ตอนที่ 99 คนบางคนบอบบาง เสแสร้ง แล้วยังเกียจคร้าน / ตอนที่ 100 ไม่อยากรู้เรื่องนี้
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 99 คนบางคนบอบบาง เสแสร้ง แล้วยังเกียจคร้าน
ฉีเชียนที่อยู่ข้างนอกดื่มชาไปหลายถ้วยแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปมาเป็นระยะๆ แล้วหยุดที่ประตูห้องนอนด้วยสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย
เฉินผียืนพิงกำแพง เลิกเปลือกตามองดูเขา เอ่ยตามตรงท่าทางกังวลของฉีเชียนนั้นเหมือนกับบิดาที่กำลังรอทารกแรกเกิดคลอดเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นเขาก็ยืนตัวตรงและมองไปที่ประตู เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินออกมาอย่างที่คาด เขาจึงก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีชนเข้ากับฉีเชียน ก่อนจะลูบจมูกจ้องหน้าเขาพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “จวิ้นอ๋องจะเป็นเทพเฝ้าประตูหรือ”
ฉีเชียนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ท่าทางเหม่อลอย เมื่อครู่นี้ตอนที่ชนกันก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายอบอุ่นและอ่อนนุ่ม ท่ามกลางกลิ่นสมุนไพรดูเหมือนจะมีกลิ่นหอมหวานอื่นปะปนแทรกอยู่ด้วย
หลังจากได้ยินข้อกล่าวหาของฉินหลิวซี เขาก็ไม่กล้าคิดอะไรไปชั่วขณะ ถอยไปหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยด้วยความเขินอาย “ท่านหมอฉินฝังเข็มเสร็จแล้วหรือ”
“อืม”
“เราได้สมุนไพรกลับมาแล้ว ตอนนี้ต้องต้มน้ำสมุนไพรสำหรับอาบเลยหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “เพิ่งฝังเข็มเสร็จ ยังไม่จำเป็นต้องแช่น้ำทันที พรุ่งนี้ค่อยแช่หลังจากฝังเข็ม คืนนี้แค่ดื่มยาต้ม ข้าได้บอกจ้าวหมัวหมัวไว้หมดแล้ว ข้าจะกลับไปที่เรือนก่อน”
นางหยุดครู่หนึ่ง ครุ่นคิดสักพัก “คืนนี้ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
ฉีเชียนนิ่งงันไปเล็กน้อย “ออกไปข้างนอกในเวลานั้นด้วยเรื่องใด”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง “จวิ้นอ๋องไม่ควรจู้จี้จุกจิก”
ตนรับปากกับหลิงหรงแล้วว่าจะส่งนางไป เดิมทีจะส่งไปเมื่อคืนนี้ แต่ได้คำนวณไว้แล้วว่าควรจะเป็นคืนนี้ อีกอย่างเรือนรับรองนี้ก็เป็นสถานที่ที่มีพลังแห่งราชวงศ์ปกป้องคุ้มครอง พระชายาผู้เฒ่าเองก็ไม่ค่อยแข็งแรง ตนจึงไม่อาจเปิดทางสู่ปรโลกที่นี่ได้
ฉินหลิวซีจากไปพร้อมเฉินผี
ฉีเชียนยืนอยู่สักพัก แล้วจึงได้ยินเสียงเรียกดังมาจากในห้อง เขาเห็นพระชายาผู้เฒ่านั่งพิงบนเตียง ใบหน้าแดงระเรื่อก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้
“เสด็จย่า ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
พระชายาผู้เฒ่ายิ้มสดใส “วิชาแพทย์ของท่านหมอฉินมหัศจรรย์มาก วิชาฝังเข็มยอดเยี่ยมกว่าตาเฒ่าหัวโบราณในสำนักหมอหลวงพวกนั้นเสียอีก ย่าเพิ่งจะรู้สึกอบอุ่นสบายเป็นครั้งแรกนี่แหละ”
จ้าวหมัวหมัวเองก็เอ่ย “ใช่แล้วเพคะ พระชายาผู้เฒ่ายังมีเหงื่อออกนิดหน่อยด้วยนะเพคะ”
ฉีเชียนโล่งใจอย่างยิ่ง “ถ้าเสด็จย่ารู้สึกดีก็ดีแล้ว ข้าได้สมุนไพรทั้งหมดมาแล้ว พรุ่งนี้ก็จะได้แช่น้ำสมุนไพร คืนนี้แค่ดื่มยาเท่านั้น”
“เอาตามนั้นเถิด”
จ้าวหมัวหมัวเอ่ย “จวิ้นอ๋องพูดคุยกับพระชายาผู้เฒ่าไปก่อนนะเพคะ บ่าวจะไปสั่งให้หวนเอ๋อร์ต้มยา”
ฉีเชียนโบกมือ หลังจากที่จ้าวหมัวหมัวจากไป เขาก็จับมือของพระชายาผู้เฒ่าไว้ “แม้ว่าปรมาจารย์ปู้ฉิวจะมีนิสัยดื้อรั้น แต่วิชาแพทย์ของเขาก็ยอดเยี่ยม ตอนนี้เสด็จย่ารู้สึกสบายขึ้นแล้ว ก็พิสูจน์ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ใช่ของปลอม”
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่ทั้งที่ท่านหมอมีชื่อเสียงเช่นนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวงนัก” พระชายาผู้เฒ่าย่อมเคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง แต่นางกลับไม่เคยรู้เลย
ฉีเชียนตอบ “ความเคลื่อนไหวของเขาเป็นปริศนามาโดยตลอด แม้แต่ในอารามเต๋า เจ้าอาวาสก็ยังไม่ยอมเปิดเผยที่อยู่ให้ บอกว่าหากมีวาสนาก็จะได้พบเอง แต่หลานคิดว่าเขาออกไปข้างนอกโดยใช้ชื่ออื่นหรือไม่ก็ไม่ค่อยจะได้ตรวจรักษาบ่อยนัก”
เขามองออกแล้วว่าฉินหลิวซีบอบบาง เสแสร้ง และเกียจคร้าน หากไม่ใช่เพราะเขาจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเชิญมารักษา ก็เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มา ดังนั้นอาจมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้คืออีกฝ่ายไม่เคยออกไปจากอาณาเขตของหนิงโจวเลย
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าหาหมอมารักษาย่าได้ก็ถือเป็นความกตัญญูของเจ้า หากโรคขี้หนาวของข้ารักษาหายจริงๆ เรากลับเมืองหลวงด้วยกันสักครั้งดีหรือไม่” พระชายาผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉีเชียนตกตะลึงเล็กน้อย “ท่านไม่ค่อยชอบเมืองหลวงแต่ไหนแต่ไรมามิใช่หรือ ทั้งยังบอกว่ามันหนาว”
พระชายาผู้เฒ่าตบมือเขาเบาๆ “เจ้าเองก็อายุยี่สิบสองแล้ว จวนหนิงอ๋องยังไม่แต่งตั้งซื่อจื่อสักที ข้าคิดจะทูลขอฝ่าบาทให้แต่งตั้งเจ้าเป็นซื่อจื่อ ถึงเวลาทำงานจริงๆ จังๆ แล้ว”
ตอนที่ 100 ไม่อยากรู้เรื่องนี้
ฉีเชียนเดินออกจากเรือนหลัก ยืนอยู่ในลานบ้าน มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินออกไป
“นายท่าน”
“พวกท่านหมอฉินพักผ่อนแล้วหรือ” ฉีเชียนถามพลางเอามือไพล่หลัง
หั่วหลางตอบ “กระหม่อมไม่ได้ไปที่เรือนรับรองแขก แต่ได้ยินพ่อบ้านวั่นเอ่ยว่าพวกเขาขอกระดาษเหลือง ยังมีไก่หนึ่งตัว ขนม และสุราด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเชียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและหันหน้าไปมองเขา ทั้งสองสบตากันด้วยสีหน้าค่อนข้างแปลก
“ภรรยาของเจ้าตั้งครรภ์แฝด คืนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้า พรุ่งนี้เอายันต์คุ้มครองกลับไปมอบให้ภรรยาเจ้าเถิด ให้อิงเป่ยไปกับข้า”
หั่วหลางตอบ “ให้กระหม่อมไปรับใช้ท่านดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไปเถิด”
หั่วหลางจึงประสานมือรับคำ
เวลาเที่ยงคืน ฉินหลิวซีเดินออกไปนอกหมู่บ้านพร้อมกับเฉินผีทั้งที่ยังหาวหวอด เฉินผีถือตะกร้าไม้ไผ่ไปด้วยสองใบ ใบหนึ่งบรรจุธูปเทียน กระดาษเหลือง และก้อนทอง ส่วนอีกใบมีของที่ถูกปิดคลุมไว้ด้วยกระดาษสีเหลือง
“คุณชาย” เฉินผีบุ้ยใบ้เป็นสัญญาณไปทางประตูหมู่บ้าน
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ย “จวิ้นอ๋องจะออกมาชมจันทร์หรือ”
“ท่านหมอฉินเป็นผู้มีพระคุณที่ข้าเชิญมา ข้าย่อมต้องรับรองความปลอดภัยของท่าน ไปกันเถอะ” ฉีเชียนเอามือไพล่หลัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเสื้อคุลม เขาก็เอ่ย “ท่านหมอฉินร่างกายอ่อนแอ เหตุใดจึงออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสื้อคลุมสักตัวมาด้วย”
ขณะที่เอ่ย เขาก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วยื่นให้
ฉินหลิวซีมองดูเสื้อคลุมสีดำที่ปักด้วยลายกล้วยไม้ “น้ำใจของจวิ้นอ๋องข้าต้องขอรับไว้แล้ว”
นางรับมามาคลุมร่างโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้ว่าเสื้อคลุมจะยาวลากพื้นอยู่บ้าง แต่นางก็ไม่สนใจ
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของของนางอยู่แล้ว
ฉีเชียนเหลือบมองเสื้อคลุมที่ลากอยู่บนพื้นและเบือนหน้าหนี นี่นับว่าเป็นการเสียของแล้ว
อิงเป่ยก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มและรับตะกร้าไม้ไผ่มาจากเฉินผีมาใบหนึ่ง แอบเปิดดูเงียบๆ เห็นว่าข้างในมีไก่ สุรา และขนม
ฉีเชียนถือโคมไฟแล้วขยับไปทางฉินหลิวซี เพื่อให้มีแสงสว่างใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
ฉินหลิวซีเห็นแล้วก็ยกยิ้มขึ้น คนนี้ผู้นี้มีด้านที่ละเอียดอ่อนด้วย
หลังจากเดินไปได้สักพักนางก็หยุด
ฉีเชียนนิ่งไปเล็กน้อย เขาหันกลับไปมอง ยังคงมองเห็นไฟจากโคมไฟหน้าประตูเรือนรับรองได้รางๆ อยู่เลย
“ถึงแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีสูดจมูก “หาที่ง่ายๆ แก้ปัญหาได้ก็พอแล้ว เดินมาไกลแล้วยังต้องเดินกลับอีก มันเหนื่อย”
ฉีเชียน “!”
เหตุใดฟังดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังมองหาที่ถ่ายหนักอย่างนั้นเล่า
“เฉินผี จุดธูปเทียน”
“ขอรับ เฉินผีวางตะกร้าไม้ไผ่ลง เป่าแท่งไฟ จุดเทียนแล้วปักลงในดิน จากนั้นจึงจุดธูป แล้วนำของในตะกร้าที่อิงเป่ยถืออยู่ออกมาวางทีละอย่าง
ฉีเชียนเปลือกตาเขม่นทันทีที่เห็นเช่นนั้น กำหมัดพยายามสงบสติอารมณ์
นี่คือการเซ่นไหวบนถนนหรือ
เซ่นให้ใครกัน
ฉีเชียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้เปิดเผยออกมาเลย
ขณะที่เขากำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เขาก็เห็นฉินหลิวซีตบน้ำเต้าหยกที่เอวของตน “ออกมาเถอะ”
นี่ กำลังพูดกับใคร
ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงคล้ายจะผ่านหูเขาไป
แผ่นหลังฉีเชียนเย็นเยียบ ขนแขนลุกซู่
แม้แต่อิงเป่ยที่กำลังช่วยเฉินผีจุดธูปก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันน่าขนลุกราวกับมีอะไรอื่นอยู่ข้างกาย
ส่วนฉินหลิวซีก็หยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาเผากลางอากาศ อ้าปากร่ายคาถาเซ่นไหว้อาหารพร้อมเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา
หลิงหรง
ฉีเชียนได้ยินชื่อนั้น เขาก็เม้มริมฝีปากและเกือบจะวิ่งหนีไป แต่เท้าของเขานิ่งอยู่กับที่ราวถูกตะปูตอกตรึงไว้จนขยับไม่ได้
เขามาทำอะไรที่นี่ หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาไม่อยากรู้เรื่องนี้เลย!