจ้า เจ้า…”

หลิงหรงกัดฟันด้วยความเคียดแค้น “เซี่ยฉี่คัง เจ้าสมควรตาย!”

ทั้งๆ ที่บิดาของนางถูกเขาฆ่าตาย แต่เขาก็ยังใส่ร้ายบิดาของนางเช่นนั้นหรือ

สะใภ้โจวตกตะลึงและมองตามสายตาของเขา นางรู้สึกขนลุกเล็กน้อยก็ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่นี่

เซี่ยฉี่คังกรีดร้องและยกแขนเสื้อขึ้นบังสายตา มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก เจ็บ เขาเจ็บที่หัวใจมาก อึก

“ท่าน ท่านพี่?” สะใภ้โจวพลันตกใจ นางยื่นมือสั่นเทาออกไป

ตุบ

เซี่ยฉี่คังกุมหน้าอกตนเองล้มลงในรถม้านั้นเอง เส้นเลือดที่คอปูดโปน หน้าผากพราวเหงื่อ คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด สายตาของเขามองไปยังตำแหน่งหนึ่งด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากสั่นระริก รูม่านตาขยาย ลมหายใจค่อยๆ แผ่วลงกระทั่งหายไป

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากรถม้า

ตอนที่ 82 ตายไปโดยไม่สามารถพิสูจน์ได้

กรี๊ดดด เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังก้องฟ้าจนทำให้นกที่อยู่ในป่าตกใจบินหนี

บนถนนหลัก คนแรกที่หยุดการเดินทางลงคือพวกของฮูหยินติงผู้เฒ่า พวกเขาต่างสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ห่างไกล

“มีอันใดหรือ” ฮูหยินติงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือลูบลูกประคำไปพลาง

สาวใช้คนหนึ่งออกไปถาม พ่อบ้านใหญ่ตระกูลติงจึงเข้ามาตอบว่า “คนที่ติดตามเรามาด้านหลังคือขบวนของเซี่ยซิ่วไฉเมื่อวานนี้ เสียงร้องนี้คงมาจากพวกเขา ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่าอย่างไร”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าเม้มริมฝีปาก “ส่งคนไปดูหน่อยว่าเกิดเรื่องใดขึ้น พวกเราเดินทางกันต่อ”

“ขอรับ”

ติงซู่ม่านหันไปมองท่านย่าของตน “ท่านย่า พวกเราไม่หยุดสักหน่อยหรือเจ้าคะ เผื่อว่าพวกเขาจะต้องการความช่วยเหลือ”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าเหลือบมองนาง “เราไม่มีหมอมาด้วย แล้วจะช่วยอันใดได้ ไปกันเถิด”

ก็แค่บัณฑิตซิ่วไฉคนหนึ่งกับบุตรสาวพ่อค้า หากเมื่อวานฉีเชียนไม่ได้อยู่ที่โรงพักม้าด้วย นางคงไม่ออกไปพูดคุยทำความรู้จักกับพวกเขาเลย พวกเขายังไม่คู่ควร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการพูดคุยแล้ว แทนที่จะทิ้งความประทับใจดีๆ ให้ฉีเชียน แต่กลับทำให้เขาใช้คำพูดต่อว่าพวกนาง เสียหายไปเลย

สรุปคือขโมยไก่ไม่สำเร็จ แล้วยังต้องเสียข้าวไปอีก ขาดทุนเสียแล้ว

สีหน้าฮูหยินติงผู้เฒ่าเป็นกังวล นางหลับตาสวดมนต์นับลูกประคำอย่างรวดเร็ว ติงซู่ม่านเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ได้แต่มองกลับไปด้านหลัง

อย่างไรก็ตาม ด้านสะใภ้โจว นางเห็นเซี่ยฉี่คังล้มลงและขาดใจไปต่อหน้าต่อตาจึงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว กลิ้งลงจากรถม้าและร้องขอความช่วยเหลือ

ขบวนเดินทางของตระกูลโจวตกอยู่ในความโกลาหลทันที

ฉีเชียนและคณะผู้ติดตามของเขาเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ สะใภ้โจวได้รับแจ้งเช่นนั้นจึงรีบหันไปทางฉีเชียน โซซัดโซตรงไปยังพวกเขาทันที นางคุกเข่าลงตรงหน้าขบวนเดินทาง ตะโกนขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหนุ่มน้อย

ฉินหลิวซียกม่านขึ้นแล้วมองออกไป

สายตาของนางดีมาก นางเห็นแล้วว่าโหงวเฮ้งบนใบหน้าของสะใภ้โจวเปลี่ยนไป ที่บ้านจะมีงานศพเกิดขึ้น แล้วนางก็หันไปมองรถม้าของพวกเขาจากระยะไกล หลิงหรงยืนอุ้มบุตรชายอยู่ที่นั่น กำลังจ้องมองเข้าไปในรถม้า ฉินหลิวซีเข้าใจได้ในทันที

“เซี่ยฉี่คังตายแล้ว เขามีคดีติดตัวที่ต้องได้รับการสอบสวน แต่นี่เขามาตายไปโดยที่ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้แล้ว” ฉินหลิวซีพูดกับฉีเชียนด้วยน้ำเสียงยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นเล็กน้อย

สีหน้าฉีเชียนดูย่ำแย่

ฉินหลิวซีลงจากรถม้าแล้วยกมือขึ้น หั่วหลางและคนอื่นๆ จึงหยุดการเดินทาง จากนั้นสะใภ้โจวก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วรีบวิ่งเข้ามา “ท่านหมอ ช่วยด้วย สามีของข้า…”

“หมอช่วยได้แค่คนเป็นเท่านั้น ช่วยคนตายไม่ได้ เขาตายไปแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ

ร่างกายของสะใภ้โจวแข็งทื่อไปทันที ริมฝีปากสั่นระริก

ก่อนที่นางจะได้เอ่ยอะไร ก็มีเสียงกีบเท้าม้าที่กำลังเร่งฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง มีม้าเร็วหลายตัววิ่งเข้ามา เจ้าหน้าที่ทางการสวมชุดข้าราชการสีดำเข็ดขัดแดงตรงเข้ามาประสานมือให้หั่วหลางก่อน แล้วจึงมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังพวกสะใภ้โจว

“เซี่ยฉี่คังจากอำเภอฮุยอยู่ที่ไหน เราได้รับรายงานและสงสัยว่าเซี่ยฉี่คังมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรมหลายชีวิต เขาต้องกลับไปกับเราเพื่อรับการสอบสวน”

ราวกับมีดอกไม้ไฟระเบิดในสมองของสะใภ้โจว นางหันไปมองรถม้าของตนโดยสัญชาตญาณ

ประตูรถม้าเปิดอยู่ เซี่ยฉี่คังล้มลงตะแคงข้างโดยหันหน้าไปทางประตูและทุกคน ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ตายตาไม่หลับ

ฉีเชียนมองไปยังฉินหลิวซี แววตาของเขาลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้

องครักษ์ที่ตระกูลติงส่งมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็กลืนน้ำลาย แล้วจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากตามทันขบวนรถม้าแล้ว เขาก็รายงานเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด

ฮูหยินติงผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็เผลอใช้แรงดึงลูกประคำขาดกระจัดกระจายอยู่ในรถม้า แววตาของนางตกใจเล็กน้อย อยู่ อยู่ได้ไม่พ้นสามวันจริงๆ?

ติงซู่ม่านก็หน้าซีดเช่นกัน นางเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน ท่านย่า…”

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้ตรวจชีพจรด้วยซ้ำ แต่ก็ฟันธงผลลัพธ์ออกมาได้ นี่มันหมายว่าอย่างไร

หมอเทวดากลับชาติมาเกิดน่ะสิ!

ไม่ นี่มันเทพพยากรณ์!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท